อย่างที่เกริ่นไว้ว่าแลนด์มาร์คของมัลดีฟส์ มิใช่อนุเสารีย์ใหญ่โต หอคอยสูงเสียดฟ้า หรือ ร้านอาหารมิชลินชื่อดัง … แต่ “ความงาม” ที่กำหัวใจของประเทศนี้ อยู่ที่ธรรมชาติที่กำลังจะสาบสูญ ความสมบูรณ์ของท้องทะเลกลางมหาสมุทรอินเดีย และรีสอร์ตหรูหราที่เปิดประตูอยู่ตามอะทอลล์ (หมู่เกาะปะการัง) ทั้งหลาย
ดังนั้น …
การตัดสินใจเลือกรีสอรต์ เลือกเกาะ จึงเป็นปัญหาระดับชาติที่ฉันและคุณสามีต้องช่วยกันคิด และหลังจากจับเข่าคุยกันอยู่หลายวัน เราก็ได้ข้อตกลงร่วมกันดังนี้ค่ะ
- เราจะไม่นั่ง Seaplane จากมาเล่ ไปยังเกาะอื่นๆ เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย
- ห้องพักต้องเป็นบังกะโลบนน้ำเท่านั้น ห้องต้องเหมือนรูปในโปสการ์ดหรือใบปะโฆษณาที่อวดโฉมกัน
- งบประมาณค่าห้องอยู่ระหว่าง 25,000-35,000 บาทต่อคืน ถ้ารวมอาหารทั้งสามมื้อได้จะยิ่งดี
ตัวเลือกถูกตัดออกทีละตัวๆ … จนมาพบกับ Anantara Veli รีสอรต์ที่มีคุณสมิบัติตรงตามต้องการ แถมพ่วงมาด้วยรีวิวระดับเกรด A จากเว็บไซต์จองโรงแรมชื่อดังทั้งหลาย ฉันจึงคลิ๊กจองห้องพักด้วยราคา 1,000 เหรียญ โดยหารู้ไมว่า เจ้าอัตราแลกเปลี่ยนนั้นมันเป็น US Dollar ไม่ใช่ Singapore Dollar อย่างที่เข้าใจ!!!
ใช่ค่ะ … น้ำตาไหลพราก เพราะจากราคา 25,000 บาท เขยิบขึ้นเป็น 35,000 บาท แพงกว่ากัน 10,000 บาทต่อคืน …. โอ้วฉันถูกมนต์ดำอะไรครอบงำตอนจ่ายเงินหรือนี่
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันรีบสารภาพผิดกับคุณสามี หลังจากนอนกระสับกระส่ายมาทั้งคืน … แต่ก็ยังโชคดีว่าได้รับการอภัยโทษ เพราะราคาห้องพักยังอยู่ในอัตราที่เราตกลงกัน แถมด้วยอาหารเช้า คายัคฟรี 2 ชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่รวมค่าเรือเฟอร์รี่จากสนามบินไปที่รีสอร์ต ซึ่งตกคนละ 200 เหรียญค่ะ
ข้อดี
ที่นี่เป็นอาณาจักรของ Anantara โดยแท้จริงค่ะ เพราะนอกจากเกาะซึ่งเป็นที่ตั้งของ Anatara Veli ยังมีเกาะของ Anantara Dhigu อีกหนึ่งรีสอร์ตใกล้ๆกัน ไม่นับ Gulhifushi (Picnic Island) และเกาะลอยตรงกลางอีกหนึ่งเกาะ ทั้ง 4 เกาะเดินทางถึงกันได้สะดวกสบาย มีบริการเรือรับส่งฟรี ทำให้ทุกเช้า สาย บ่าย และค่ำ ฉันและคุณสามีจะไปเดินเล่น ชมความงามของแต่ละเกาะในบรรยากาศที่ต่างกัน
Anantara Veli
Anantara Dhigu
อีกเกาะที่อยู่ตรงข้าม Anantara Veli ที่นี่เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ชายหาดยาว ทรายขาวสวยเดินได้เกือบรอบเกาะและเล่นน้ำสนุกมากเลยค่ะ
เรือรับส่งจาก Pontoon ระหว่าง Anantara Veli ไปยัง Anantara Dhigu
Gulhifushi (Picnic Island)
หรือเกาะที่พนักงานรีสอร์ตเรียกกันว่า Picnic Island ถ้าจะไปเกาะนี้ ต้องมาขึ้นเรือที่ท่าของ Anantara Dhigu ใช้เวลาเพียง 5 นาทีก็ถึงค่ะ เกาะนี้แทบจะร้างผู้คน มาแล้วนึกว่าเป็นเจ้าของเกาะคนเดียว กลางทะเลมีชิงช้าให้ถ่ายรูปสวยๆ เก้าอี้นั่งริมทะเล และบาร์ขายน้ำ รวมถึงห้องน้ำที่เปิดบริการให้กับแขกของ Anantara
เกาะลอยตรงกลางระหว่าง Anantara Veli และ Anantara Dhigu
เกาะนี้ตั้งอยู่ตรงกลางของรีสอร์ตทั้งสอง มีขนาดเล็กมาก เดินเพียง 5 นาทีก็รอบเกาะแล้วค่ะ ชายหาดขาว แต่เป็นกรวดและปะการังเยอะ ถ้าเดินรอบเกาะนี้ก็จะเห็นห้องพักแบบ Deluxe ที่ตั้งอยู่รายรอบ และวันไหนที่น้ำลง เราเดินไปถึง Anantara Dhigu ได้เลยค่ะ
ข้อดีอีกอย่างของที่นี่ คือ Wifi แข็งแรงมาก สัญญาดี แทบไม่ขาดการติดต่อจากโลกภายนอกเลย
และที่เด็ดไปย่ิงกว่านั้น Anatara ทั้งอาณาจักรมีจุดถ่ายรูปโพสอวดรูปลงโซเซี่ยลได้เยอะมาก เยอะจนฉันอยากจะบอกโรงแรมให้ทำ Photo Spots ในแผนที่ด้วยเถิด จะได้เดินเก็บให้ครบทุกมุม
ชิงช้ากลางทะเลที่ Picnic Island
เปลกลางมหาสมุทรที่ Anantara Dhigu ซึ่งต้องพายคายัคออกไป อารมณ์ตอนนั้น เหมือนโลกนี้เป็นของฉันเลยค่ะ
หัวใจดวงใหญ่ที่ริมหาด Anantara Veli สำหรับคู่รักโดยเฉพาะ
ศาลาริมน้ำที่ Anantara Veli สวยทั้ง Sunrise และ Sunset
วิวพระอาทิตย์ตกดินงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
เช่นเดียวกับมุมนั่งเล่นสุดโรแมนติก แบบที่โลกนี้มีแค่เราสองคนก็มีซุกซอนอยู่หลายแห่ง จึงเป็นโรงแรม ที่เหมาะกับคู่รัก คู่ฮันนีมูนอย่างแท้จริงค่ะ
โคคูนริมหาด
ศาลากลางน้ำ
เปลกลางป่า
ดินเนอร์ริมทะเล
เก้าอี้ไม้ของสองเรา
ถัดมา เป็นกิจกรรมคลายเหงาที่มีให้บริการอยู่หลายอย่าง บ้างฟรี แต่บางอันก็เสียค่าใช้จ่ายค่ะ
Movie under the Stars (ฟรี)
คายัครอบเกาะ (ฟรี 2 ชั่วโมงต่อวัน)
อุปกรณ์ snokerling ดำน้ำดูปลา ปะการังใต้น้ำ (ฟรี)
ลานหมากรุกยักษ์ (ฟรี)
สปากลางทะเล (มีค่าใช้จ่าย แน่นอนอยู่แล้ว ^^)
ล่องเรือใบ (มีค่าใช้จ่าย)
หรือการแสดงของพนักงานที่มีให้ชมช่วงเย็นๆค่ะ
นอกจากนั้น กลุ่ม Anantara ยังมีห้องเลาจน์บริการลูกค้าขาเข้าและออกที่สนามบิน มีไวไฟ และเครื่องดื่มบริการให้นั่งพัก ก่อนขึ้นเรือเฟอร์รี่มาที่รีสอร์ต
พนักงานดูแลห้องที่จะเข้ามาทำความสะอาดวันละ 2 ครั้ง พร้อมจัดเตียงสวยงามแตกต่างกันในแต่ละวัน
แต่ … สินค้าทุกอย่างก็มีข้อควรปรับปรุง เช่นเดียวกับ Anantara Veli ที่สมบูรณ์แบบ แต่ยังไม่เพอร์เฟกต์ทุกอย่าง
ข้อควรปรับปรุง
อย่างแรกเป็นห้องพักบังกะโลกลางน้ำ ที่สร้างติดกันจนขาดความเป็นส่วนตัว บางห้องหันหน้าเข้าหากันเองระหว่าง Superior และ Deluxe และถึงแม้จะมีเวิ้งทะเลกั้น ก็ไม่ผ่อนคลายสายตา เพราะแนวขอบฟ้าด้านหน้า กลายเป็นบังกะโล แทนที่จะเป็นทะเลค่ะ
และด้วยความที่บังกะโลสร้างด้วยไม้ การดูแลรักษาคงยากพอตัวยิ่งเมื่ออยู่ในน้ำเค็ม จึงทำให้ห้องดูเก่าไปหน่อย ไม่เอี่ยมใหม่เหมือนในรูปโฆษณา และที่สำคัญวิวของห้องพักแบบ Superior จะเห็นเพียง 150 องศาเท่านั้น เพราะด้านข้างจะมีบานไม้ยื่นออกมากั้นบังสายตา
ดังนั้นจากจำนวนห้อง Superior ทั้งหมด ฉันยกให้เพียง 2 ห้องที่มุมดี ไม่มีวิวชนกับใคร และไม่โดยแดดเช้ากับเย็น ซึ่งก็คือห้อง 148 ที่ฉันเข้าพัก และ 150 ห้องข้างๆค่ะ
ฉันไม่ได้โชคดีเข้าพักห้องนี้ตั้งแต่ต้นหรอกค่ะ … ห้องแรกของฉันคือห้อง 145 และวิวตรงหน้าก็เป็นร้านอาหารไทย ทะเลก็ไม่สวย ผิดหวังจนต้องเดินไปขอเปลี่ยนห้อง และก็โชคดีที่ห้อง 148 ว่างค่ะ … นี่เป็นวิวห้องแรกของเราที่เห็นร้านอาหารไทยเต็มๆ
ส่วนการบริการ ก็ค่อนข้างผิดหวังกับ Concierge เพราะอีเมล์ถามคำถามไป 5 ข้อตอบกลับมา 3 เหมือนตั้งใจไม่ตอบเรื่องอาหาร เพราะอยากให้กินที่โรงแรมมากกว่า เช่นเดียวกับราคากิจกรรม ที่ไม่แจ้งกลับ และไม่มีการสอบถามเรื่องเรือเฟอร์รี่รับส่งเรา … ซึ่งฉันโชคดีมากที่นึกขึ้นได้ก่อนเดินสัก 2 อาทิตย์ จึงรีบอีเมล์จองกับโรงแรมทันที ไม่อย่างนั้นวันนั้นจะไปโรงแรมยังไง ก็คงงงๆอยู่ที่สนามบินค่ะ
ความสมบูรณ์ของทะเลก็เป็นอีกประเด็นที่ฉันผิดหวัง … ครั้งแรกที่ฉันมามัลดีฟส์เมื่อ 9 ปีที่แล้ว สัตว์น้ำเยอะกว่านี้มาก … แต่ที่นี่ ซึ่งฉันก็ไม่แน่ใจว่าขึ้นกับฤดูกาลหรือไม่ เพราะปลาน้อยมากเลยค่ะ ฉันเห็นฉลามแค่ 2 ตัว ปลากระเบนอีก 3-4 ตัว เท่านั้น ยอมรับเลยว่าผิดหวัง เพราะไปโม้กับคุณสามีไว้มากมาย
และที่สำคัญ Anatara Veli มีหาดที่สั้นมากค่ะ ทรายไม่ขาวละเอียดเหมือน Anantara Dhigu เดินรอบเกาะก็ไม่ได้ เพราะบางส่วนทำเป็นห้องพัก แต่ปัญหานี้ก็แก้ได้ด้วยการขึ้นเรือไปที่ Anantara Dhigu แทนค่ะ แต่ก็เสียใจหนักมากเหมือนกัน
อื่นๆ
ส่วนข้อมูลอื่นๆที่อยากจะฝากไว้ ก็เป็นเรื่องของร้านอาหาร ที่ Anantara มีให้เลือกหลายร้านจริง ทั้งอาหารไทย อาหารญี่ปุ่น อิตาเลี่ยน คาเฟ่ บาร์ ซีฟู้ต หรือดินเนอร์ ริมหาดส่วนตัวก็ได้ แต่ทุกร้านไม่ได้เปิดทุกวัน ต้องดูวันและเวลาเปิดจากแผ่นพับในห้อง ส่วนราคาอาหารเฉลี่ยต่อคน ต่อมื้อ อยู่ระหว่าง 1,200-2,000 บาท ถ้ากิน 2 มื้อต่อวัน ก็ตก 6,000 – 8,000 บาทสำหรับสองคนค่ะ
ร้านอาหารไทย
แต่ฉันโชคดีมากค่ะ … เพราะเราอาศัยอยู่ที่สิงคโปร์ เวลาของสิงคโปร์กับมัลดีฟส์ต่างกัน 3 ชั่วโมง ฉันเลย jet lag ตื่นตีห้าทุกวัน เป็นเวลาสามวัน อาหารเช้าจึงเป็นผลไม้ที่โรงแรมจัดให้ และมื้อเที่ยงก็เป็น Brunch ตอน 10.30 น. ซึ่งก็คืออาหารเช้าที่รวมอยู่ในค่าห้อง ดังนั้นมื้อเย็นเท่านั้นที่กินกับโรงแรมค่ะ
Breakfast
ความหลากหลายของอาหารเช้า มีทั้งโจ๊ก อาหารมุสลิม ไข่ดาว แพนเค้ก ผลไม้ ซีเรียล และอื่นๆอีกมากมาย มื้อเช้านี้ให้ 3.5/5 ค่ะ
วันกลับ พนักงานจะเตรียมโต๊ะพิเศษหลบมุมให้กับแขกทุกคน พร้อมกับข้อความบ้ายบายจากโรงแรมที่เขียนด้วยทรายสีค่ะ
สำหรับประเภทของห้อง … นอกจากห้อง Superior Over Water Bangalow ก็ยังมี Over Water Bangalow ที่ราคาย่อมเยาว์กว่า ส่วนห้อง Deluxe Over Water Bangalow และ Ocean Pool Bangalow นั้น ราคาเฉลี่ยต่อคืน เท่ากระเป๋าชาแนลค่ะ หรือตกคืนละ 50,000-80,000 บาท
ราคานี้เป็นช่วงไฮซีซั่นค่ะ ราคาช่วงโลว์ซึ่งเริ่มตั้งแต่กรกฏาคม-ตุลาคม จะถูกกว่านี้ บางทีมีลดถึง 40% และแถมอาหารด้วยค่ะ และบอกเลยว่า ฉันเคยมาช่วงโลว์ ฝนตกบ้างแต่ไม่มากค่ะ เมฆผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ยังไงสะ ของแบบนี้ เอาแน่นอนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับโชคชะตาด้วยนะคะ ^^
Superior Over Water Bungalow
Deluxe Over Water Bungalow
Ocean Pool Bungalow
บทสรุปของ Anantara Veli ฉันกัดฟันให้ 3.5/5 ค่ะ จริงๆอยากให้ 4/5 เพราะเป็นทริปที่มีความสุข ฟิน และสนุกมากจริงๆ อยู่ที่นั่นแล้วเหมือนเวลาหยุดนิ่ง ดูนาฬิกาแต่ละทีก็คิดอยู่ว่า ทำไมเข็มเดินช้ากว่าปกติ … แต่ด้วยค่าห้องที่เท่ารองเท้าชาแนลคืนละคู่ ความคาดหวังจึงสวนทางกับความเป็นจริง ห้องน่าจะบำรุงรักษา หรือตกแต่งให้ทันสมัยกว่านี้ เช่นเดียวกับบริการที่ควรไร้ที่ติเหมือนโรงแรมห้าดาวทั่วไป และวิวของบังกะโลต้องหมดจด เห็นแลนด์มาร์คของมัลดีฟส์ที่กุมหัวใจทุกคนไว้
ห้องพัก 3/5
การบริการ 3/5
กิจกรรม 4/5
บรรยากาศ 4/5
ห้องอาหาร 3/5
ที่ตั้ง Veli, Maldives
อีเมล์ velimaldives@anantara.com
http://veli-maldives.anantara.com
21 Jan 2016
0 Comments
[Review] Anantara Veli มัลดีฟส์ …
อย่างที่เกริ่นไว้ว่าแลนด์มาร์คของมัลดีฟส์ มิใช่อนุเสารีย์ใหญ่โต หอคอยสูงเสียดฟ้า หรือ ร้านอาหารมิชลินชื่อดัง … แต่ “ความงาม” ที่กำหัวใจของประเทศนี้ อยู่ที่ธรรมชาติที่กำลังจะสาบสูญ ความสมบูรณ์ของท้องทะเลกลางมหาสมุทรอินเดีย และรีสอร์ตหรูหราที่เปิดประตูอยู่ตามอะทอลล์ (หมู่เกาะปะการัง) ทั้งหลาย
ดังนั้น …
การตัดสินใจเลือกรีสอรต์ เลือกเกาะ จึงเป็นปัญหาระดับชาติที่ฉันและคุณสามีต้องช่วยกันคิด และหลังจากจับเข่าคุยกันอยู่หลายวัน เราก็ได้ข้อตกลงร่วมกันดังนี้ค่ะ
ตัวเลือกถูกตัดออกทีละตัวๆ … จนมาพบกับ Anantara Veli รีสอรต์ที่มีคุณสมิบัติตรงตามต้องการ แถมพ่วงมาด้วยรีวิวระดับเกรด A จากเว็บไซต์จองโรงแรมชื่อดังทั้งหลาย ฉันจึงคลิ๊กจองห้องพักด้วยราคา 1,000 เหรียญ โดยหารู้ไมว่า เจ้าอัตราแลกเปลี่ยนนั้นมันเป็น US Dollar ไม่ใช่ Singapore Dollar อย่างที่เข้าใจ!!!
ใช่ค่ะ … น้ำตาไหลพราก เพราะจากราคา 25,000 บาท เขยิบขึ้นเป็น 35,000 บาท แพงกว่ากัน 10,000 บาทต่อคืน …. โอ้วฉันถูกมนต์ดำอะไรครอบงำตอนจ่ายเงินหรือนี่
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันรีบสารภาพผิดกับคุณสามี หลังจากนอนกระสับกระส่ายมาทั้งคืน … แต่ก็ยังโชคดีว่าได้รับการอภัยโทษ เพราะราคาห้องพักยังอยู่ในอัตราที่เราตกลงกัน แถมด้วยอาหารเช้า คายัคฟรี 2 ชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่รวมค่าเรือเฟอร์รี่จากสนามบินไปที่รีสอร์ต ซึ่งตกคนละ 200 เหรียญค่ะ
ข้อดี
ที่นี่เป็นอาณาจักรของ Anantara โดยแท้จริงค่ะ เพราะนอกจากเกาะซึ่งเป็นที่ตั้งของ Anatara Veli ยังมีเกาะของ Anantara Dhigu อีกหนึ่งรีสอร์ตใกล้ๆกัน ไม่นับ Gulhifushi (Picnic Island) และเกาะลอยตรงกลางอีกหนึ่งเกาะ ทั้ง 4 เกาะเดินทางถึงกันได้สะดวกสบาย มีบริการเรือรับส่งฟรี ทำให้ทุกเช้า สาย บ่าย และค่ำ ฉันและคุณสามีจะไปเดินเล่น ชมความงามของแต่ละเกาะในบรรยากาศที่ต่างกัน
Anantara Veli
Anantara Dhigu
อีกเกาะที่อยู่ตรงข้าม Anantara Veli ที่นี่เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ชายหาดยาว ทรายขาวสวยเดินได้เกือบรอบเกาะและเล่นน้ำสนุกมากเลยค่ะ
เรือรับส่งจาก Pontoon ระหว่าง Anantara Veli ไปยัง Anantara Dhigu
Gulhifushi (Picnic Island)
หรือเกาะที่พนักงานรีสอร์ตเรียกกันว่า Picnic Island ถ้าจะไปเกาะนี้ ต้องมาขึ้นเรือที่ท่าของ Anantara Dhigu ใช้เวลาเพียง 5 นาทีก็ถึงค่ะ เกาะนี้แทบจะร้างผู้คน มาแล้วนึกว่าเป็นเจ้าของเกาะคนเดียว กลางทะเลมีชิงช้าให้ถ่ายรูปสวยๆ เก้าอี้นั่งริมทะเล และบาร์ขายน้ำ รวมถึงห้องน้ำที่เปิดบริการให้กับแขกของ Anantara
เกาะลอยตรงกลางระหว่าง Anantara Veli และ Anantara Dhigu
เกาะนี้ตั้งอยู่ตรงกลางของรีสอร์ตทั้งสอง มีขนาดเล็กมาก เดินเพียง 5 นาทีก็รอบเกาะแล้วค่ะ ชายหาดขาว แต่เป็นกรวดและปะการังเยอะ ถ้าเดินรอบเกาะนี้ก็จะเห็นห้องพักแบบ Deluxe ที่ตั้งอยู่รายรอบ และวันไหนที่น้ำลง เราเดินไปถึง Anantara Dhigu ได้เลยค่ะ
ข้อดีอีกอย่างของที่นี่ คือ Wifi แข็งแรงมาก สัญญาดี แทบไม่ขาดการติดต่อจากโลกภายนอกเลย
และที่เด็ดไปย่ิงกว่านั้น Anatara ทั้งอาณาจักรมีจุดถ่ายรูปโพสอวดรูปลงโซเซี่ยลได้เยอะมาก เยอะจนฉันอยากจะบอกโรงแรมให้ทำ Photo Spots ในแผนที่ด้วยเถิด จะได้เดินเก็บให้ครบทุกมุม
ชิงช้ากลางทะเลที่ Picnic Island
เปลกลางมหาสมุทรที่ Anantara Dhigu ซึ่งต้องพายคายัคออกไป อารมณ์ตอนนั้น เหมือนโลกนี้เป็นของฉันเลยค่ะ
หัวใจดวงใหญ่ที่ริมหาด Anantara Veli สำหรับคู่รักโดยเฉพาะ
ศาลาริมน้ำที่ Anantara Veli สวยทั้ง Sunrise และ Sunset
วิวพระอาทิตย์ตกดินงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
เช่นเดียวกับมุมนั่งเล่นสุดโรแมนติก แบบที่โลกนี้มีแค่เราสองคนก็มีซุกซอนอยู่หลายแห่ง จึงเป็นโรงแรม ที่เหมาะกับคู่รัก คู่ฮันนีมูนอย่างแท้จริงค่ะ
โคคูนริมหาด
ศาลากลางน้ำ
เปลกลางป่า
ดินเนอร์ริมทะเล
เก้าอี้ไม้ของสองเรา
ถัดมา เป็นกิจกรรมคลายเหงาที่มีให้บริการอยู่หลายอย่าง บ้างฟรี แต่บางอันก็เสียค่าใช้จ่ายค่ะ
Movie under the Stars (ฟรี)
คายัครอบเกาะ (ฟรี 2 ชั่วโมงต่อวัน)
อุปกรณ์ snokerling ดำน้ำดูปลา ปะการังใต้น้ำ (ฟรี)
ลานหมากรุกยักษ์ (ฟรี)
สปากลางทะเล (มีค่าใช้จ่าย แน่นอนอยู่แล้ว ^^)
ล่องเรือใบ (มีค่าใช้จ่าย)
หรือการแสดงของพนักงานที่มีให้ชมช่วงเย็นๆค่ะ
นอกจากนั้น กลุ่ม Anantara ยังมีห้องเลาจน์บริการลูกค้าขาเข้าและออกที่สนามบิน มีไวไฟ และเครื่องดื่มบริการให้นั่งพัก ก่อนขึ้นเรือเฟอร์รี่มาที่รีสอร์ต
พนักงานดูแลห้องที่จะเข้ามาทำความสะอาดวันละ 2 ครั้ง พร้อมจัดเตียงสวยงามแตกต่างกันในแต่ละวัน
แต่ … สินค้าทุกอย่างก็มีข้อควรปรับปรุง เช่นเดียวกับ Anantara Veli ที่สมบูรณ์แบบ แต่ยังไม่เพอร์เฟกต์ทุกอย่าง
ข้อควรปรับปรุง
อย่างแรกเป็นห้องพักบังกะโลกลางน้ำ ที่สร้างติดกันจนขาดความเป็นส่วนตัว บางห้องหันหน้าเข้าหากันเองระหว่าง Superior และ Deluxe และถึงแม้จะมีเวิ้งทะเลกั้น ก็ไม่ผ่อนคลายสายตา เพราะแนวขอบฟ้าด้านหน้า กลายเป็นบังกะโล แทนที่จะเป็นทะเลค่ะ
และด้วยความที่บังกะโลสร้างด้วยไม้ การดูแลรักษาคงยากพอตัวยิ่งเมื่ออยู่ในน้ำเค็ม จึงทำให้ห้องดูเก่าไปหน่อย ไม่เอี่ยมใหม่เหมือนในรูปโฆษณา และที่สำคัญวิวของห้องพักแบบ Superior จะเห็นเพียง 150 องศาเท่านั้น เพราะด้านข้างจะมีบานไม้ยื่นออกมากั้นบังสายตา
ดังนั้นจากจำนวนห้อง Superior ทั้งหมด ฉันยกให้เพียง 2 ห้องที่มุมดี ไม่มีวิวชนกับใคร และไม่โดยแดดเช้ากับเย็น ซึ่งก็คือห้อง 148 ที่ฉันเข้าพัก และ 150 ห้องข้างๆค่ะ
ฉันไม่ได้โชคดีเข้าพักห้องนี้ตั้งแต่ต้นหรอกค่ะ … ห้องแรกของฉันคือห้อง 145 และวิวตรงหน้าก็เป็นร้านอาหารไทย ทะเลก็ไม่สวย ผิดหวังจนต้องเดินไปขอเปลี่ยนห้อง และก็โชคดีที่ห้อง 148 ว่างค่ะ … นี่เป็นวิวห้องแรกของเราที่เห็นร้านอาหารไทยเต็มๆ
ส่วนการบริการ ก็ค่อนข้างผิดหวังกับ Concierge เพราะอีเมล์ถามคำถามไป 5 ข้อตอบกลับมา 3 เหมือนตั้งใจไม่ตอบเรื่องอาหาร เพราะอยากให้กินที่โรงแรมมากกว่า เช่นเดียวกับราคากิจกรรม ที่ไม่แจ้งกลับ และไม่มีการสอบถามเรื่องเรือเฟอร์รี่รับส่งเรา … ซึ่งฉันโชคดีมากที่นึกขึ้นได้ก่อนเดินสัก 2 อาทิตย์ จึงรีบอีเมล์จองกับโรงแรมทันที ไม่อย่างนั้นวันนั้นจะไปโรงแรมยังไง ก็คงงงๆอยู่ที่สนามบินค่ะ
ความสมบูรณ์ของทะเลก็เป็นอีกประเด็นที่ฉันผิดหวัง … ครั้งแรกที่ฉันมามัลดีฟส์เมื่อ 9 ปีที่แล้ว สัตว์น้ำเยอะกว่านี้มาก … แต่ที่นี่ ซึ่งฉันก็ไม่แน่ใจว่าขึ้นกับฤดูกาลหรือไม่ เพราะปลาน้อยมากเลยค่ะ ฉันเห็นฉลามแค่ 2 ตัว ปลากระเบนอีก 3-4 ตัว เท่านั้น ยอมรับเลยว่าผิดหวัง เพราะไปโม้กับคุณสามีไว้มากมาย
และที่สำคัญ Anatara Veli มีหาดที่สั้นมากค่ะ ทรายไม่ขาวละเอียดเหมือน Anantara Dhigu เดินรอบเกาะก็ไม่ได้ เพราะบางส่วนทำเป็นห้องพัก แต่ปัญหานี้ก็แก้ได้ด้วยการขึ้นเรือไปที่ Anantara Dhigu แทนค่ะ แต่ก็เสียใจหนักมากเหมือนกัน
อื่นๆ
ส่วนข้อมูลอื่นๆที่อยากจะฝากไว้ ก็เป็นเรื่องของร้านอาหาร ที่ Anantara มีให้เลือกหลายร้านจริง ทั้งอาหารไทย อาหารญี่ปุ่น อิตาเลี่ยน คาเฟ่ บาร์ ซีฟู้ต หรือดินเนอร์ ริมหาดส่วนตัวก็ได้ แต่ทุกร้านไม่ได้เปิดทุกวัน ต้องดูวันและเวลาเปิดจากแผ่นพับในห้อง ส่วนราคาอาหารเฉลี่ยต่อคน ต่อมื้อ อยู่ระหว่าง 1,200-2,000 บาท ถ้ากิน 2 มื้อต่อวัน ก็ตก 6,000 – 8,000 บาทสำหรับสองคนค่ะ
ร้านอาหารไทย
แต่ฉันโชคดีมากค่ะ … เพราะเราอาศัยอยู่ที่สิงคโปร์ เวลาของสิงคโปร์กับมัลดีฟส์ต่างกัน 3 ชั่วโมง ฉันเลย jet lag ตื่นตีห้าทุกวัน เป็นเวลาสามวัน อาหารเช้าจึงเป็นผลไม้ที่โรงแรมจัดให้ และมื้อเที่ยงก็เป็น Brunch ตอน 10.30 น. ซึ่งก็คืออาหารเช้าที่รวมอยู่ในค่าห้อง ดังนั้นมื้อเย็นเท่านั้นที่กินกับโรงแรมค่ะ
Breakfast
ความหลากหลายของอาหารเช้า มีทั้งโจ๊ก อาหารมุสลิม ไข่ดาว แพนเค้ก ผลไม้ ซีเรียล และอื่นๆอีกมากมาย มื้อเช้านี้ให้ 3.5/5 ค่ะ
วันกลับ พนักงานจะเตรียมโต๊ะพิเศษหลบมุมให้กับแขกทุกคน พร้อมกับข้อความบ้ายบายจากโรงแรมที่เขียนด้วยทรายสีค่ะ
สำหรับประเภทของห้อง … นอกจากห้อง Superior Over Water Bangalow ก็ยังมี Over Water Bangalow ที่ราคาย่อมเยาว์กว่า ส่วนห้อง Deluxe Over Water Bangalow และ Ocean Pool Bangalow นั้น ราคาเฉลี่ยต่อคืน เท่ากระเป๋าชาแนลค่ะ หรือตกคืนละ 50,000-80,000 บาท
ราคานี้เป็นช่วงไฮซีซั่นค่ะ ราคาช่วงโลว์ซึ่งเริ่มตั้งแต่กรกฏาคม-ตุลาคม จะถูกกว่านี้ บางทีมีลดถึง 40% และแถมอาหารด้วยค่ะ และบอกเลยว่า ฉันเคยมาช่วงโลว์ ฝนตกบ้างแต่ไม่มากค่ะ เมฆผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ยังไงสะ ของแบบนี้ เอาแน่นอนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับโชคชะตาด้วยนะคะ ^^
Superior Over Water Bungalow
Deluxe Over Water Bungalow
Ocean Pool Bungalow
บทสรุปของ Anantara Veli ฉันกัดฟันให้ 3.5/5 ค่ะ จริงๆอยากให้ 4/5 เพราะเป็นทริปที่มีความสุข ฟิน และสนุกมากจริงๆ อยู่ที่นั่นแล้วเหมือนเวลาหยุดนิ่ง ดูนาฬิกาแต่ละทีก็คิดอยู่ว่า ทำไมเข็มเดินช้ากว่าปกติ … แต่ด้วยค่าห้องที่เท่ารองเท้าชาแนลคืนละคู่ ความคาดหวังจึงสวนทางกับความเป็นจริง ห้องน่าจะบำรุงรักษา หรือตกแต่งให้ทันสมัยกว่านี้ เช่นเดียวกับบริการที่ควรไร้ที่ติเหมือนโรงแรมห้าดาวทั่วไป และวิวของบังกะโลต้องหมดจด เห็นแลนด์มาร์คของมัลดีฟส์ที่กุมหัวใจทุกคนไว้
ห้องพัก 3/5
การบริการ 3/5
กิจกรรม 4/5
บรรยากาศ 4/5
ห้องอาหาร 3/5
ที่ตั้ง Veli, Maldives
อีเมล์ velimaldives@anantara.com
http://veli-maldives.anantara.com
Related Posts: