ไกด์พาเที่ยวแบบ Full HD ของ Thaifootprint ได้เดินทางมาถึงอีกเมืองแล้วค่ะ คราวนี้ฉันจะพาเที่ยว “โอซาก้าแบบสามมิติ” คือต่างเวลาแต่เมืองเดียวกัน เพื่อฉลองการวางแผงหนังสือครบสองเดือนของ “เซียนโอซก้า” ไกด์บุ๊คเล่มล่าสุดของฉัน^^
ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ถ้าไม่ได้แฟนเพจชี้ทาง ป่านนี้คงได้ออก “เซียนโตเกียว” แทน “เซียนโอซาก้า” และหลังจากศึกษาข้อมูลของเมืองนี้ ฉันและคุณสามีก็ออกเดินทางไปเมืองหลวงของอาหารกันถึงสองปีติดๆกัน เราใช้เวลาสำรวจโอซ้าร่วมๆ 30 วัน หรือหนึ่งเดือนค่ะ ทำให้เห็นหลายมุมของโอซาก้า ที่บอกได้เลยว่า “ไม่ผิดหวังจริงๆ” ที่เลือกเขียนถึงเมืองนี้
Day 1
โอซาก้ากลางเก่า กลางใหม่
วันแรกในโอซาก้า ฉันแนะนำสุดหัวใจให้ไปทำความรู้จักหน้าตาของโอซาก้าในอดีตกันที่โฮเซนจิ โยโกโช (Hozenji Yokocho) ตรอกเล็กๆ ที่มีทางเดินลาดหิน และสองข้างทางรายล้อมไปด้วยร้านอาหารอร่อยที่มีอายุอานามไม่ต่ำกว่าร้อยปี
แวะนมัสการ วัดโฮเซนจิ (Hozenji Temple) ที่มีรูปปั้นของนักบวชมิซุกะเกะ ฟุโด (Mizukake Fudo) ซึ่งปกคลุมไปด้วยต้นมอสส์สีเขียว สร้างความมหัศจรรย์ให้กับผู้พบเห็น… ตรอกนี้สะท้อนมิติในอดีตของโอซาก้าได้อย่างดีเยี่ยม เดินแล้วจินตนาการบรรเจิด เหมือนนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปอดีตในบัดดล
จากนั้นเราเดินตัดออกไปทางโดทมโบริ (Dotonbori) ถนนแห่งความรื่นเริง ที่รวมป้ายไฟขนาดยักษ์ และแสงไฟตระการตา ร้านอาหารนับร้อยร้านเปิดประตูต้อนรับนักกินจากทั่วสารทิศ ทำให้โอซาก้ามีอาหารอร่อยให้เราเลือกกินมากกว่าเมืองใดๆ ของญี่ปุ่น และนั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ “เมืองหลวงของความอร่อย” อย่างไม่ต้องสงสัย
ป้ายกูลิโกะ ป้ายปูยักษ์ ป้ายปลาปักเป้า และป้ายกระป๋องเบียร์อาซาฮี เป็นสี่ป้ายใหญ่ที่คนกระวนกระวายใจอยากถ่ายรูปด้วยเป็นที่สุด ป้ายกูลิโกะนั้นมีประวัติว่าอยู่คู่เมืองโอซาก้ามานานถึง 80 ปี ส่วนป้ายเบียร์อาซาฮี ก็บอกกับเราว่า โอซาก้านี่แหล่ะเป็นเมืองแรกของญี่ปุ่นที่ให้กำเนิดเบียร์กระป๋อง!!!
ร้านอาหารอร่อยที่ฉันติดใจบนถนนโดทมโบริมีมากกว่า 10 ร้าน หาอ่านได้ใน “เซียนโอซาก้า” 555 แต่ร้านโปรดของฉันต้องเป็นร้านนี้ Imai ร้านที่ขายอุด้งหน้าฟองเต้าหู้ที่อร่อยสุดในสามโลกค่ะ Imai ตั้งอยู่ในบ้านโบราณของญี่ปุ่น แฝงเร้นตัวเหมือนนินจา เลยทำให้ผู้คนเดินผ่านความอร่อยไปโดยที่ไม่รู้เลยว่า ที่นี่คือขุมทรัพย์ที่เซียนเก็บงำไว้คนเดียว
โดทมโบริสะท้อนอีกมิติของโอซาก้าที่ต่างจากโฮเซนจิ โยโกโช… เพราะถนนนี้ทำให้เห็นมิติกลางเก่ากลางใหม่ เหมือนเป็นตัวคั่นเวลาก่อนจะเดินหน้าไปสู่ความทันสมัยของเมืองในอีกไม่ช้า
ถนนชินไซบาชิ (Shinsaibashi) ซึ่งอยู่ห่างจากโดทมโบริเพียงสะพานอิบุสุ (Ebisu Bridge) คั่น เป็นถนนช็อปปิ้งในร่มที่โด่งดังที่สุดของเมืองและของภูมิภาคคันไซ สองข้างทางมีแบรนด์ดังๆ มากมาย ร้านอาหารและขนมก็เพียบพร้อมไปทุกอณู เป็นวันคืนแห่งความทันสมัยที่ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของอดีต แต่ที่นี่ยังไม่ใช่อนาคตของโอซาก้า ที่ฉันจะพาไปรู้จักในวันต่อไป
The Mailing เป็นร้านที่คนรัก Onisuka Tiger ห้ามพลาด ที่ร้านมีรองเท้าทั้งของผู้ใหญ่และเด็ก และหลายรุ่นเป็น เวอร์ชั่นลิมิเต็ด มีเฉพาะในญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ
Sanrio Gallery เป็นหย่อมความกดอากาศสูง เข้าแล้วต้องปิดหู เพราะจะได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ อยู่เป็นระยะ เฮลโลคิตตี้ กบเคโระ และยังมีตัวการ์ตูนของซานริโออีกหลายตัวให้เลือกซื้อมากมาย เห็นแล้ว หัวใจจะวายค่ะ
Daimaru เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งเดียวที่อยู่ในย่านชินไซบาชิ (Shinsaibashi) ไดมารูที่นี่มีสองตึกให้ช็อปปิ้งกันอย่างจุใจ แบรนด์ที่ถูกใจ และราคาดีเยี่ยม ก็หนีไม่พ้นแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่น เช่น เครื่องสำอาง Jill Stuart ร้านขายของใช้ดีไซน์เก๋อย่าง Muji หรือ Afternoon Tea LIVING ร้านขายของแต่งบ้านน่ารัก และอีกสารพันแบรนด์ที่แทบจะยกทั้งประเทศมาอยู่ในที่เดียว
มนต์ขลังของโอซาก้ายังมีอีกนะคะ นี่แค่วันแรกเราก็ได้รู้จักโอซาก้าในหลายมิติกันแล้ว และเพื่อไม่ให้เราเหนื่อย จนเกินไป ฉันต้องขอตัวกลับเข้าโรงแรม The St. Regis Osaka ที่พักสุดโปรดของฉันและครอบครัว โรงแรมนี้ใหม่เอี่ยมอ่อง ห้องใหญ่กว่าไซส์มาตรฐานของโรงแรมญี่ปุ่น อยู่สบาย แถมการบริการยังเป็นเลิศ กงเซียร์จ (Concierge) ฉับไว รู้หมดทุกเรื่อง ถามอะไร พิมพ์คำตอบออกมาเป็นเอกสาร ไม่มีหลงเลยค่ะ
วิวของโอซาก้าจากหน้าต่างบานใหญ่ของ The St.Regis
Day 2
“หน้าที่และหน้าตา” ของโอซาก้า
ศูนย์รวมจิตใจของชาวโอซาก้า คงหนีไม่พ้น ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ที่ดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลยค่ะ ฉันเคยไปชมปราสาทนี้ในวันที่ดอกซากุระบานแฉ่ง สีชมพูของซากุระหวานๆ ทำให้ปราสาทสีขาวหลังคาสีเขียว 8 ชั้น แห่งนี้ ดูอ่อนโยนมากกว่าหน้าที่ที่ได้รับ
ในอดีตปราสาทโอซาก้าเป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็ง และความเป็นปึกแผ่นที่นายพลโทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ(Toyotomi Hideyoshi) ฮีโร่ของเมืองได้สร้างไว้ ปราสาทนี้ผ่านสงครามและไฟไหม้มาหลายครา ถึงแม้จะกลายเป็นจุล แต่ชาวโอซาก้าก็รวบรวมกำลังใจและทรัพย์ที่มีสร้างกลับขึ้นมาใหม่ดังที่เห็นทุกวันนี้ค่ะ
เทศกาลซากุระ ชาวญี่ปุ่นจะปูเสื่อชมดอกไม้ที่สวนในบริเวณปราสาทโอซาก้า
ถัดจากปราสาทโอซาก้าซึ่งเปรียบเสมือน “หน้าที่” ของเมือง ฉันก็ได้นั่งรถไฟออกนอกเมืองไปชม “หน้าตา” ของโอซาก้ากันที่อ่าวโอซาก้า (Osaka Bay) ที่เปรียบเสมือนลมหายใจของโอซาก้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ท่าเรือใหญ่ที่อ่าวโอซาก้าแห่งนี้เป็นประตูบานใหญ่ที่เปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาสู่ญี่ปุ่น หลายวัฒนธรรมผสมผสานกลมกลืนผ่านการแต่งงาน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเมือง ตัวอย่างเช่นอาหารชื่อดัง โอโคโนมิยากิ ทาโคยากิ และข้าวผัดห่อไข่ ล้วนเป็นตัวอย่างอาหารลูกครึ่งญี่ปุ่นตะวันตกที่งดงามที่สุด
อ่าวโอซาก้ามีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอยู่ 2 แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคาน (Osaka Aquarium Kaiyukan) และ Universal Studio Japan
หากต้องเลือกระหว่างสองที่ในเวลา 4 ชั่วโมง แน่นอนว่าคำตอบต้องเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอยู่แล้วค่ะ ฉันเคยมาที่พิพิธภัณฑ์นี้สามครั้ง สังเกตว่าคิวตอนบ่ายจะสั้นกว่าตอนเช้า แต่ข้อสังเกตนี้ไม่รวมวันหยุดนะคะ เพราะยังไงก็ยาวทั้งวี่ทั้งวัน
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ เป็นพิพิธภัณฑ์ในร่มที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ตัวตึกมีรูปทรงคล้ายตัวอักษรคันจิโมเสคสีแดงและรูปภาพสัตว์น้ำทำให้ดูโดดเด่นตั้งแต่ระยะไกล ภายในมีแทงค์น้ำให้ชมถึง 14 แทงค์ และสัตว์ทะเลอีกกว่า 30,000 ชนิด ดาราสาวตุ๊กตาทองหนีไม่พ้นฉลามวาฬขนาดใหญ่ที่สุดตัวหนึ่งของโลกเลย ที่ว่ายเวียนดั่งนางพญาดูแล้วสง่างามมากๆ ค่ะ
หากเราจบทริปชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำผ่านไปได้ไว ในตึกเดียวกันยังมีทริปล่องเรือโคลัมบัส ซานต้า มาเรีย (Santa Maria) อีกด้วยนะคะ โดยใช้เวลาล่องอ่าวโอซาก้าทั้งหมด 45 นาที ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นหน้าตาของเมืองกันอีกมุมหนึ่ง เป็นมุมที่เรือส่งสินค้ากำลังมุ่งหน้ามาขึ้นท่าที่โอซาก้านั่นเองค่ะ
ส่วนมื้อค่ำคืนนี้ฉันขอแนะนำ Tempozan Market Place ศูนย์การค้าที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ที่ชั้นหนึ่งของที่นี่มีสวนอาหารชื่อ Naniwa Kuishinbo Yokocho เป็นที่รวมร้านอร่อยของโอซาก้าในอดีต เช่น โอโคโนมิยากิของร้าน Boteju ทาโคยากิของร้าน Aizuya และขนมหวานอร่อยๆ อีกมากมาย ศูนย์อาหารนี้ตกแต่งในธีมโบราณ เหมือนเดินอยู่ในตรอกเล็กๆ ที่มีร้านอาหารอร่อยให้เลือกมากมาย อิ่มแล้วก็กลับโรงแรมอย่างสุขใจ นอนฝันดีถึงทริปวันพรุ่งนี้ต่อไป … Sweet Dream
Day 3
เมืองใหม่ New Osaka
สองวันแรก เรารู้จักโอซาก้าในมิติเก่าและมิติยุคกลางๆ กันมาแล้ว วันนี้ถึงเวลายลโฉมโลกอนาคตกันบ้างค่ะ… โอซาก้ามหึมาไม่น้อยหน้าโตเกียวเลยทีเดียว และย่านที่จะพาคุณๆ ไปเที่ยวกันต่อนี้เรียกว่าอูเมดะ (Umeda) อยู่ทางทิศเหนือของเมือง และเป็นชุมทางสำคัญของภูมิภาคคันไซค่ะ
Umeda Sky Building เป็นแลนด์มาร์คแห่งแรกของย่านนี้ รูปทรงตึกที่คล้ายยานอวกาศลอยฟ้า ทำให้หลายคนแวะมาถ่ายรูปกันที่นี่ ชั้นบนสุดของตึกนี้มีสวนลอยฟ้าและต้นไม้เกือบสองพันต้น แต่มุมน่ารักที่ฉันชอบเป็นมุมคล้อง กุญแจแห่งความรัก ซึ่งมีเก้าอี้ให้นั่งเล่นชมเมืองและถ่ายรูปค่ะ
Osaka Station City หรือชุมทางรถไฟขนาดใหญ่ของเมืองและภูมิภาคนี้ ทำให้เรานึกถึงโตเกียว และความวุ่นวาย ของสถานีชินจูกุ เส้นทางรถไฟที่ฉวัดเฉวียนไปมา นอกจากจะสร้างความเวียนเฮด แต่ก็สร้างบรรยากาศของเมือง ใหญ่ให้เด่นชัดขึ้น
ฉันชอบมาช็อปปิ้งที่นี่ค่ะ ร้านอาหารก็มีให้เลือกมากมาย และห้างที่ถูกชะตามาที่สุดคือ Hankyu Department Store ที่นี่มีบริการวายฟายเร็วทันใจสำหรับนักท่องเที่ยว ชั้นใต้ดินมีขนมและอาหารอร่อยๆ หลายร้านเครื่องสำอางก็มีทั้ง THREE และ Les Merveilleuses LADURÉE หรือจะเป็นกระเป๋า Bao Bao ก็มีนะคะ
ส่วนวัยรุ่นทั้งหลาย ก็ไม่ควรพลาดย่านชายามาชิ (Chayamachi) ย่านสุดฮิปของอูเมดะ ที่มีทั้งงานศิลปะในวันหยุด คาเฟ่เก๋ๆ ตามรายทาง และ Loft ขนาดใหญ่ ที่มีสินค้าเก๋ไก๋ให้เลือกละลานตาเลยค่ะ
หากความมันส์และซาบซ่ายังไม่พอ ฉันแนะให้ไปเดินต่อที่ Americamura ย่านช็อปปิ้ง แหล่งรวมวัยรุ่นอีกแห่งของเมือง ที่นี่มี Egg n’ Things ร้านแพนเค้กชื่อดังจากฮาวายมาเปิดด้วยนะ
ไม่ห่างกันนักก็ยังมี Orange Street ถนนช็อปปิ้งและชิลแลกซ์ที่ฉันว่าเก๋ขาดใจ เหมือนฮงอิกของโซลผสมกับโซโหของฮ่องกงอย่างงั้นเลยค่ะ
Day 4
รอบเอว โอซาก้า
วันสุดท้ายนี้ ฉันแนะนำให้ย้ายร่างไปเที่ยวตามรอบเอวของเมืองกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเกียวโต โกเบ หรือนารา นั่งรถไฟสายด่วนไม่เกินชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ หรือจะเป็น Rinku Premium Outlets ที่มีแบรนด์ชื่อดังมากมาย The Momofuku Ando Instant Ramen Museum พิพิธภัณฑ์บะหมี่สำเร็จรูปที่จะทำให้เรารู้ที่มาของบะหมี่นิชชิน และประวัติของคุณลุงอันโดผู้ยิ่งใหญ่ หรือแม้แต่ Expo’ 70 Commemorative Park สวนขนาดใหญ่ ที่เคยเป็นที่จัดงาน World Expo ในปี 1970 ดอกไม้ที่สวนนี้สวยจับตา และโชคดีที่ฉันไปในเดือนของดอกป๊อปปี้ จึงได้ชมทุ่งดอกป๊อปปี้ที่ขึ้นจนเต็มเนินเขาเล็กๆ เลย
The Momofuku Ando Instant Ramen Museum
Expo’ 70 Commemorative Park
สี่วันนี้คงจะทำให้เรารู้จักโอซาก้ากันมากขึ้น พอได้เห็นสามมิติของเมืองแบบรวบรัด แต่จริงๆ แล้วเมืองนี้ยังมีเสน่ห์ซุกซ่อนอยู่อีกมากมาย เช่น สวนดอกกุหลาบที่เกาะนากาโนะชิมะ (Nakanoshima Rose Garden) ถนนช็อปปิ้งในร่มเทนจิมบาซิสึจิ (Tenjimbashisuji Shopping Street) ที่ยาวที่สุดในโลก หรือจะเป็นย่านเก่าแก่เทนโนจิ (Tennoji) ที่
วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) และหอคอยซึเทนกะกุ (Tsutenkaku Tower) ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง
… ว่าแล้ว แพ็คของเสร็จกันหรือยังคะ พร้อมออกเดินทางไปยัง “โอซาก้าสามมิติ” กันแล้วใช่ไหมเอ่ย
ข้อมูล “เซียนโอซาก้า” ชอบใจ ก็หาซื้อได้ที่ร้านนายอินทร์นะคะ
7 Aug 2015
0 Comments
โอซาก้า “สามมิติ”
ไกด์พาเที่ยวแบบ Full HD ของ Thaifootprint ได้เดินทางมาถึงอีกเมืองแล้วค่ะ คราวนี้ฉันจะพาเที่ยว “โอซาก้าแบบสามมิติ” คือต่างเวลาแต่เมืองเดียวกัน เพื่อฉลองการวางแผงหนังสือครบสองเดือนของ “เซียนโอซก้า” ไกด์บุ๊คเล่มล่าสุดของฉัน^^
ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ถ้าไม่ได้แฟนเพจชี้ทาง ป่านนี้คงได้ออก “เซียนโตเกียว” แทน “เซียนโอซาก้า” และหลังจากศึกษาข้อมูลของเมืองนี้ ฉันและคุณสามีก็ออกเดินทางไปเมืองหลวงของอาหารกันถึงสองปีติดๆกัน เราใช้เวลาสำรวจโอซ้าร่วมๆ 30 วัน หรือหนึ่งเดือนค่ะ ทำให้เห็นหลายมุมของโอซาก้า ที่บอกได้เลยว่า “ไม่ผิดหวังจริงๆ” ที่เลือกเขียนถึงเมืองนี้
Day 1
โอซาก้ากลางเก่า กลางใหม่
วันแรกในโอซาก้า ฉันแนะนำสุดหัวใจให้ไปทำความรู้จักหน้าตาของโอซาก้าในอดีตกันที่โฮเซนจิ โยโกโช (Hozenji Yokocho) ตรอกเล็กๆ ที่มีทางเดินลาดหิน และสองข้างทางรายล้อมไปด้วยร้านอาหารอร่อยที่มีอายุอานามไม่ต่ำกว่าร้อยปี
แวะนมัสการ วัดโฮเซนจิ (Hozenji Temple) ที่มีรูปปั้นของนักบวชมิซุกะเกะ ฟุโด (Mizukake Fudo) ซึ่งปกคลุมไปด้วยต้นมอสส์สีเขียว สร้างความมหัศจรรย์ให้กับผู้พบเห็น… ตรอกนี้สะท้อนมิติในอดีตของโอซาก้าได้อย่างดีเยี่ยม เดินแล้วจินตนาการบรรเจิด เหมือนนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปอดีตในบัดดล
จากนั้นเราเดินตัดออกไปทางโดทมโบริ (Dotonbori) ถนนแห่งความรื่นเริง ที่รวมป้ายไฟขนาดยักษ์ และแสงไฟตระการตา ร้านอาหารนับร้อยร้านเปิดประตูต้อนรับนักกินจากทั่วสารทิศ ทำให้โอซาก้ามีอาหารอร่อยให้เราเลือกกินมากกว่าเมืองใดๆ ของญี่ปุ่น และนั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ “เมืองหลวงของความอร่อย” อย่างไม่ต้องสงสัย
ป้ายกูลิโกะ ป้ายปูยักษ์ ป้ายปลาปักเป้า และป้ายกระป๋องเบียร์อาซาฮี เป็นสี่ป้ายใหญ่ที่คนกระวนกระวายใจอยากถ่ายรูปด้วยเป็นที่สุด ป้ายกูลิโกะนั้นมีประวัติว่าอยู่คู่เมืองโอซาก้ามานานถึง 80 ปี ส่วนป้ายเบียร์อาซาฮี ก็บอกกับเราว่า โอซาก้านี่แหล่ะเป็นเมืองแรกของญี่ปุ่นที่ให้กำเนิดเบียร์กระป๋อง!!!
ร้านอาหารอร่อยที่ฉันติดใจบนถนนโดทมโบริมีมากกว่า 10 ร้าน หาอ่านได้ใน “เซียนโอซาก้า” 555 แต่ร้านโปรดของฉันต้องเป็นร้านนี้ Imai ร้านที่ขายอุด้งหน้าฟองเต้าหู้ที่อร่อยสุดในสามโลกค่ะ Imai ตั้งอยู่ในบ้านโบราณของญี่ปุ่น แฝงเร้นตัวเหมือนนินจา เลยทำให้ผู้คนเดินผ่านความอร่อยไปโดยที่ไม่รู้เลยว่า ที่นี่คือขุมทรัพย์ที่เซียนเก็บงำไว้คนเดียว
โดทมโบริสะท้อนอีกมิติของโอซาก้าที่ต่างจากโฮเซนจิ โยโกโช… เพราะถนนนี้ทำให้เห็นมิติกลางเก่ากลางใหม่ เหมือนเป็นตัวคั่นเวลาก่อนจะเดินหน้าไปสู่ความทันสมัยของเมืองในอีกไม่ช้า
ถนนชินไซบาชิ (Shinsaibashi) ซึ่งอยู่ห่างจากโดทมโบริเพียงสะพานอิบุสุ (Ebisu Bridge) คั่น เป็นถนนช็อปปิ้งในร่มที่โด่งดังที่สุดของเมืองและของภูมิภาคคันไซ สองข้างทางมีแบรนด์ดังๆ มากมาย ร้านอาหารและขนมก็เพียบพร้อมไปทุกอณู เป็นวันคืนแห่งความทันสมัยที่ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของอดีต แต่ที่นี่ยังไม่ใช่อนาคตของโอซาก้า ที่ฉันจะพาไปรู้จักในวันต่อไป
The Mailing เป็นร้านที่คนรัก Onisuka Tiger ห้ามพลาด ที่ร้านมีรองเท้าทั้งของผู้ใหญ่และเด็ก และหลายรุ่นเป็น เวอร์ชั่นลิมิเต็ด มีเฉพาะในญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ
Sanrio Gallery เป็นหย่อมความกดอากาศสูง เข้าแล้วต้องปิดหู เพราะจะได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ อยู่เป็นระยะ เฮลโลคิตตี้ กบเคโระ และยังมีตัวการ์ตูนของซานริโออีกหลายตัวให้เลือกซื้อมากมาย เห็นแล้ว หัวใจจะวายค่ะ
Daimaru เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งเดียวที่อยู่ในย่านชินไซบาชิ (Shinsaibashi) ไดมารูที่นี่มีสองตึกให้ช็อปปิ้งกันอย่างจุใจ แบรนด์ที่ถูกใจ และราคาดีเยี่ยม ก็หนีไม่พ้นแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่น เช่น เครื่องสำอาง Jill Stuart ร้านขายของใช้ดีไซน์เก๋อย่าง Muji หรือ Afternoon Tea LIVING ร้านขายของแต่งบ้านน่ารัก และอีกสารพันแบรนด์ที่แทบจะยกทั้งประเทศมาอยู่ในที่เดียว
มนต์ขลังของโอซาก้ายังมีอีกนะคะ นี่แค่วันแรกเราก็ได้รู้จักโอซาก้าในหลายมิติกันแล้ว และเพื่อไม่ให้เราเหนื่อย จนเกินไป ฉันต้องขอตัวกลับเข้าโรงแรม The St. Regis Osaka ที่พักสุดโปรดของฉันและครอบครัว โรงแรมนี้ใหม่เอี่ยมอ่อง ห้องใหญ่กว่าไซส์มาตรฐานของโรงแรมญี่ปุ่น อยู่สบาย แถมการบริการยังเป็นเลิศ กงเซียร์จ (Concierge) ฉับไว รู้หมดทุกเรื่อง ถามอะไร พิมพ์คำตอบออกมาเป็นเอกสาร ไม่มีหลงเลยค่ะ
วิวของโอซาก้าจากหน้าต่างบานใหญ่ของ The St.Regis
Day 2
“หน้าที่และหน้าตา” ของโอซาก้า
ศูนย์รวมจิตใจของชาวโอซาก้า คงหนีไม่พ้น ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ที่ดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลยค่ะ ฉันเคยไปชมปราสาทนี้ในวันที่ดอกซากุระบานแฉ่ง สีชมพูของซากุระหวานๆ ทำให้ปราสาทสีขาวหลังคาสีเขียว 8 ชั้น แห่งนี้ ดูอ่อนโยนมากกว่าหน้าที่ที่ได้รับ
ในอดีตปราสาทโอซาก้าเป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็ง และความเป็นปึกแผ่นที่นายพลโทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ(Toyotomi Hideyoshi) ฮีโร่ของเมืองได้สร้างไว้ ปราสาทนี้ผ่านสงครามและไฟไหม้มาหลายครา ถึงแม้จะกลายเป็นจุล แต่ชาวโอซาก้าก็รวบรวมกำลังใจและทรัพย์ที่มีสร้างกลับขึ้นมาใหม่ดังที่เห็นทุกวันนี้ค่ะ
เทศกาลซากุระ ชาวญี่ปุ่นจะปูเสื่อชมดอกไม้ที่สวนในบริเวณปราสาทโอซาก้า
ถัดจากปราสาทโอซาก้าซึ่งเปรียบเสมือน “หน้าที่” ของเมือง ฉันก็ได้นั่งรถไฟออกนอกเมืองไปชม “หน้าตา” ของโอซาก้ากันที่อ่าวโอซาก้า (Osaka Bay) ที่เปรียบเสมือนลมหายใจของโอซาก้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ท่าเรือใหญ่ที่อ่าวโอซาก้าแห่งนี้เป็นประตูบานใหญ่ที่เปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาสู่ญี่ปุ่น หลายวัฒนธรรมผสมผสานกลมกลืนผ่านการแต่งงาน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเมือง ตัวอย่างเช่นอาหารชื่อดัง โอโคโนมิยากิ ทาโคยากิ และข้าวผัดห่อไข่ ล้วนเป็นตัวอย่างอาหารลูกครึ่งญี่ปุ่นตะวันตกที่งดงามที่สุด
อ่าวโอซาก้ามีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอยู่ 2 แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคาน (Osaka Aquarium Kaiyukan) และ Universal Studio Japan
หากต้องเลือกระหว่างสองที่ในเวลา 4 ชั่วโมง แน่นอนว่าคำตอบต้องเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอยู่แล้วค่ะ ฉันเคยมาที่พิพิธภัณฑ์นี้สามครั้ง สังเกตว่าคิวตอนบ่ายจะสั้นกว่าตอนเช้า แต่ข้อสังเกตนี้ไม่รวมวันหยุดนะคะ เพราะยังไงก็ยาวทั้งวี่ทั้งวัน
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ เป็นพิพิธภัณฑ์ในร่มที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ตัวตึกมีรูปทรงคล้ายตัวอักษรคันจิโมเสคสีแดงและรูปภาพสัตว์น้ำทำให้ดูโดดเด่นตั้งแต่ระยะไกล ภายในมีแทงค์น้ำให้ชมถึง 14 แทงค์ และสัตว์ทะเลอีกกว่า 30,000 ชนิด ดาราสาวตุ๊กตาทองหนีไม่พ้นฉลามวาฬขนาดใหญ่ที่สุดตัวหนึ่งของโลกเลย ที่ว่ายเวียนดั่งนางพญาดูแล้วสง่างามมากๆ ค่ะ
หากเราจบทริปชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำผ่านไปได้ไว ในตึกเดียวกันยังมีทริปล่องเรือโคลัมบัส ซานต้า มาเรีย (Santa Maria) อีกด้วยนะคะ โดยใช้เวลาล่องอ่าวโอซาก้าทั้งหมด 45 นาที ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นหน้าตาของเมืองกันอีกมุมหนึ่ง เป็นมุมที่เรือส่งสินค้ากำลังมุ่งหน้ามาขึ้นท่าที่โอซาก้านั่นเองค่ะ
ส่วนมื้อค่ำคืนนี้ฉันขอแนะนำ Tempozan Market Place ศูนย์การค้าที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ที่ชั้นหนึ่งของที่นี่มีสวนอาหารชื่อ Naniwa Kuishinbo Yokocho เป็นที่รวมร้านอร่อยของโอซาก้าในอดีต เช่น โอโคโนมิยากิของร้าน Boteju ทาโคยากิของร้าน Aizuya และขนมหวานอร่อยๆ อีกมากมาย ศูนย์อาหารนี้ตกแต่งในธีมโบราณ เหมือนเดินอยู่ในตรอกเล็กๆ ที่มีร้านอาหารอร่อยให้เลือกมากมาย อิ่มแล้วก็กลับโรงแรมอย่างสุขใจ นอนฝันดีถึงทริปวันพรุ่งนี้ต่อไป … Sweet Dream
Day 3
เมืองใหม่ New Osaka
สองวันแรก เรารู้จักโอซาก้าในมิติเก่าและมิติยุคกลางๆ กันมาแล้ว วันนี้ถึงเวลายลโฉมโลกอนาคตกันบ้างค่ะ… โอซาก้ามหึมาไม่น้อยหน้าโตเกียวเลยทีเดียว และย่านที่จะพาคุณๆ ไปเที่ยวกันต่อนี้เรียกว่าอูเมดะ (Umeda) อยู่ทางทิศเหนือของเมือง และเป็นชุมทางสำคัญของภูมิภาคคันไซค่ะ
Umeda Sky Building เป็นแลนด์มาร์คแห่งแรกของย่านนี้ รูปทรงตึกที่คล้ายยานอวกาศลอยฟ้า ทำให้หลายคนแวะมาถ่ายรูปกันที่นี่ ชั้นบนสุดของตึกนี้มีสวนลอยฟ้าและต้นไม้เกือบสองพันต้น แต่มุมน่ารักที่ฉันชอบเป็นมุมคล้อง กุญแจแห่งความรัก ซึ่งมีเก้าอี้ให้นั่งเล่นชมเมืองและถ่ายรูปค่ะ
Osaka Station City หรือชุมทางรถไฟขนาดใหญ่ของเมืองและภูมิภาคนี้ ทำให้เรานึกถึงโตเกียว และความวุ่นวาย ของสถานีชินจูกุ เส้นทางรถไฟที่ฉวัดเฉวียนไปมา นอกจากจะสร้างความเวียนเฮด แต่ก็สร้างบรรยากาศของเมือง ใหญ่ให้เด่นชัดขึ้น
ฉันชอบมาช็อปปิ้งที่นี่ค่ะ ร้านอาหารก็มีให้เลือกมากมาย และห้างที่ถูกชะตามาที่สุดคือ Hankyu Department Store ที่นี่มีบริการวายฟายเร็วทันใจสำหรับนักท่องเที่ยว ชั้นใต้ดินมีขนมและอาหารอร่อยๆ หลายร้านเครื่องสำอางก็มีทั้ง THREE และ Les Merveilleuses LADURÉE หรือจะเป็นกระเป๋า Bao Bao ก็มีนะคะ
ส่วนวัยรุ่นทั้งหลาย ก็ไม่ควรพลาดย่านชายามาชิ (Chayamachi) ย่านสุดฮิปของอูเมดะ ที่มีทั้งงานศิลปะในวันหยุด คาเฟ่เก๋ๆ ตามรายทาง และ Loft ขนาดใหญ่ ที่มีสินค้าเก๋ไก๋ให้เลือกละลานตาเลยค่ะ
หากความมันส์และซาบซ่ายังไม่พอ ฉันแนะให้ไปเดินต่อที่ Americamura ย่านช็อปปิ้ง แหล่งรวมวัยรุ่นอีกแห่งของเมือง ที่นี่มี Egg n’ Things ร้านแพนเค้กชื่อดังจากฮาวายมาเปิดด้วยนะ
ไม่ห่างกันนักก็ยังมี Orange Street ถนนช็อปปิ้งและชิลแลกซ์ที่ฉันว่าเก๋ขาดใจ เหมือนฮงอิกของโซลผสมกับโซโหของฮ่องกงอย่างงั้นเลยค่ะ
Day 4
รอบเอว โอซาก้า
วันสุดท้ายนี้ ฉันแนะนำให้ย้ายร่างไปเที่ยวตามรอบเอวของเมืองกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเกียวโต โกเบ หรือนารา นั่งรถไฟสายด่วนไม่เกินชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ หรือจะเป็น Rinku Premium Outlets ที่มีแบรนด์ชื่อดังมากมาย The Momofuku Ando Instant Ramen Museum พิพิธภัณฑ์บะหมี่สำเร็จรูปที่จะทำให้เรารู้ที่มาของบะหมี่นิชชิน และประวัติของคุณลุงอันโดผู้ยิ่งใหญ่ หรือแม้แต่ Expo’ 70 Commemorative Park สวนขนาดใหญ่ ที่เคยเป็นที่จัดงาน World Expo ในปี 1970 ดอกไม้ที่สวนนี้สวยจับตา และโชคดีที่ฉันไปในเดือนของดอกป๊อปปี้ จึงได้ชมทุ่งดอกป๊อปปี้ที่ขึ้นจนเต็มเนินเขาเล็กๆ เลย
The Momofuku Ando Instant Ramen Museum
Expo’ 70 Commemorative Park
สี่วันนี้คงจะทำให้เรารู้จักโอซาก้ากันมากขึ้น พอได้เห็นสามมิติของเมืองแบบรวบรัด แต่จริงๆ แล้วเมืองนี้ยังมีเสน่ห์ซุกซ่อนอยู่อีกมากมาย เช่น สวนดอกกุหลาบที่เกาะนากาโนะชิมะ (Nakanoshima Rose Garden) ถนนช็อปปิ้งในร่มเทนจิมบาซิสึจิ (Tenjimbashisuji Shopping Street) ที่ยาวที่สุดในโลก หรือจะเป็นย่านเก่าแก่เทนโนจิ (Tennoji) ที่
วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) และหอคอยซึเทนกะกุ (Tsutenkaku Tower) ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง
… ว่าแล้ว แพ็คของเสร็จกันหรือยังคะ พร้อมออกเดินทางไปยัง “โอซาก้าสามมิติ” กันแล้วใช่ไหมเอ่ย
ข้อมูล “เซียนโอซาก้า” ชอบใจ ก็หาซื้อได้ที่ร้านนายอินทร์นะคะ
Related Posts: