เจนีวา (Geneva) มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่กว่าไซส์ของเมืองมากโข สมญานาม “เมืองหลวงของโลก” บัญญัติขึ้นเพราะที่นี่บรรจุองค์กรระดับโลกถึง 200 องค์กรไว้ในที่เดียว
ใครจะคิดว่า “เจนีวา” นี้ เดินชมได้ภายในหนึ่งวัน ฉันเองก็ไม่เชื่อค่ะ แต่พอลัดเลาะตะเข็บไปเรื่อยๆ ฉันก็พบว่าขนาดของเจนีวากะทัดรัดมากกว่าที่คิด การคมนาคมไร้ตะเข็บ ทำให้วันเดย์ในเจนีวาเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และรอยยิ้มกริ่มในขณะเดินท่องก็บอกถึงความหรรษาของหัวใจได้เป็นอย่างดี … are you ready? พร้อมแล้วก็ไปชมเจนีวาวันเดย์กันเลยค่ะ
ประวัติของเจนีวา
เจนีวาป็นเมืองใหญ่ทางตอนใต้ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเจนีวา ทะเลสาบสีฟ้าใหญ่ ที่สุดของทวีปยุโรป ใจกลางเมืองมีแม่น้ำโรน (Rhone) ไหลผ่าน แบ่งเจนีวาออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งขวาของ แม่น้ำเป็นเมืองเก่าตั้งแต่ศตวรรษที่ 16
เจนีวามีภูมิประเทศติดกับประเทศฝรั่งเศส ผู้คนจึงพูดฝรั่งเศสมากกว่าทางเหนือที่ใช้ภาษาเยอรมัน เมืองนี้มี ประชากรอยู่ทั้งหมดประมาณ 180,000 คน มีองค์กรระดับโลกกว่า 200 องค์กร อาทิ องค์กรสหประชาชาติ United Nations องค์กรผู้ลี้ภัย UNCHR องค์กรอนามัยโลก WTO และสภากาชาติ International Committee of the Red Cross
Jardin Anglais
Jardin แปลว่าสวน และ Anglais ก็หมายถึงประเทศอังกฤษ สวนแห่งนี้จึงมีความหมายตรงตัวว่า “สวนอังกฤษ” สถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมริมทะเลสาบเจนีวาของทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยว
บรรยากาศของสวนอังกฤษในฤดูร้อน สวยงามด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง ผืนหญ้าสีเขียวชอุ่ม ตัดกับสีฟ้าของน้ำใน ทะเลสาบเบื้องหน้า
นาฬิกาดอกไม้ L’horloge fleurie ต้อนรับทุกคนอยู่หน้าสวน นาฬิกานี้มีฐานะเป็นต้นตำรับนาฬิกาดอกไม้ของทั้งประเทศ สร้างขึ้นในปี 1955 และถึงแม้จะไม่ได้บอกยี่ห้อนาฬิกาหรือติดสปอนเซอร์เหมือนริมขอบสนามฟุตบอล แต่นาฬิกาแปดวงเรือนนี้ ก็ให้ความเที่ยงตรงมาแล้วหลายสิบปีค่ะ และในแต่ละฤดูดอกไม้ก็จะสลับสับเปลี่ยนกันไปด้วย
ถัดมาเป็น Monument National อนุเสาวรีย์แห่งการรวมชาติระหว่างเจนีวาและประเทศสวิสเซอร์แลนด์ในปี 1814 สตรีสองคนคือตัวแทนของ Geneva และ Helvetia (ชนเผ่าบรรพบุรุษของสวิสเซอร์แลนด์) ในมือถือโล่และดาบ หันหน้าไปยังทิศเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ
ปลายสุดของสวน เราจะเห็นน้ำพุสูง 140 เมตร พุ่งพวยออกมาท้องทะเลสาบ … Jet d’Eau มองเห็นได้จากระยะไกล มันเลยกลายเป็นสิ่งแปลกประหลาดของเมืองและถูกจัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวไปโดยปริยาย
สำหรับฉัน มันเป็นแค่น้ำพุธรรมดา สร้างขึ้นมาเพื่อลดแรงดันน้ำหลังจากการกั้นเขื่อน ไม่ได้สวยงาม หรือหรูหรา แต่กลับมีชื่อเสียงเพราะเป็นความแปลกเพียงอย่างเดียวท่ามกลางความงามของธรรมชาติในทะเลสาบแห่งนี้
และในยามเย็นเมื่องแสงพระอาทิตย์เปลี่ยนเป็นสีแดงส้ม อากาศเริ่มเย็นจนต้องกระชับคอเสื้อ ธรรมชาติและสิ่งประดิษฐ์ก็หลอมรวมกันกลายเป็นความประทับใจที่ไม่อาจลืมเลือนของเจนีวาค่ะ
Pont des Bergues
ใจกลางแม่น้ำโรน (Rhone) กลายเป็นอีกที่นั่งหย่อนใจและพักสายตาของฉัน สะพานแห่งนี้มีชื่อว่า Pont des Bergues ใช้ข้ามแม่น้ำระหว่างสองฝั่งของเจนีวา
กลางสะพานมีเกาะขนาดจิ๋วให้นั่งเล่นชมวิวเมือง ตรงกลางมีอนุเสาวรีย์ของนักเขียนและนักปราชญ์คนสำคัญ Jean Jacques Rousseau หรือ ile Rousseau
จากตำแหน่งนี้ วิวสองฝั่งของเจนีวาทำให้รู้ว่าเรามาไม่ผิดเมืองแน่ อย่างแรกคือสถาปัตยกรรม Art Deco ของอาคารเก่าศิลปะแบบฝรั่งเศสบ้านใกล้เรือนเคียงที่สืบทอดมายังเจนีวา อย่างที่สองคือโลโก้นาฬิกาดังสัญชาติสวิส งานฝีมือระดับปรมจารย์ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างล้นหลาม
เช่นเดียวกับธงสวิสและธงของแคว้นที่ปลิวสไวอยู่ริมสะพาน ตอกย้ำว่านี่แหล่ะเจนีวา เมืองรองของประเทศแต่ยิ่งใหญ่ระดับโลก
Old Town
เจนีวายังมีอีกความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่บนเนินเขา ดินแดนซึ่งเคยเป็นเมืองเก่า ในวันที่พื้นยังเป็นหินธรรมชาติ ตรอกซอกซอยยังเล็กและคดเคี้ยว แต่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ บาร์และแกลลอรี่งานศิลปะน่าชม
จุดหมายแรกคือ Maison Tavel บ้านเก่าแก่ที่สุดของเจนีว่า สร้างตั้งแต่ปี 1334 จุดเด่นของอาคารหลังนี้ก็คือรูปปั้นหัวคนและสัตว์ที่ตกแต่งอยู่ด้านหน้าของอาคารค่ะ
และเมื่อลัดเลาะเข้าไปเรื่อยๆ ยอดโบสถ์สีเขียวของ St. Pierre Cathedral จากศตวรรษที่ 13 ก็จะเริ่มเผยตัวขึ้นมาทีละนิด โบสถ์หลังนี้ใช้เวลาสร้างเกือบ 70 ปี ด้วยสถาปัตยกรรมกอธิค เป็นโบสถ์ของพวกโปรแตสแต้นท์ (Protestant) สังเกตุได้จากยอดโบสถ์ไม่มีไม้กางเขนสัญลักษณ์ของพระเยซูคริสต์
ถัดมาเป็นลานกว้างศูนย์กลางของเมืองเก่า มีชื่อว่า Place du Bourg de Four
ลานนี้ถูกเรียกขานว่าเป็น Roman Forum ของเจนีวา ในอดีตเป็นตลาดค้าขายสินค้า แต่ปัจจุบันเต็มไปด้วยร้านอาหาร น้ำพุสวย และเปียโน 1 ตัว สำหรับนักดนตรีที่อยากบรรเลงเสียงเพลงให้ผู้ชมในลานแห่งนี้ได้ฟังกัน
Palais des Nations & Red Cross (La Croix-Rouge)
มาเมืองหลวงของโลกทั้งที ถ้าไม่แวะไปชมที่มาของสมญานามนี้ ก็คงเหมือนมาไม่สุดทาง …. และการเดินทางไป ยังที่ตั้งขององค์กรนานาชาติระดับโลก ก็เริ่มด้วยรถไฟชื่อเท่ “สาย Nations” ไปลงยังองค์การสหประชาชาติ (United Nations) หรือ Palais des Nations* ค่ะ
แม้ฉันจะได้เพียงแค่ยืนเมียงมองผ่านประตูเหล็ก ดูตึกสำนักงานยิ่งใหญ่ที่มีพนักงาน 3,000 คนปฏิบัติหน้าที่อยู่ ส่องหาธงของไทยและประเทศสมาชิกที่รู้จัก ฉันก็มีความสุขแล้วค่ะ หัวใจตอนนั้นมันพองโตด้วยความปิติ ที่เห็นองค์กรหลักของมนุษยชาติสักครั้งในชีวิต
ด้านหน้าขององค์การสหประชาชาติเป็นอีกจุดหมายสำคัญ ลานน้ำพุและ Broken Chair เก้าอี้ขาหัก เปรียบเหมือนทหารหาญที่ต้องพิกลพิการ เสียแขนขาในสงคราม การต่อสู้ที่ไม่มีผู้ชนะตัวจริงไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตาม
จากนั้นฉันเดินลัดเลาะมาทางด้านข้าง ผ่านสวนและเจอเข้ากับรูปปั้นของนักปฏิวัติคนสำคัญของโลก ท่านมหาตมคานธี ซึ่งใต้รูปปั้นเขียนสลักไว้อย่างน่าคิดว่า “Ma vie est mon message” หรือ “My life is my message” ชีวิตของฉันคือข้อความของฉัน …
ไม่ไกลจากนั้นก็จะเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สภากาชาติ Red Cross (La Croix-Rouge) เช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์ Musee International de la Croix-Rouge ด้วยค่ะ
ป.ล. การเดินทางกลับ ใช้รถไฟสายเดิม ขึ้นจากด้านข้างองค์การสหประชาชาติ แต่เปลี่ยนป้ายปลายทางเป็น “Palette” แทน และมาลงที่สถานีรถไฟในตัวเมืองเจนีวาค่ะ
*องค์การสหประชาชาติมีทัวร์เปิดให้เข้าชมเป็นรอบ 10.30 และ 12.00 น. รายละเอียด
https://www.unog.ch/80256EE600581D0E/(httpPages)/5ADC7FB14E2750BD80256EF7005848A2?OpenDocument
Rue du Rhone & Rue du March
ถนนช้อปปิ้งสำคัญของเจนีวา 2 เส้นที่วิ่งขนานกัน Rue de Rhone และ Rue de Marche
เส้นแรก Rue de Rhone ขายสินค้าไฮเอนด์ แบรนด์เนมราคาสูง และ Rue de Marche เป็นที่ตั้งของ แบรนด์เนมราคาปานกลาง และห้างสรรพสินค้าของเจนีวา
ฉันเดินเล่นอยู่ถนนสองเส้นนี้มือเปล่า ไม่ได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือเหมือนทุกครั้ง ไม่ใช่เพราะเจนีวาไม่มีสินค้าสวยๆ หรือคืนภาษีไม่ได้ แต่เพราะค่าครองชีพที่นี่สูงลิบ สินค้านำเข้าหลายแบรนด์ราคาจึงสูง หักภาษีคืน 8% ก็ยังไม่คุ้ม เพื่อนชาวสวิสของคุณสามีเองยังบอกว่า คนสวิสก็ยังขับไปซื้อของที่เยอรมันกันเลย
ป.ล. ร้านค้าในสวิสเซอร์แลนด์เปิดปิดประมาณ 8.00-18.30 น. วันเสาร์ ประมาณ 8.00-16.00 น. แต่วันอาทิตย์จะ ปิดเกือบทั้งเมือง ถ้าจะหาของทานหรือซื้อของใช้เล็กๆน้อยๆ สถานีรถไฟน่าจะเป็นชุมทางเดียวที่ประทังชีวิตได้
รายละเอียด Tax free shopping http://www.globalblue.com/tax-free-shopping/switzerland/
แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ
เจนีว่ายังมีที่เที่ยวอื่นๆอีกหลายแห่งค่ะ ถ้ามีเวลาเพิ่ม แนะนำให้ไปเดินเล่นที่ International Museum of the Reformation in the magnificent Maison Mallet หรือ พิพิธภัณฑ์นาฬิกา The Patek Philippe Museum และ CERN ด้วยค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.geneve.com/en/
5 Sep 2017
0 Comments
ท่องเมืองหลวงของโลก 5 ที่เที่ยว “เจนีวา” ในวันเดย์
เจนีวา (Geneva) มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่กว่าไซส์ของเมืองมากโข สมญานาม “เมืองหลวงของโลก” บัญญัติขึ้นเพราะที่นี่บรรจุองค์กรระดับโลกถึง 200 องค์กรไว้ในที่เดียว
ใครจะคิดว่า “เจนีวา” นี้ เดินชมได้ภายในหนึ่งวัน ฉันเองก็ไม่เชื่อค่ะ แต่พอลัดเลาะตะเข็บไปเรื่อยๆ ฉันก็พบว่าขนาดของเจนีวากะทัดรัดมากกว่าที่คิด การคมนาคมไร้ตะเข็บ ทำให้วันเดย์ในเจนีวาเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และรอยยิ้มกริ่มในขณะเดินท่องก็บอกถึงความหรรษาของหัวใจได้เป็นอย่างดี … are you ready? พร้อมแล้วก็ไปชมเจนีวาวันเดย์กันเลยค่ะ
ประวัติของเจนีวา
เจนีวาป็นเมืองใหญ่ทางตอนใต้ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเจนีวา ทะเลสาบสีฟ้าใหญ่ ที่สุดของทวีปยุโรป ใจกลางเมืองมีแม่น้ำโรน (Rhone) ไหลผ่าน แบ่งเจนีวาออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งขวาของ แม่น้ำเป็นเมืองเก่าตั้งแต่ศตวรรษที่ 16
เจนีวามีภูมิประเทศติดกับประเทศฝรั่งเศส ผู้คนจึงพูดฝรั่งเศสมากกว่าทางเหนือที่ใช้ภาษาเยอรมัน เมืองนี้มี ประชากรอยู่ทั้งหมดประมาณ 180,000 คน มีองค์กรระดับโลกกว่า 200 องค์กร อาทิ องค์กรสหประชาชาติ United Nations องค์กรผู้ลี้ภัย UNCHR องค์กรอนามัยโลก WTO และสภากาชาติ International Committee of the Red Cross
Jardin Anglais
Jardin แปลว่าสวน และ Anglais ก็หมายถึงประเทศอังกฤษ สวนแห่งนี้จึงมีความหมายตรงตัวว่า “สวนอังกฤษ” สถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมริมทะเลสาบเจนีวาของทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยว
บรรยากาศของสวนอังกฤษในฤดูร้อน สวยงามด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง ผืนหญ้าสีเขียวชอุ่ม ตัดกับสีฟ้าของน้ำใน ทะเลสาบเบื้องหน้า
นาฬิกาดอกไม้ L’horloge fleurie ต้อนรับทุกคนอยู่หน้าสวน นาฬิกานี้มีฐานะเป็นต้นตำรับนาฬิกาดอกไม้ของทั้งประเทศ สร้างขึ้นในปี 1955 และถึงแม้จะไม่ได้บอกยี่ห้อนาฬิกาหรือติดสปอนเซอร์เหมือนริมขอบสนามฟุตบอล แต่นาฬิกาแปดวงเรือนนี้ ก็ให้ความเที่ยงตรงมาแล้วหลายสิบปีค่ะ และในแต่ละฤดูดอกไม้ก็จะสลับสับเปลี่ยนกันไปด้วย
ถัดมาเป็น Monument National อนุเสาวรีย์แห่งการรวมชาติระหว่างเจนีวาและประเทศสวิสเซอร์แลนด์ในปี 1814 สตรีสองคนคือตัวแทนของ Geneva และ Helvetia (ชนเผ่าบรรพบุรุษของสวิสเซอร์แลนด์) ในมือถือโล่และดาบ หันหน้าไปยังทิศเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ
ปลายสุดของสวน เราจะเห็นน้ำพุสูง 140 เมตร พุ่งพวยออกมาท้องทะเลสาบ … Jet d’Eau มองเห็นได้จากระยะไกล มันเลยกลายเป็นสิ่งแปลกประหลาดของเมืองและถูกจัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวไปโดยปริยาย
สำหรับฉัน มันเป็นแค่น้ำพุธรรมดา สร้างขึ้นมาเพื่อลดแรงดันน้ำหลังจากการกั้นเขื่อน ไม่ได้สวยงาม หรือหรูหรา แต่กลับมีชื่อเสียงเพราะเป็นความแปลกเพียงอย่างเดียวท่ามกลางความงามของธรรมชาติในทะเลสาบแห่งนี้
และในยามเย็นเมื่องแสงพระอาทิตย์เปลี่ยนเป็นสีแดงส้ม อากาศเริ่มเย็นจนต้องกระชับคอเสื้อ ธรรมชาติและสิ่งประดิษฐ์ก็หลอมรวมกันกลายเป็นความประทับใจที่ไม่อาจลืมเลือนของเจนีวาค่ะ
Pont des Bergues
ใจกลางแม่น้ำโรน (Rhone) กลายเป็นอีกที่นั่งหย่อนใจและพักสายตาของฉัน สะพานแห่งนี้มีชื่อว่า Pont des Bergues ใช้ข้ามแม่น้ำระหว่างสองฝั่งของเจนีวา
กลางสะพานมีเกาะขนาดจิ๋วให้นั่งเล่นชมวิวเมือง ตรงกลางมีอนุเสาวรีย์ของนักเขียนและนักปราชญ์คนสำคัญ Jean Jacques Rousseau หรือ ile Rousseau
จากตำแหน่งนี้ วิวสองฝั่งของเจนีวาทำให้รู้ว่าเรามาไม่ผิดเมืองแน่ อย่างแรกคือสถาปัตยกรรม Art Deco ของอาคารเก่าศิลปะแบบฝรั่งเศสบ้านใกล้เรือนเคียงที่สืบทอดมายังเจนีวา อย่างที่สองคือโลโก้นาฬิกาดังสัญชาติสวิส งานฝีมือระดับปรมจารย์ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างล้นหลาม
เช่นเดียวกับธงสวิสและธงของแคว้นที่ปลิวสไวอยู่ริมสะพาน ตอกย้ำว่านี่แหล่ะเจนีวา เมืองรองของประเทศแต่ยิ่งใหญ่ระดับโลก
Old Town
เจนีวายังมีอีกความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่บนเนินเขา ดินแดนซึ่งเคยเป็นเมืองเก่า ในวันที่พื้นยังเป็นหินธรรมชาติ ตรอกซอกซอยยังเล็กและคดเคี้ยว แต่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ บาร์และแกลลอรี่งานศิลปะน่าชม
จุดหมายแรกคือ Maison Tavel บ้านเก่าแก่ที่สุดของเจนีว่า สร้างตั้งแต่ปี 1334 จุดเด่นของอาคารหลังนี้ก็คือรูปปั้นหัวคนและสัตว์ที่ตกแต่งอยู่ด้านหน้าของอาคารค่ะ
และเมื่อลัดเลาะเข้าไปเรื่อยๆ ยอดโบสถ์สีเขียวของ St. Pierre Cathedral จากศตวรรษที่ 13 ก็จะเริ่มเผยตัวขึ้นมาทีละนิด โบสถ์หลังนี้ใช้เวลาสร้างเกือบ 70 ปี ด้วยสถาปัตยกรรมกอธิค เป็นโบสถ์ของพวกโปรแตสแต้นท์ (Protestant) สังเกตุได้จากยอดโบสถ์ไม่มีไม้กางเขนสัญลักษณ์ของพระเยซูคริสต์
ถัดมาเป็นลานกว้างศูนย์กลางของเมืองเก่า มีชื่อว่า Place du Bourg de Four
ลานนี้ถูกเรียกขานว่าเป็น Roman Forum ของเจนีวา ในอดีตเป็นตลาดค้าขายสินค้า แต่ปัจจุบันเต็มไปด้วยร้านอาหาร น้ำพุสวย และเปียโน 1 ตัว สำหรับนักดนตรีที่อยากบรรเลงเสียงเพลงให้ผู้ชมในลานแห่งนี้ได้ฟังกัน
Palais des Nations & Red Cross (La Croix-Rouge)
มาเมืองหลวงของโลกทั้งที ถ้าไม่แวะไปชมที่มาของสมญานามนี้ ก็คงเหมือนมาไม่สุดทาง …. และการเดินทางไป ยังที่ตั้งขององค์กรนานาชาติระดับโลก ก็เริ่มด้วยรถไฟชื่อเท่ “สาย Nations” ไปลงยังองค์การสหประชาชาติ (United Nations) หรือ Palais des Nations* ค่ะ
แม้ฉันจะได้เพียงแค่ยืนเมียงมองผ่านประตูเหล็ก ดูตึกสำนักงานยิ่งใหญ่ที่มีพนักงาน 3,000 คนปฏิบัติหน้าที่อยู่ ส่องหาธงของไทยและประเทศสมาชิกที่รู้จัก ฉันก็มีความสุขแล้วค่ะ หัวใจตอนนั้นมันพองโตด้วยความปิติ ที่เห็นองค์กรหลักของมนุษยชาติสักครั้งในชีวิต
ด้านหน้าขององค์การสหประชาชาติเป็นอีกจุดหมายสำคัญ ลานน้ำพุและ Broken Chair เก้าอี้ขาหัก เปรียบเหมือนทหารหาญที่ต้องพิกลพิการ เสียแขนขาในสงคราม การต่อสู้ที่ไม่มีผู้ชนะตัวจริงไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตาม
จากนั้นฉันเดินลัดเลาะมาทางด้านข้าง ผ่านสวนและเจอเข้ากับรูปปั้นของนักปฏิวัติคนสำคัญของโลก ท่านมหาตมคานธี ซึ่งใต้รูปปั้นเขียนสลักไว้อย่างน่าคิดว่า “Ma vie est mon message” หรือ “My life is my message” ชีวิตของฉันคือข้อความของฉัน …
ไม่ไกลจากนั้นก็จะเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สภากาชาติ Red Cross (La Croix-Rouge) เช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์ Musee International de la Croix-Rouge ด้วยค่ะ
ป.ล. การเดินทางกลับ ใช้รถไฟสายเดิม ขึ้นจากด้านข้างองค์การสหประชาชาติ แต่เปลี่ยนป้ายปลายทางเป็น “Palette” แทน และมาลงที่สถานีรถไฟในตัวเมืองเจนีวาค่ะ
*องค์การสหประชาชาติมีทัวร์เปิดให้เข้าชมเป็นรอบ 10.30 และ 12.00 น. รายละเอียด
https://www.unog.ch/80256EE600581D0E/(httpPages)/5ADC7FB14E2750BD80256EF7005848A2?OpenDocument
Rue du Rhone & Rue du March
ถนนช้อปปิ้งสำคัญของเจนีวา 2 เส้นที่วิ่งขนานกัน Rue de Rhone และ Rue de Marche
เส้นแรก Rue de Rhone ขายสินค้าไฮเอนด์ แบรนด์เนมราคาสูง และ Rue de Marche เป็นที่ตั้งของ แบรนด์เนมราคาปานกลาง และห้างสรรพสินค้าของเจนีวา
ฉันเดินเล่นอยู่ถนนสองเส้นนี้มือเปล่า ไม่ได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือเหมือนทุกครั้ง ไม่ใช่เพราะเจนีวาไม่มีสินค้าสวยๆ หรือคืนภาษีไม่ได้ แต่เพราะค่าครองชีพที่นี่สูงลิบ สินค้านำเข้าหลายแบรนด์ราคาจึงสูง หักภาษีคืน 8% ก็ยังไม่คุ้ม เพื่อนชาวสวิสของคุณสามีเองยังบอกว่า คนสวิสก็ยังขับไปซื้อของที่เยอรมันกันเลย
ป.ล. ร้านค้าในสวิสเซอร์แลนด์เปิดปิดประมาณ 8.00-18.30 น. วันเสาร์ ประมาณ 8.00-16.00 น. แต่วันอาทิตย์จะ ปิดเกือบทั้งเมือง ถ้าจะหาของทานหรือซื้อของใช้เล็กๆน้อยๆ สถานีรถไฟน่าจะเป็นชุมทางเดียวที่ประทังชีวิตได้
รายละเอียด Tax free shopping http://www.globalblue.com/tax-free-shopping/switzerland/
แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ
เจนีว่ายังมีที่เที่ยวอื่นๆอีกหลายแห่งค่ะ ถ้ามีเวลาเพิ่ม แนะนำให้ไปเดินเล่นที่ International Museum of the Reformation in the magnificent Maison Mallet หรือ พิพิธภัณฑ์นาฬิกา The Patek Philippe Museum และ CERN ด้วยค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.geneve.com/en/
Related Posts: