ฮอยอันน่ารัก แต่เว้ยิ่งใหญ่
ฮอยอันใจดี แต่เว้ดุดัน
วัฒนธรรมเป็นหัวใจของฮอยอัน แต่ตำนานที่ยิ่งใหญ่คือตัวตนของเว้
เราเดินทางไปเว้ด้วยเส้นทางที่สวยงามที่สุดสายหนึ่งของเวียดนาม
ภูเขา Han Van (ไฮเวิน) กั้นดานังและเว้ ออกจากกัน ถนนที่คดเคี้ยวตามไหล่เขาเผยให้เราเห็นอ่าวดานังและทะเลจีนใต้ที่งดงาม เช่นเดียวกับแนวป่าสีเขียวชอุ่มสมบูรณ์ของประเทศนี้
ระหว่างทางมิสทั่ม ไกด์จาก ICS Groups ของเรา หยุดรถให้ชมหมู่บ้านโรคเรื้อน ซึ่งในอดีตคนที่เป็นโรคเรื้อนย้าย ออกมาตั้งชุมชนของตัวเองที่นี่ สร้างโรงเรียนและหมู่บ้านของตัวเองท่ามกลางเวิ้งหาดสีขาว และปัจจุบันหลายครอบครัวก็ยังอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ยอมย้ายกลับเข้าเมืองถึงแม้จะไร้โรคเรื้อนแล้วก็ตาม
ส่วนจุดที่สองบนยอดเขาไฮเวิน เป็นที่จอดพักรถระหว่างทาง มีร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึก และบังเกอร์เก่าของฝรั่งเศสให้ชม
เว้ – เมืองเก่า เมืองประวัติศาสตร์ของเวียดนาม
เว้เคยเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนามอยู่ร้อยกว่าปี มีราชวงศ์เหงียนปกครองประเทศในระบบจักดิ์พรรดิ์ ในช่วงกลางราชวงศ์เหงียน ประเทศฝรั่งเศสเริ่มแผ่อำนาจเข้ามา จนเมื่อปลายราชวงศ์ระบบจักรพรรดิ์ก็ล่มสลายลง ประเทศแตกออกเป็นสองแนวคิด หนุนหลังโดยคอมมิวนิสต์ และประชาธิปไตย แต่สุดท้ายแล้วฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ เป็นฝ่ายชนะและรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นแหล่งท่องเที่ยวของเว้จึงเกี่ยวเนื่องกับระบบจักรพรรดิ์ที่เคยรุ่งโรจน์ อำนาจล้นฟ้าเปรียบดังราชาสวรรค์ ก่อให้เกิดสุสานจักรพรรดิ์ที่ตระการตา และพระราชวังต้องห้ามที่อลังการ เป็นประวัติศาสาต์ที่ น่าจดจำของชาวเวียดนามอีกหน้าหนึ่ง
(หากสนใจเรื่องราวตอนรวมประเทศเวียดนาม สิ้นสุดสงคราเวียดนาม อ่านเพิ่มเติมได้ในบล็อกโฮจิมินห์ซิตี้ค่ะ บล็อกนั้นพาไปเที่ยว พิพิธภัณฑ์สงครามเวียดนาม และชม Reunification Palace จุดที่เวียดนามเหนือบุกเข้ายึดเวียดนามใต้ เป็นการยุติสงครามเวียดนาม ที่โหดร้าย )
4 แหล่งท่องเที่ยวห้ามพลาดของเว้
Imperial Enclosure หรือพระราชวังต้องห้าม (Hue Royal Palace)
National Seal ตราประทับของจักรพรรดิ์
เราตัดสินใจไปชมพระราชวังต้องห้ามกันตอนบ่ายแก่ๆของวันที่ร้อนจัดวันนั้น ซึ่งเป็นความคิดที่ถูกต้องค่ะ เพราะอุณหภูมิของเว้ในฤดูร้อนสูงเฉียด 40 องศา และเราไม่กล้าเสี่ยงแน่นอน
พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ใจกลางเมืองเว้ … ภายนอกของพระราชวังโอบล้อมด้วยคูน้ำและกำแพงสูงใหญ่ เป็นวิธีการป้องกันข้าศึกที่ใช้กันมาหลายยุคหลายสมัยในอดีต
หลังจากเดินผ่านประตูหลักเข้ามาด้านใน ก็จะเจอกับถนนเรียบตรงกลางซึ่งเป็นเส้นทางเฉพาะขององค์จักรพรรดิ์ในอดีต ถนนสายยาวเส้นนี้ทำให้เรารู้ว่า พระราชวังต้องห้ามนี้มีขนาดกว้างใหญ่กว่าที่จินตนาการไว้มาก
อาณาบริเวณทั้งหมดน่าจะกินพื้นที่หลายร้อยไร่ ซึ่งถ้าใครคิดจะเดินสำรวจให้ครบ คงต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันเลยเชียว
เราเริ่มต้นชมพระราชวังต้องห้ามกันตรงที่ว่าราชการของจักรพรรรดิ์ ศาลาตรงกลางเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ์ราชวงศเหงียน มิสทั่ม ไกด์ของเราเล่าให้ฟังว่าจักรพรรดิ์ของราชวงศ์เหงียนมีทั้งหมด 13 พระองค์ ช่วงแรกจักรพรรดิ์จะอยู่ภายใต้จีน หากจะทำอะไรก็ต้องขออนุญาติจากจีนเสียก่อน แต่ช่วงหลังฝรั่งเศสเข้ามามีอำนาจในเวียดนาม จักรพรรดิ์จึงเป็นเพียงหุ่นเชิดของฝรั่งเศส ทำให้หลายพระองค์มีอายุน้อย เพื่อที่ฝรั่งเศสจะควบคุมได้ง่าย
และเพื่อเป็นการประหยัดเวลา เราตัดสินใจเช่ารถไฟฟ้าที่มีบริการอยู่ในพระราชวัง รถไฟฟ้าคันนี้ขับพาเราไปดูจุดสำคัญๆของพระราชวังต้องห้าม ซึ่งก็มีทั้ง Brillian Pavillion หอสองชั้นสูงที่สุดของพระราชวังต้องห้าม เป็นหอที่จักรพรรดิ์ใช้สวดมนต์ หรือจะเป็น Ancestor Temple ซึ่งฉันชอบที่สุด เพราะมีพระฉายาลักษณ์ของจักรพรรดิ์ทั้ง 13 พระองค์ประดับไว้บนตู้บูชา ข้างๆมีมิสทั่มคอยเล่าประวัติแต่ละพระองค์ให้ฟัง สนุกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์เลยค่ะ (ห้องนี้ไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปภายใน) หรือจะเป็นพระราชวังของซูซีไทเฮา ที่สร้างคล้ายบ้านคนรวยหลังเล็กๆ อาณาบริเวณมีสระน้ำหย่อนใจดูอบอุ่น ก่อนจะจบลงที่ National Seal หรือตราประทับรูปมังกรสีทองอร่าม สัตว์มงคลที่หันหน้าเข้าหาพระราชวังต้องห้าม เป็นจุดสุดท้ายก่อนจะอำลาพระราชวังแห่งนี้ตอนห้าโมงครึ่ง ก่อนเวลาปิดครึ่งชั่วโมงค่ะ
ระยะเวลาเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้าม เราใช้กันประมาณ 1.30 – 2.00 ชั่วโมงค่ะ ฉันแนะนำให้เลือกไกด์ชาวเวียดนามเป็นคนนำทาง เพราะประวัติศาสตร์ของเวียดนามของราชวงศ์เหงียนนั้นน่าสนใจมาก ซึ่งไกด์เวียดนามที่เข้ามาในพระราชวังก็จะสวยใส่ประจำชาติ ผู้ใหญ่ก็ใส่ชุดอ่าวหญ่าย อย่างมิสทั่มของเราเพื่อแสดงความเคารพด้วยค่ะ
คลิ๊กชมบรรยากาศของพระราชวังต้องห้ามในรายการ So City นาทีที่ 2.20 –>
VIDEO
Thien Mu Pagoda วัดเทียนมู่ หรือวัดเทพธิดาราม & นั่งเรือมังกรล่องแม่น้ำหอม
ถัดจากพระราชวังต้องห้าม เราเดินทางไปที่วัดเทียนมู่ หรือเจดีย์เทียนมู่ วัดทางพุทธศานา ซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์ 7 ชั้น จุดที่คนเคยเห็นเทพธิดามาปรากฏกายตรงนี้
วัดนี้สร้างขึ้นมาเกือบ 400 ปีแล้วค่ะ และยังได้รับการทำนุบำรุงอย่างดี ปัจจุบันก็ยังเป็นที่เคารพของชาวพุทธในเวียดนามอยู่
และนอกจากเจดีย์ 7 ชั้นสูงตระหง่านต้อนรับเราแล้ว อีกไฮไลท์ที่สำคัญ แต่เราไม่ได้เข้าไปชมกัน ก็เป็นสถูปเก็บรถออสตินสีฟ้า คันที่เจ้าอาวาสจากวัดเทียนมู่ขับไปไซง่อนและเผาตัวเองจนเสียชีวิตประท้วงคอมมิวนิสต์ค่ะ
รูปภาพตอนที่ท่านเผาตัวเองเป็นภาพที่น่าสลดใจไปทั่วโลก และรูปนี้ก็ยังมีให้ชมที่ไซง่อน หรือโฮจิมินห์ ซิตี้
ก่อนจะลงเรือมังกรด้านหน้าของวัด เราได้ชมจุดพระอาทิตย์ตกดินงดงามที่สุดของเว้ค่ะ
ตรงนี้มีทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเวียดนามนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ริมผา ห้อยขาและทอดสายตาชมแสงอาทิตย์ลับแนวเขา ซึ่งมิสทั่มบอกกับเราว่า … แม่น้ำสายใหญ่นี้ มีชื่อว่าแม่น้ำหอม หรือ Perfume River กลิ่นหอมของแม่น้ำเกิดจากทุ่งดอกไม้ที่แม่น้ำไหลผ่าน และแนวเขาที่สลับกันไปมานั้นเป็นเขตแดนธรรมชาติกั้นเวียดนามกับลาว
มุมนี้ของเว้งดงามและน่าประทับใจเหลือเกินค่ะ …
เรือมังกรหลายลำจอดรอรับนักท่องเที่ยวอยู่ที่ริมแม่น้ำหอมด้านหน้าวัด ถึงแม้จะรู้ว่านี่เป็นกิจกรรมล่อนักท่องเที่ยวเสียเงิน แต่ฉันก็ไม่ปฏิเสธที่จะนั่ง เพราะแม่น้ำสายนี้สวยงามจริงๆค่ะ ยิ่งตอนที่นั่งนั้น พระอาทิตย์ลับฟ้าไปเรื่อยๆ เราได้เห็นแสงทไวไลท์กับความสงบริมแม่น้ำ เป็นภาพที่เห็นแล้วทำให้จิตใจสงบเยือกเย็นลงได้อย่างดี …
รายการ So City พาไปชมวัดเทียนมู่ และล่องแม่น้ำหอม นาทีที่ 7.00 –>
VIDEO
Khai Dinh Tomb สุสานพระเจ้าไคดิน
ท้องฟ้าวันนี้สดใสเป็นสีฟ้ากระจ่างสวยงามมากค่ะ เรามาถึงสุสานพระเจ้าไคดิน จักรพรรดิ์องค์ที่ 12 ในราชวงศ์เหงียนกันตอนสายๆ … เงยหน้ามองบันไดตรงหน้าที่ทั้งสูงและชัน ไม่ได้บ่นอะไร และมิสทั่มเหมือนรู้ใจก็พูดขึ้นมาว่า สุสานนี้สร้างให้สูงเพื่อให้ใกล้กับสวรรค์ เธอยังบอกอีกว่า จักรพรรดิ์เวียดนามเชื่อว่า ชีวิตหลังความตายยืนยาวกว่า ดังนั้นจึงสร้างสุสานให้กับตนเองตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นความคิดที่คล้ายกับฟาโรห์ของอียิปต์ และที่เว้ ก็มีสุสานจักรพรรดิ์อยู่หลายแห่ง แต่สุสานที่งดงามและน่าชมมีอยู่สองแห่ง และหนึ่งในนั้นก็คือสุสานพระเจ้าไคดิน ที่เรากำลังจะเข้าชมกันในอีกไม่กี่นาทีนี้
สุสานพระเจ้าไคดินใช้เวลาสร้างถึง 11 ปี ด้านนอกเป็นงานคอนกรีตแกะสลัก ส่วนด้านในซึ่งเป็นที่เก็บพระศพเป็นงาน กระเบื้องสี ซึ่งนำมาตัดและประดิษฐ์เป็นรูปทรงต่างๆ มีสีเหลืองทองเป็นฐานของสีห้อง ทำให้ทุกอย่างในสุสานดูมลังเมลือง สวยงามตระการตามากจริงๆค่ะ …
เรื่องราวของสุสานพระเจ้าไคดินยังมีอีกมากมาย ข้างในสุสานสวยงามมากจริงๆค่ะ คลิ๊กชมรายการ So City ได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ –>
VIDEO
Tu Duc Tome สุสานพระเจ้าตือดึ๊ก
ถัดมาเป็นสุสานของพระเข้าตือดึ๊ก ซึ่งห่างจากสุสานของพระเจ้าไคดินเพียง 15-20 นาที
สุสานพระเจ้าตือดึ๊กมีบรรยากาศคล้ายกับสวนสวยในบ้านของเศรษฐี มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่และร่มรื่น มิสทั่มบอกว่า สุสานของจักรพรรดิ์เวียดนามไม่ได้มีลักษณะตายตัว จักรพรรดิ์แต่พระองค์สร้างตามความชอบของตัวเองได้ และพระเจ้าตือดึ๊กนั้นชอบอยู่กับธรรมชาติ ท่านจึงสร้างสวยบัว สระน้ำขนาดใหญ่ จำลองภูเขากลางน้ำ และมีศาลาเล็กๆให้นั่งชมธรรมชาติเบื้องหน้า … สุสานพระเจ้าตือดึ๊กใช้เวลาสร้างเพียง 3 ปีเท่านั้น และยังเสร็จในช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ พระเจ้าตือดึ๊กจึงได้ย้ายมาอยู่ที่นี่บ้างในบางวัน
ประวัติของพระเจ้าตือดึ้กนั้นก็น่าสนใจค่ะ ท่านเป็นจักรพรรดิ์องค์ที่ 4 ของราชวงศ์เหงียน ขึ้นครองราชย์นานที่สุดถึง 40 ปี และก็เป็นจักรพรรดิ์ที่มีภรรยาและสนมเป็นร้อยแต่ไม่มีบุตรสืบราชวงศ์ ซึ่งชาวเวียดนามเชื่อว่าเพราะท่านทำสัญญา ยกดินแดนบางส่วนให้ฝรั่งเศส สวรรค์เลยลงโทษไม่ให้มีบุตรสืบราชสกุล
ที่เก็บพระศพของท่านยังเป็นความลับอีกด้วยค่ะ เพราะท่านมีศัตรูมากมาย จึงมีกลลวงไม่ให้รู้ว่าพระศพนั้นอยู่ตรงไหนของสุสาน
ดูบรรยากาศร่มรื่นของสุสานพระเจ้าตือดึ๊กได้ที่รายการ So City นาทีที่ 4.00 ตามลิงค์นี้ค่ะ
VIDEO
“เว้” เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์มากมายและยาวนาน การเที่ยวเมืองนี้ให้ได้ความรู้ ฉันจึงแนะนำให้มีไกด์เก่งๆ และรถยนต์ส่วนตัว ซึ่งเราใช้บริการของ ICS Travel Groups บริษัทเอเจนท์ที่มีความเชี่ยวชาญเส้นทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไม่ผิดหวังเลยค่ะ
12 Nov 2016
0 Comments
เสน่ห์ของ “เว้” ที่ไม่น้อยกว่า “ฮอยอัน” – เวียดนาม
ฮอยอันน่ารัก แต่เว้ยิ่งใหญ่
ฮอยอันใจดี แต่เว้ดุดัน
วัฒนธรรมเป็นหัวใจของฮอยอัน แต่ตำนานที่ยิ่งใหญ่คือตัวตนของเว้
เราเดินทางไปเว้ด้วยเส้นทางที่สวยงามที่สุดสายหนึ่งของเวียดนาม
ภูเขา Han Van (ไฮเวิน) กั้นดานังและเว้ ออกจากกัน ถนนที่คดเคี้ยวตามไหล่เขาเผยให้เราเห็นอ่าวดานังและทะเลจีนใต้ที่งดงาม เช่นเดียวกับแนวป่าสีเขียวชอุ่มสมบูรณ์ของประเทศนี้
ระหว่างทางมิสทั่ม ไกด์จาก ICS Groups ของเรา หยุดรถให้ชมหมู่บ้านโรคเรื้อน ซึ่งในอดีตคนที่เป็นโรคเรื้อนย้าย ออกมาตั้งชุมชนของตัวเองที่นี่ สร้างโรงเรียนและหมู่บ้านของตัวเองท่ามกลางเวิ้งหาดสีขาว และปัจจุบันหลายครอบครัวก็ยังอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ยอมย้ายกลับเข้าเมืองถึงแม้จะไร้โรคเรื้อนแล้วก็ตาม
ส่วนจุดที่สองบนยอดเขาไฮเวิน เป็นที่จอดพักรถระหว่างทาง มีร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึก และบังเกอร์เก่าของฝรั่งเศสให้ชม
เว้ – เมืองเก่า เมืองประวัติศาสตร์ของเวียดนาม
เว้เคยเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนามอยู่ร้อยกว่าปี มีราชวงศ์เหงียนปกครองประเทศในระบบจักดิ์พรรดิ์ ในช่วงกลางราชวงศ์เหงียน ประเทศฝรั่งเศสเริ่มแผ่อำนาจเข้ามา จนเมื่อปลายราชวงศ์ระบบจักรพรรดิ์ก็ล่มสลายลง ประเทศแตกออกเป็นสองแนวคิด หนุนหลังโดยคอมมิวนิสต์ และประชาธิปไตย แต่สุดท้ายแล้วฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ เป็นฝ่ายชนะและรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นแหล่งท่องเที่ยวของเว้จึงเกี่ยวเนื่องกับระบบจักรพรรดิ์ที่เคยรุ่งโรจน์ อำนาจล้นฟ้าเปรียบดังราชาสวรรค์ ก่อให้เกิดสุสานจักรพรรดิ์ที่ตระการตา และพระราชวังต้องห้ามที่อลังการ เป็นประวัติศาสาต์ที่ น่าจดจำของชาวเวียดนามอีกหน้าหนึ่ง
(หากสนใจเรื่องราวตอนรวมประเทศเวียดนาม สิ้นสุดสงคราเวียดนาม อ่านเพิ่มเติมได้ในบล็อกโฮจิมินห์ซิตี้ค่ะ บล็อกนั้นพาไปเที่ยว พิพิธภัณฑ์สงครามเวียดนาม และชม Reunification Palace จุดที่เวียดนามเหนือบุกเข้ายึดเวียดนามใต้ เป็นการยุติสงครามเวียดนาม ที่โหดร้าย )
4 แหล่งท่องเที่ยวห้ามพลาดของเว้
Imperial Enclosure หรือพระราชวังต้องห้าม (Hue Royal Palace)
National Seal ตราประทับของจักรพรรดิ์
เราตัดสินใจไปชมพระราชวังต้องห้ามกันตอนบ่ายแก่ๆของวันที่ร้อนจัดวันนั้น ซึ่งเป็นความคิดที่ถูกต้องค่ะ เพราะอุณหภูมิของเว้ในฤดูร้อนสูงเฉียด 40 องศา และเราไม่กล้าเสี่ยงแน่นอน
พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ใจกลางเมืองเว้ … ภายนอกของพระราชวังโอบล้อมด้วยคูน้ำและกำแพงสูงใหญ่ เป็นวิธีการป้องกันข้าศึกที่ใช้กันมาหลายยุคหลายสมัยในอดีต
หลังจากเดินผ่านประตูหลักเข้ามาด้านใน ก็จะเจอกับถนนเรียบตรงกลางซึ่งเป็นเส้นทางเฉพาะขององค์จักรพรรดิ์ในอดีต ถนนสายยาวเส้นนี้ทำให้เรารู้ว่า พระราชวังต้องห้ามนี้มีขนาดกว้างใหญ่กว่าที่จินตนาการไว้มาก
อาณาบริเวณทั้งหมดน่าจะกินพื้นที่หลายร้อยไร่ ซึ่งถ้าใครคิดจะเดินสำรวจให้ครบ คงต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันเลยเชียว
เราเริ่มต้นชมพระราชวังต้องห้ามกันตรงที่ว่าราชการของจักรพรรรดิ์ ศาลาตรงกลางเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ์ราชวงศเหงียน มิสทั่ม ไกด์ของเราเล่าให้ฟังว่าจักรพรรดิ์ของราชวงศ์เหงียนมีทั้งหมด 13 พระองค์ ช่วงแรกจักรพรรดิ์จะอยู่ภายใต้จีน หากจะทำอะไรก็ต้องขออนุญาติจากจีนเสียก่อน แต่ช่วงหลังฝรั่งเศสเข้ามามีอำนาจในเวียดนาม จักรพรรดิ์จึงเป็นเพียงหุ่นเชิดของฝรั่งเศส ทำให้หลายพระองค์มีอายุน้อย เพื่อที่ฝรั่งเศสจะควบคุมได้ง่าย
และเพื่อเป็นการประหยัดเวลา เราตัดสินใจเช่ารถไฟฟ้าที่มีบริการอยู่ในพระราชวัง รถไฟฟ้าคันนี้ขับพาเราไปดูจุดสำคัญๆของพระราชวังต้องห้าม ซึ่งก็มีทั้ง Brillian Pavillion หอสองชั้นสูงที่สุดของพระราชวังต้องห้าม เป็นหอที่จักรพรรดิ์ใช้สวดมนต์ หรือจะเป็น Ancestor Temple ซึ่งฉันชอบที่สุด เพราะมีพระฉายาลักษณ์ของจักรพรรดิ์ทั้ง 13 พระองค์ประดับไว้บนตู้บูชา ข้างๆมีมิสทั่มคอยเล่าประวัติแต่ละพระองค์ให้ฟัง สนุกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์เลยค่ะ (ห้องนี้ไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปภายใน) หรือจะเป็นพระราชวังของซูซีไทเฮา ที่สร้างคล้ายบ้านคนรวยหลังเล็กๆ อาณาบริเวณมีสระน้ำหย่อนใจดูอบอุ่น ก่อนจะจบลงที่ National Seal หรือตราประทับรูปมังกรสีทองอร่าม สัตว์มงคลที่หันหน้าเข้าหาพระราชวังต้องห้าม เป็นจุดสุดท้ายก่อนจะอำลาพระราชวังแห่งนี้ตอนห้าโมงครึ่ง ก่อนเวลาปิดครึ่งชั่วโมงค่ะ
ระยะเวลาเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้าม เราใช้กันประมาณ 1.30 – 2.00 ชั่วโมงค่ะ ฉันแนะนำให้เลือกไกด์ชาวเวียดนามเป็นคนนำทาง เพราะประวัติศาสตร์ของเวียดนามของราชวงศ์เหงียนนั้นน่าสนใจมาก ซึ่งไกด์เวียดนามที่เข้ามาในพระราชวังก็จะสวยใส่ประจำชาติ ผู้ใหญ่ก็ใส่ชุดอ่าวหญ่าย อย่างมิสทั่มของเราเพื่อแสดงความเคารพด้วยค่ะ
คลิ๊กชมบรรยากาศของพระราชวังต้องห้ามในรายการ So City นาทีที่ 2.20 –>
Thien Mu Pagoda วัดเทียนมู่ หรือวัดเทพธิดาราม & นั่งเรือมังกรล่องแม่น้ำหอม
ถัดจากพระราชวังต้องห้าม เราเดินทางไปที่วัดเทียนมู่ หรือเจดีย์เทียนมู่ วัดทางพุทธศานา ซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์ 7 ชั้น จุดที่คนเคยเห็นเทพธิดามาปรากฏกายตรงนี้
วัดนี้สร้างขึ้นมาเกือบ 400 ปีแล้วค่ะ และยังได้รับการทำนุบำรุงอย่างดี ปัจจุบันก็ยังเป็นที่เคารพของชาวพุทธในเวียดนามอยู่
และนอกจากเจดีย์ 7 ชั้นสูงตระหง่านต้อนรับเราแล้ว อีกไฮไลท์ที่สำคัญ แต่เราไม่ได้เข้าไปชมกัน ก็เป็นสถูปเก็บรถออสตินสีฟ้า คันที่เจ้าอาวาสจากวัดเทียนมู่ขับไปไซง่อนและเผาตัวเองจนเสียชีวิตประท้วงคอมมิวนิสต์ค่ะ
รูปภาพตอนที่ท่านเผาตัวเองเป็นภาพที่น่าสลดใจไปทั่วโลก และรูปนี้ก็ยังมีให้ชมที่ไซง่อน หรือโฮจิมินห์ ซิตี้
ก่อนจะลงเรือมังกรด้านหน้าของวัด เราได้ชมจุดพระอาทิตย์ตกดินงดงามที่สุดของเว้ค่ะ
ตรงนี้มีทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเวียดนามนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ริมผา ห้อยขาและทอดสายตาชมแสงอาทิตย์ลับแนวเขา ซึ่งมิสทั่มบอกกับเราว่า … แม่น้ำสายใหญ่นี้ มีชื่อว่าแม่น้ำหอม หรือ Perfume River กลิ่นหอมของแม่น้ำเกิดจากทุ่งดอกไม้ที่แม่น้ำไหลผ่าน และแนวเขาที่สลับกันไปมานั้นเป็นเขตแดนธรรมชาติกั้นเวียดนามกับลาว
มุมนี้ของเว้งดงามและน่าประทับใจเหลือเกินค่ะ …
เรือมังกรหลายลำจอดรอรับนักท่องเที่ยวอยู่ที่ริมแม่น้ำหอมด้านหน้าวัด ถึงแม้จะรู้ว่านี่เป็นกิจกรรมล่อนักท่องเที่ยวเสียเงิน แต่ฉันก็ไม่ปฏิเสธที่จะนั่ง เพราะแม่น้ำสายนี้สวยงามจริงๆค่ะ ยิ่งตอนที่นั่งนั้น พระอาทิตย์ลับฟ้าไปเรื่อยๆ เราได้เห็นแสงทไวไลท์กับความสงบริมแม่น้ำ เป็นภาพที่เห็นแล้วทำให้จิตใจสงบเยือกเย็นลงได้อย่างดี …
รายการ So City พาไปชมวัดเทียนมู่ และล่องแม่น้ำหอม นาทีที่ 7.00 –>
Khai Dinh Tomb สุสานพระเจ้าไคดิน
ท้องฟ้าวันนี้สดใสเป็นสีฟ้ากระจ่างสวยงามมากค่ะ เรามาถึงสุสานพระเจ้าไคดิน จักรพรรดิ์องค์ที่ 12 ในราชวงศ์เหงียนกันตอนสายๆ … เงยหน้ามองบันไดตรงหน้าที่ทั้งสูงและชัน ไม่ได้บ่นอะไร และมิสทั่มเหมือนรู้ใจก็พูดขึ้นมาว่า สุสานนี้สร้างให้สูงเพื่อให้ใกล้กับสวรรค์ เธอยังบอกอีกว่า จักรพรรดิ์เวียดนามเชื่อว่า ชีวิตหลังความตายยืนยาวกว่า ดังนั้นจึงสร้างสุสานให้กับตนเองตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นความคิดที่คล้ายกับฟาโรห์ของอียิปต์ และที่เว้ ก็มีสุสานจักรพรรดิ์อยู่หลายแห่ง แต่สุสานที่งดงามและน่าชมมีอยู่สองแห่ง และหนึ่งในนั้นก็คือสุสานพระเจ้าไคดิน ที่เรากำลังจะเข้าชมกันในอีกไม่กี่นาทีนี้
สุสานพระเจ้าไคดินใช้เวลาสร้างถึง 11 ปี ด้านนอกเป็นงานคอนกรีตแกะสลัก ส่วนด้านในซึ่งเป็นที่เก็บพระศพเป็นงาน กระเบื้องสี ซึ่งนำมาตัดและประดิษฐ์เป็นรูปทรงต่างๆ มีสีเหลืองทองเป็นฐานของสีห้อง ทำให้ทุกอย่างในสุสานดูมลังเมลือง สวยงามตระการตามากจริงๆค่ะ …
เรื่องราวของสุสานพระเจ้าไคดินยังมีอีกมากมาย ข้างในสุสานสวยงามมากจริงๆค่ะ คลิ๊กชมรายการ So City ได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ –>
Tu Duc Tome สุสานพระเจ้าตือดึ๊ก
ถัดมาเป็นสุสานของพระเข้าตือดึ๊ก ซึ่งห่างจากสุสานของพระเจ้าไคดินเพียง 15-20 นาที
สุสานพระเจ้าตือดึ๊กมีบรรยากาศคล้ายกับสวนสวยในบ้านของเศรษฐี มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่และร่มรื่น มิสทั่มบอกว่า สุสานของจักรพรรดิ์เวียดนามไม่ได้มีลักษณะตายตัว จักรพรรดิ์แต่พระองค์สร้างตามความชอบของตัวเองได้ และพระเจ้าตือดึ๊กนั้นชอบอยู่กับธรรมชาติ ท่านจึงสร้างสวยบัว สระน้ำขนาดใหญ่ จำลองภูเขากลางน้ำ และมีศาลาเล็กๆให้นั่งชมธรรมชาติเบื้องหน้า … สุสานพระเจ้าตือดึ๊กใช้เวลาสร้างเพียง 3 ปีเท่านั้น และยังเสร็จในช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ พระเจ้าตือดึ๊กจึงได้ย้ายมาอยู่ที่นี่บ้างในบางวัน
ประวัติของพระเจ้าตือดึ้กนั้นก็น่าสนใจค่ะ ท่านเป็นจักรพรรดิ์องค์ที่ 4 ของราชวงศ์เหงียน ขึ้นครองราชย์นานที่สุดถึง 40 ปี และก็เป็นจักรพรรดิ์ที่มีภรรยาและสนมเป็นร้อยแต่ไม่มีบุตรสืบราชวงศ์ ซึ่งชาวเวียดนามเชื่อว่าเพราะท่านทำสัญญา ยกดินแดนบางส่วนให้ฝรั่งเศส สวรรค์เลยลงโทษไม่ให้มีบุตรสืบราชสกุล
ที่เก็บพระศพของท่านยังเป็นความลับอีกด้วยค่ะ เพราะท่านมีศัตรูมากมาย จึงมีกลลวงไม่ให้รู้ว่าพระศพนั้นอยู่ตรงไหนของสุสาน
ดูบรรยากาศร่มรื่นของสุสานพระเจ้าตือดึ๊กได้ที่รายการ So City นาทีที่ 4.00 ตามลิงค์นี้ค่ะ
“เว้” เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์มากมายและยาวนาน การเที่ยวเมืองนี้ให้ได้ความรู้ ฉันจึงแนะนำให้มีไกด์เก่งๆ และรถยนต์ส่วนตัว ซึ่งเราใช้บริการของ ICS Travel Groups บริษัทเอเจนท์ที่มีความเชี่ยวชาญเส้นทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไม่ผิดหวังเลยค่ะ
Related Posts: