“สวิสไวน์” ไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูพวกเรานัก และนั่นจึงทำให้ไร่องุ่นของสวิสเซอร์แลนด์ ถูกรัศมีของเทือกเขาแอลป์ บดบังไปเกือบสิ้น
เช้าวันนั้น ฉันและคุณสามีวางแผนไปเที่ยวเมืองเล็กๆรอบทะเลสาบเจนีวา ชื่อของเอเปส (Epesse) ไม่เคยผ่านเข้ามาในสมองของฉัน แต่เหมือนมีอะไรดลใจ จึงสะกิดถามกงเซียร์ที่โรงแรมว่า “รอบๆทะเลสาบมี เมืองน่ารักอื่นๆอีกไหมที่ชาวสวิสชอบไปกัน”
Lavaux (ลาโวซ์) เป็นชื่อที่กงเซียร์คนนั้นตอบกลับมา เขาบอกว่าที่นี่เป็นไร่องุ่นดังที่สุดของประเทศ และยังเป็น UNESCO มรดกโลกอีกด้วยนะ …
เหรอๆ … เราเก็บชื่อนี้ไว้ในใจ ยังไม่ตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ จนกระทั่งมาถึงมงเทรอซ์ และเดินชมเมืองเสร็จก่อนเวลา จึงถามพนักงานขายตั๋วอีกครั้ง นายสถานีหนุ่มผู้นี้ย้ำกับเราเช่นเดิมว่า “ลาโวซ์” นี่สวยนะ และเมืองที่เขาแนะนำ ชื่อ “เอเปส” (Epesse) รถไฟกำลังจะออกไปแล้วด้วย!!!!
รถไฟไปเอเปส ไม่ได้มีถี่นัก หนึ่งชั่วโมงอาจจะมีสักเที่ยวน่าจะได้ค่ะ ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถไฟฉันคลิ๊กหาข้อมูลของเอเปสเป็นภาษาไทย และก็นิ่ง … ไม่พบอะไรทั้งสิ้น
สถานีเอเปสมีสภาพเหมือนกระต๊อบเก่าๆ เราเดินลงจากกระต๊อบอย่างงงๆ มุ่งหน้าไปด้านทะเลสาบ ซึ่งแดดจ้ามากเพราะเป็นเวลาเที่ยงตรง
สีของน้ำในทะเลสาบวันนั้น มีสีฟ้ามัวๆ วิวเทือกเขาเป็นแบค์กราวน์ด้านหลัง ระหว่างน้ำและฟ้ามีหมอกจางเหมือนภาพลวงตา … ทางเรียบริมทะเลสาปนิ่งเงียบ เราไม่พบเจอสักชีวิตในละแวกนี้ แต่เราได้เจอสวรรค์ที่ลอยอยู่ กลางทะเล ชีวิตของคนในเรือลำนั้นคงสุขใจเป็นที่สุด
120 นาทีที่ลมหายใจหยุดลง เริ่มตั้งแต่วินาทีนั้นค่ะ … เราเดินผ่านอุโมงค์ใต้รางรถไฟ ไปตามทางเดินสู่เมืองเอเปส
เอเปส (Epesse) เป็นหนึ่งหมู่บ้านในบริเวณที่เรียกว่า “ลาโวซ์” เมืองมรดกโลก ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเวเวย์ (Vevey) และโลซานน์ (Lausanne)
ไหล่เขาริมทะเลสาบเจนีวาเป็นทางยาวกว่า 30 กิโลเมตร ที่ปกคลุมไปด้วยไร่องุ่นขั้นบันได ปลูกกันสีเขียวขจี สวยงาม และเป็นจุดหมายที่คนสวิส มักขับรถมาจิบไวน์ ชมวิวไร่องุ่น และกินอาหารอร่อยๆของแต่ละหมู่บ้าน
ตามทางเดินขึ้นไปยังเอเปส มีชาโตว์ขายไวน์อยู่หลายแห่ง แต่คงเพราะยังไม่ถึงฤดูกาล เกือบทุกแห่งจึง ยังปิดประตูอยู่ เราใช้เวลาเดินขึ้นเนินเขาไปสู่เอเปสกัน 20 นาทีค่ะ
ถึงแม้แสงแดดจะจ้าเท่าไหร่ เราก็ไม่หงุดหงิดค่ะ เพราะโลกที่หมุนรอบตัวเราในตอนนี้ ช่วงสวยงามและทำให้ลืมหายใจไปได้ชั่วขณะ … เบื้องล่างเป็นทะเลสาบ ไกลออกไปเป็นเทือกเขา แต่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเป็นต้นองุ่นนับหมื่น
และเมื่อเดินมาถึงตัวเมือง เราก็มองย้อนลงไป … นี่เราเดินขึ้นเนินมาสูงถึงเพียงนี้เลยหรือ?
ร้านอาหารในเมือง มีอยู่ไม่กี่แห่ง เราเลือกร้านนี้เพราะวิวสวย และเป็นร้านเดียวที่มีลูกค้าแน่นร้านค่ะ …
นักท่องเที่ยวชาวสวิส คู่รักวัยชราเยอะจริงๆด้วย ภาษาฝรั่งเศสสื่อสารกันคล่องปรื้อ แต่พนักงานของร้านก็พูดภาษาอังกฤษได้ชัดเจน เมนูของร้านก็มีภาษาอังกฤษ เราจึงเป็นเอเชียคู่เดียวบนเนินเขาแห่งนี้
อาหารของที่นี่รสชาติดีค่ะ สามจานใหญ่ๆ คู่กับน้ำแร่ ไวน์แดง และวิวสวย ทำให้เราอยากจะเก็บความทรงจำไว้ในเมมเมอร์รี่ฮาร์ตให้นานที่สุด
เราดื่มด่ำกับบรรยากาศกันอยู่นานพอสมควร เพราะรถไฟเที่ยวต่อไปยังไม่เทียบสถานีจนอีก 40 นาทีข้างหน้าค่ะ
ยามเมื่อต้องอำลาเอเปสเข้าจริงๆ เราเดินถ่วงเวลากันไปเรื่อยเปื่อย เพราะไม่รู้จะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่
วิวขาลงของเอเปส สวยบาดใจไม่ต่างจากขาขึ้นค่ะ ในมุมนี้ทะเลสาบเจนีวาจะกลายเป็นนางเอก ทำให้เรารู้ว่าเอเปสนั้นกระจิดริด ถ้าเทียบกับทะเลสาบใหญ่ที่สุดของยุโรปแห่งนี้
ความงามของเอเปสทำให้เราเห็นสวิสในอีกด้านนึง เป็นด้านที่รื่นเริงเหมือนอิตาลี ลีลาเซ็กซี่เหมือนฝรั่งเศส ที่นี่ไม่มีหิมะสีขาวโพลน และไม่มีเทือกเขาสูงใหญ่ที่หนาวเหน็บ … เอเปส มีแต่เพียงทะเลสาบสีฟ้ากับไร่องุ่นสีเขียว เป็นเมืองมรดกโลกที่หลบมุมแห่งสวิสเซอร์แลนด์อย่างแท้จริงค่ะ
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง
- รถไฟมาเอเปสมีวิ่งเพียงไม่กี่สายต่อวัน ต้องสอบถามพนักงานให้ชัดเจน และขากลับสถานี ไม่มี รายละเอียดอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นต้องพกตารางรถไฟไว้ด้วยเสมอ
- ทางเดินในเอเปสเป็นทางลาดชัน ไม่เหมาะกับผู้สูงวัย แต่ในบางหมู่บ้านของลาโวซ์ มีบริการรถแทรม ไปสู่ไร่องุ่น หากสนใจควรศึกษาข้อมูล หรือสอบถามโรงแรมให้ชัดเจนก่อนการเดินทาง
- นอกจากเอเปสแล้ว หมู่บ้านอื่นๆในลาโวซ์ยังมี คัลยี่ (Cully), St.Saphorn และอีกสามสี่เมืองค่ะ
The End
19 Aug 2015
0 Comments
120 นาทีที่หยุดหายใจใน Epesse : เมืองมรดกโลกที่หลบมุม – สวิสเซอร์แลนด์
“สวิสไวน์” ไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูพวกเรานัก และนั่นจึงทำให้ไร่องุ่นของสวิสเซอร์แลนด์ ถูกรัศมีของเทือกเขาแอลป์ บดบังไปเกือบสิ้น
เช้าวันนั้น ฉันและคุณสามีวางแผนไปเที่ยวเมืองเล็กๆรอบทะเลสาบเจนีวา ชื่อของเอเปส (Epesse) ไม่เคยผ่านเข้ามาในสมองของฉัน แต่เหมือนมีอะไรดลใจ จึงสะกิดถามกงเซียร์ที่โรงแรมว่า “รอบๆทะเลสาบมี เมืองน่ารักอื่นๆอีกไหมที่ชาวสวิสชอบไปกัน”
Lavaux (ลาโวซ์) เป็นชื่อที่กงเซียร์คนนั้นตอบกลับมา เขาบอกว่าที่นี่เป็นไร่องุ่นดังที่สุดของประเทศ และยังเป็น UNESCO มรดกโลกอีกด้วยนะ …
เหรอๆ … เราเก็บชื่อนี้ไว้ในใจ ยังไม่ตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ จนกระทั่งมาถึงมงเทรอซ์ และเดินชมเมืองเสร็จก่อนเวลา จึงถามพนักงานขายตั๋วอีกครั้ง นายสถานีหนุ่มผู้นี้ย้ำกับเราเช่นเดิมว่า “ลาโวซ์” นี่สวยนะ และเมืองที่เขาแนะนำ ชื่อ “เอเปส” (Epesse) รถไฟกำลังจะออกไปแล้วด้วย!!!!
รถไฟไปเอเปส ไม่ได้มีถี่นัก หนึ่งชั่วโมงอาจจะมีสักเที่ยวน่าจะได้ค่ะ ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถไฟฉันคลิ๊กหาข้อมูลของเอเปสเป็นภาษาไทย และก็นิ่ง … ไม่พบอะไรทั้งสิ้น
สถานีเอเปสมีสภาพเหมือนกระต๊อบเก่าๆ เราเดินลงจากกระต๊อบอย่างงงๆ มุ่งหน้าไปด้านทะเลสาบ ซึ่งแดดจ้ามากเพราะเป็นเวลาเที่ยงตรง
สีของน้ำในทะเลสาบวันนั้น มีสีฟ้ามัวๆ วิวเทือกเขาเป็นแบค์กราวน์ด้านหลัง ระหว่างน้ำและฟ้ามีหมอกจางเหมือนภาพลวงตา … ทางเรียบริมทะเลสาปนิ่งเงียบ เราไม่พบเจอสักชีวิตในละแวกนี้ แต่เราได้เจอสวรรค์ที่ลอยอยู่ กลางทะเล ชีวิตของคนในเรือลำนั้นคงสุขใจเป็นที่สุด
120 นาทีที่ลมหายใจหยุดลง เริ่มตั้งแต่วินาทีนั้นค่ะ … เราเดินผ่านอุโมงค์ใต้รางรถไฟ ไปตามทางเดินสู่เมืองเอเปส
เอเปส (Epesse) เป็นหนึ่งหมู่บ้านในบริเวณที่เรียกว่า “ลาโวซ์” เมืองมรดกโลก ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเวเวย์ (Vevey) และโลซานน์ (Lausanne)
ไหล่เขาริมทะเลสาบเจนีวาเป็นทางยาวกว่า 30 กิโลเมตร ที่ปกคลุมไปด้วยไร่องุ่นขั้นบันได ปลูกกันสีเขียวขจี สวยงาม และเป็นจุดหมายที่คนสวิส มักขับรถมาจิบไวน์ ชมวิวไร่องุ่น และกินอาหารอร่อยๆของแต่ละหมู่บ้าน
ตามทางเดินขึ้นไปยังเอเปส มีชาโตว์ขายไวน์อยู่หลายแห่ง แต่คงเพราะยังไม่ถึงฤดูกาล เกือบทุกแห่งจึง ยังปิดประตูอยู่ เราใช้เวลาเดินขึ้นเนินเขาไปสู่เอเปสกัน 20 นาทีค่ะ
ถึงแม้แสงแดดจะจ้าเท่าไหร่ เราก็ไม่หงุดหงิดค่ะ เพราะโลกที่หมุนรอบตัวเราในตอนนี้ ช่วงสวยงามและทำให้ลืมหายใจไปได้ชั่วขณะ … เบื้องล่างเป็นทะเลสาบ ไกลออกไปเป็นเทือกเขา แต่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเป็นต้นองุ่นนับหมื่น
และเมื่อเดินมาถึงตัวเมือง เราก็มองย้อนลงไป … นี่เราเดินขึ้นเนินมาสูงถึงเพียงนี้เลยหรือ?
ร้านอาหารในเมือง มีอยู่ไม่กี่แห่ง เราเลือกร้านนี้เพราะวิวสวย และเป็นร้านเดียวที่มีลูกค้าแน่นร้านค่ะ …
นักท่องเที่ยวชาวสวิส คู่รักวัยชราเยอะจริงๆด้วย ภาษาฝรั่งเศสสื่อสารกันคล่องปรื้อ แต่พนักงานของร้านก็พูดภาษาอังกฤษได้ชัดเจน เมนูของร้านก็มีภาษาอังกฤษ เราจึงเป็นเอเชียคู่เดียวบนเนินเขาแห่งนี้
อาหารของที่นี่รสชาติดีค่ะ สามจานใหญ่ๆ คู่กับน้ำแร่ ไวน์แดง และวิวสวย ทำให้เราอยากจะเก็บความทรงจำไว้ในเมมเมอร์รี่ฮาร์ตให้นานที่สุด
เราดื่มด่ำกับบรรยากาศกันอยู่นานพอสมควร เพราะรถไฟเที่ยวต่อไปยังไม่เทียบสถานีจนอีก 40 นาทีข้างหน้าค่ะ
ยามเมื่อต้องอำลาเอเปสเข้าจริงๆ เราเดินถ่วงเวลากันไปเรื่อยเปื่อย เพราะไม่รู้จะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่
วิวขาลงของเอเปส สวยบาดใจไม่ต่างจากขาขึ้นค่ะ ในมุมนี้ทะเลสาบเจนีวาจะกลายเป็นนางเอก ทำให้เรารู้ว่าเอเปสนั้นกระจิดริด ถ้าเทียบกับทะเลสาบใหญ่ที่สุดของยุโรปแห่งนี้
ความงามของเอเปสทำให้เราเห็นสวิสในอีกด้านนึง เป็นด้านที่รื่นเริงเหมือนอิตาลี ลีลาเซ็กซี่เหมือนฝรั่งเศส ที่นี่ไม่มีหิมะสีขาวโพลน และไม่มีเทือกเขาสูงใหญ่ที่หนาวเหน็บ … เอเปส มีแต่เพียงทะเลสาบสีฟ้ากับไร่องุ่นสีเขียว เป็นเมืองมรดกโลกที่หลบมุมแห่งสวิสเซอร์แลนด์อย่างแท้จริงค่ะ
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง
The End
Related Posts: