เพียงข้ามคืน (12 ชั่วโมง) … การบินไทยก็พาเราไปยัง Brussels/ Bruxelles (บรัสเซลส์) เมืองหลวงของ Belgium (เบลเยี่ยม) ในตอนเช้าตรู่ของฤดูหนาว
วีซ่าเชงเก้น 5 ปี ที่ฟ้าประทานจากสถานฑูตเนเธอร์แลนด์ทำให้รู้สึกว่ายุโรปเปิดประตูต้อนรับฉันอย่างกับอั้ม พัชราภา ยิ่งช่องทางเข้าเมืองก็สะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องกรอกเอกสารใดๆทั้งสิ้น ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนกับเดินบนพรมแดงเข้ายุโรปเอาเสียจริงๆ (ยกเว้นสภาพอากาศน่ารันทดอย่างที่เกริ่นไว้)
Brussels Highlights
Brussels เป็นเมืองหลวงของ Belgium เช่นเดียวกับเมืองหลวงของยุโรป เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของ EU Parliament หรือ รัฐสภาสหภาพยุโรปซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 24 ประเทศ (ไม่นับสหราชอาณาจักร)
ในอดีต Brussels เป็นเมืองค้าขายและจตุรัส Grand Place (แกรนด์เพลส) ก็คือศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเมือง
ปัจจุบัน Brussels มีประชากรประมาณ 2 ล้านคน ภาษาฝรั่งเศส ดัชท์ และ Flemish (เฟลมมิช) เป็นภาษาหลักที่ใช้สื่อสาร แต่คนเบลเยี่ยมส่วนใหญ่ก็พูดภาษาอังกฤษได้ การท่องเที่ยวในประเทศนี้จึงไม่เป็นปัญหานัก (คนเบลเยี่ยมตอนเหนือจะใช้ภาษาดัชท์ ส่วนตอนใต้จะใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักค่ะ)
Old town (เมืองเก่า) ของ Brussels มีขนาดกะทัดรัด พนักงานโรงแรมขีดเส้นผ่าศูนย์กลางพร้อมบอกกับเราว่า ยูว์เดินเพียง 30 นาทีก็ทั่วเมืองเก่าแล้ว ดังนั้นการเดินเท้าจึงเป็นวิธีรู้จัก Brussels อย่างแนบชิดที่ดีที่สุด รถแทรม หรือรถไฟใต้ดินแทบไม่ได้ใช้เลย ถ้าจะเดินเล่นอยู่เฉพาะเมืองเก่า (ข้อมูลเที่ยว https://visit.brussels/en/)
Grand Place
เห็นชื่อจตุรัสครั้งแรก ก็อ่านว่า “กรองด์ พลาส์” ตามภาษาฝรั่งเศสที่เรียนมาเมื่อปีมะโว้ แต่หลังจากคุยกับเจ้าหน้าที่ของโรงแรม เขากลับอ่านตามสำเนียงอังกฤษชัดเจนว่า “แกรนด์เพลส” จตุรัสใหญ่ใจกลางเมือง ที่บอกเลยว่ายิ่งใหญ่สมฐานะของชื่อจริงๆค่ะ
ในอดีต Grand Place เป็นศูนย์กลางการค้า เป็นตลาดเก่าของเมือง ถนนรายรอบจตุรัสจึงตั้งชื่อตามสินค้าที่ขาย เช่น Rue au Beurre หรือ Butter Street และ Rue des Bouchers หรือ Butcher’s Street
ประมาณศตวรรษที่ 16 ฝรั่งเศสบุกเข้ามาถล่มเมืองอยู่ถึง 36 ชั่วโมงเต็ม สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองอย่างมาก อาคารเก่าถูกทำลายกว่า 4,000 หลัง รวมถึงสิ่งก่อสร้างรายรอบ Grand Place ด้วย
เพียง 5 ปีหลังจากสงคราม Brussels ก็ลุกขึ้นมาสร้างเมืองใหม่ รวมถึง Guildhalls (ศาลากลาง) ของหลากหลายอาชีพที่โอบกอดจตุรัส ส่งผลให้ Grand Place กลายเป็นจตุรัสที่สวยงามตระการตาที่สุดของโลก และถูกขึ้นทะเบียนเป็น UNESCO World Heritage ในที่สุด
Hotel de Ville เป็นอาคารเด่นที่สุดของจตุรัส เป็นอาคารเดียวที่อยู่รอดจากการรุกรานของฝรั่งเศส ทั้งที่เป็นเป้าหมายต้นๆ หินสีครีมด้านหน้าถูกแต่งแต้มด้วยหินแกะสลักรูป Gargoyle (การ์กอยล์) เทาว์เวอร์สูง 96 เมตรประดับด้วยรูปปั้นสีทองของ St. Michel เทพประจำเมือง Hotel de Ville ดูยิ่งใหญ่และอลังการกว่าตึกใดๆใน Grand Place ใครสนใจ ก็มีทัวร์พาชมอาคารด้วยค่ะ
นอกจากนั้นยังมี Maison du Roi ตึกนีโอโกธิคสีเข้มที่ดูน่าเกรงขาม เดิมทีอาคารนี้เคยเป็นตลาดขนมปัง แต่ปัจจุบัน กลายเป็น Brussels City Museum มีแผนที่เก่าและประวัติศาสตร์ของเมืองให้เรียนรู้กัน
ส่วนอาคารเล็กที่สุดแต่กลับมีคนแวะมามากที่สุดแห่งหนึ่งก็คือ L’Etoile ที่นี่มีรูปปั้นทองเหลืองของฮีโร่คนสำคัญ Everand ‘t Serclaes ตั้งอยู่ ชาวเบลเยี่ยมมีความเชื่อว่า ถ้าใครได้ลูบรูปปั้นนี้ก็จะโชคดี คิวแถวของนักท่องเที่ยวทั้งชาวเอเชียและยุโรป จึงก่อตัวกันสั้นๆ ที่ด้านหน้ารูปปั้นฮีโร่ผู้นี้ค่ะ
ทริปเบ-เน-มันส์นี้ เกิดขึ้นปลายเดือนพฤศจิกายน ลานกว้างของจตุรัส จึงประดับต้นคริสตมาสสูงใหญ่ พร้อมกับโรงนาจำลองเรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสต์ และการแสดงแสงสีเสียง (เพลง) ยามค่ำคืน ที่ปลุกให้ Grand Place ของคืนนี้น่าตื่นตะลึง อารมณ์เหมือนอยู่ในดิสนีแลนด์แดนมหัศจรรย์เลยค่ะ (1000 Brussels/ 24 ชั่วโมง/ ฟรี)
แสง สีและเสียงแห่ง Grand Place มีให้ชมเฉพาะช่วงคริสตมาสเท่านั้น
บรรยากาศยามค่ำคืนของ Grand Place ในช่วงเวลาปกติ ไร้เทศกาลแต่ก็ยังสวยงาม (ตุลาคม 2019)
Manneken Pis (แมนเนเก้น พิส)
ถัดจากรูปปั้นของ Everard ‘t Serclaes ในซอยเดียวกันนั้น เพียง 30 เมตร ก็เป็นที่ตั้งของ Manneken Pis รูปปั้นเด็กผู้ชายยืนฉี่ดังที่สุดของโลก รูปปั้นนี้มีขนาดเล็ก สูงไม่น่าจะเกินหนึ่งเมตร ยืนแอ่นตัวฉี่เป็นสายน้ำอย่างไม่อายใคร
ความเชื่อเกี่ยวกับ Manneken Pis มีอยู่หลายอย่าง คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเด็กชายผู้นี้มีชื่อว่า Petite Julien แต่เหตุผลว่าทำไมมายืนฉี่อยู่ตรงมุมถนนนี้นั้นกลับมีหลายสาเหตุ บ้างว่า Petite Julien ยืนฉี่รดระเบิดเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับเมือง บางคนก็ว่าเป็นลูกชายของคนร่ำรวยที่พลัดหลง พอเจอยืนฉี่อยู่ตรงจุดนี้ พ่อกับแม่ก็เลยสร้างรูปปั้นไว้ หรือแม้กระทั้งเชื่อกันว่า ซอยนี้เคยเป็นซอยของพ่อค้าทำหนัง ฉี่เด็กที่รดบนหนังทำให้หนังอ่อนตัว จึงเป็นที่มาของรูปปั้นค่ะ
ส่วนเสื้อผ้าที่ใช้ปกคลุมร่างกายของ Manneken Pis นี้ริเริ่มมาตั้งแต่ยุคของพระเจ้าหลุยส์ ชุดแรกถูกเก็บไว้ในพิพิธภัฑณ์ และปัจจุบันก็กลายเป็นประเพณีให้ Manneken Pis สวมใส่ชุดต่างๆตามวาระและเทศกาล แต่ไม่ว่าจะใส่ชุดไหนยังไงก็ต้องเปิดช่องให้เด็กชายได้ผ่อนเบาเหมือนเดิม
อีกเรื่องที่น้อยคนจะรู้ก็คือ Mannekin Pis นี้เป็นผลงานที่สร้างใหม่เพราะของออริจินั่ลถูกขโมยจนได้รับความเสียหาย ถึง 2 ครั้ง …
นึกถึงความรู้สึกของคน Brussels ในวันนั้น คงตกใจน่าดู ตื่นมาไม่เจอเด็กยืนฉี่ที่มุมเดิมแล้ว จนน่าจะเป็นสาเหตุให้ปัจจุบันนี้มีรั้วรอบขอบชิดอย่างทุกวันนี้ (Rue de l’Etuve 31 & Rue de Chene/ 24 ชั่วโมง/ ฟรี)
Comic Street Art หรือ Comic Book Route
คนเบลเยี่ยมเป็นนักวาดการ์ตูนตัวยง สร้างศิลปินชื่อเสียงระดับโลกมากมาย Brussels จึงสละพื้นที่ตามกำแพงที่ว่างเปล่าของเมืองเก่าให้กับภาพการ์ตูนดังในตำนานตั้งแต่ปี 1991 ค่ะ
Brousaille Wall คือกำแพงแรกของเมือง เดินจาก Manneken Pis ไม่นานนัก ก็จะเจอกับภาพของ Brousaille กุมมือกับแฟนสาวอย่างมีความสุข การ์ตูนเรื่องนี้เป็นฝีมือของ Frank Pe นักวาดการ์ตูนชื่อดังของเบลเยี่ยม (Rue du Marche au Charbon)
ใกล้ๆกันก็ยังมี Comic Street Art อีก 2-3 ภาพ แต่ภาพดังที่สุดก็คือ The Adventures of Tin Tin ที่เขียนในปี 1929 โดย Georges Remi หรือนามปากกาว่า Herge Tintin
Tin Tin เป็นนักข่าว มีผมเป็นเอกลักษณ์ มักเดินทางไปแก้ไขความลับทั่วโลกกับ Snowy สุนัขคู่ใจ ภาพนี้อยู่ในตอน The Calculas Affair ตั้งอยู่ที่ Rue de L’Etuve 37 ไม่ไกลจาก Mannekin Pis อีกเช่นกัน (Rue de L’Etuve/ 24 ชั่วโมง/ ฟรี)
Jeanneke Pis
หลังจากเดินดู Comic Street Art กันจนพอใจ ฉันเดินย้อนไปอีกฝั่งของเมืองเก่า เพื่อไปดู Jennekin Pis เด็กหญิงนั่งฉี่ ที่หลายคนบอกว่าเป็นน้องสาวของ Mannekin Pis แต่วันนี้กลับมีลูกกรงมาปิดตรงรูปปั้นค่ะ เราจะเดินกลับไปอีกครั้งในวันถัดมา ลูกกรงก็ยังคงปิดอยู่และไม่มีป้ายบอกเหตุผลใด มีแต่เพียงแผ่นป้ายติดข้างๆกำแพง บอกให้นักท่องเที่ยวโยนเหรียญเข้าไปในอ่างแล้วจะโชคดี ซึ่งเราก็ปฏิบัติตามอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด (Impasse de la Fidélité 10-12/ 24 ชั่วโมง/ ฟรี)
Mont Des Art
บนเนินสูงไม่ไกลจาก Grand Place ผ่าน Central Station ตรงไปยัง Mont Des Art หรือเนินเขาแห่งศิลปะซึ่ง King Leopold II ผู้ได้ชื่อว่ากษัตริย์นักสร้างได้สร้างไว้ด้านหน้าพระราชวังหลวง
บนเนินแห่งนี้มีสวนฝรั่งเศสขนาดเล็กไต่ระดับกันไป พร้อมกับขั้นบันไดที่เดินขึ้นไปยังพระราชวังหลวง รอบๆมีพิพิธภัณฑ์น่าชมมากมาย จนเรียกได้ว่าเป็น Art Town ของเมือง เช่น RMFA, MIM และ Maritte Museum
คองานศิลปะดูรายละเอียดของพิพิธภัณฑ์ได้ที่เว็บไซต์ และถ้าเราหันหลังให้กับพระราชวัง มองตรงไปด้านหน้าก็จะเห็น Brussels เกือบทั้งเมืองเลยค่ะ (Rue Royale 2-4 Koningsstraat/ www.montdesarts.com/en/49)
Old England Building / Musical Instruments Museum
ถัดจาก Mont des Arts เราเดินตามเนินสูงขึ้นมาเรื่อยๆ สายตาก็จะปะทะกับกลุ่มอาคารหน้าจั่วที่มีศิลปะ Art Nouveau เรียงตัวกันอยู่
หนึ่งในอาคารแห่งนี้มีชื่อว่า Old England Building สร้างขึ้นในปี 1899 เป็นห้างสรรพสินค้าเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ดนตรี มีเครื่องดนตรีหลายพันชิ้น
ชั้นบนมีคาเฟ่ให้ชมวิวของสวนอีกด้วย ตึกนี้ ออกแบบโดย Paul Saintenoy เป็นศิลปะ Art Nouveau ที่ใช้เหล็กดัดอ่อนช้อยจนหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นผลงานของ Victor Horta ศิลปิน Art Nouveau ชื่อดัง (Rue Montagne de la Cour 2/ 9.30-17.00 น. อังคาร–ศุกร์ 10.00-17.00 น.เสาร์–อาทิตย์ ปิดจันทร์/ 8 ยูโร/ www.mim.be)
Palais Royal
แม้ราชวงศ์เบลเยี่ยมจะย้ายไปประทับที่ Laeken พระราชวังชานเมืองของ Brussels แล้ว แต่พระราชวังแห่งนี้ ก็ยังคงที่พักอย่างเป็นทางการของราชวงศ์
Palais Royal สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 ภายในเปิดให้ชมเฉพาะบางช่วงซึ่งมักจะอยู่ช่วงฤดูร้อน และห้องเด่นที่สุดก็เป็นห้องโถงสวยงามของพระราชวังค่ะ (Rue Brederode 16)
Atomium
สถาปัตยกรรมล้ำยุคลูกอะตอมทั้ง 9 นี้ ตั้งอยู่ที่สวน Heysen Park ทางทิศตะวันตกของ Brussels เรานั่งรถไฟใต้ดินเพียง 15 นาที จาก Central Station เปลี่ยนรถจากสายสีส้มเป็นสีน้ำเงินในราคา 2.20 ยูโร/เที่ยว/คน ด้วยตั๋ว Single Trip* ที่ซื้อ ณ จุดขายตั๋ว Central Station
(*ขากลับเคาน์เตอร์ขายตั๋วปิด ต้องซื้อตั๋วจากเครื่องขายตั๋ว แต่ปัญหาคือเราไม่มีเหรียญเลย เพราะเพิ่งเดินทางมาถึง และในบริเวณนั้นก็ไม่มีเครื่องแลกเหรียญด้วย บัตรเครดิตที่ใช้ได้ ก็ต้องมี Pin ส่วนตัว ซึ่งเราก็จำไม่ได้ จึงต้องขอความช่วยเหลือจาก ชหนุ่มเบลเยี่ยมใจดีรูดบัตรของเขาให้และเราจ่ายเงินสดแลกกัน ดังนั้นต้องระวังกันนะคะ เตรียมเหรียญให้พร้อม ถ้าเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินไปสถานนีนอกเมือง)
Atomium สร้างขึ้นในปี 1958 เพื่อต้อนรับงาน Expo 58 ซึ่งเป็นงาน World’s Fair ที่สำคัญของโลก โดยลูกกลมๆ ทั้ง 9 นี้เป็นตัวแทนของยุคนิวเคลียร์ (Atomic Age) ผู้ออกแบบคือ Andre Waterkeyn ความสูงอยู่ที่ 102 เมตร ตระหง่านอยู่ใจกลางสวน จนกลายเป็นสถาปัตยกรรมถาวรที่ตั้งอยู่จนถึงทุกวันนี้
นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมภายในลูกอะตอมได้ แต่คิวของบ่ายวันนั้นช่างยาวเสียเหลือเกิน อากาศที่หนาวเหน็บทำให้ เราถอดใจไม่ขึ้นไปจิบเบียร์เบลเยี่ยมชมวิวเมืองและเดินไปที่ Mini Europe สวนสนุกจำลองแลนด์มาร์คของ ยุโรปที่อยู่ไม่ไกลจากกัน
ฉันเคยมา Mini Europe แล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน ยังจำได้ว่าชอบและสนุกดี เลยตั้งใจพาสามีไปเดิน ดูบ้างแต่เพราะทางไปปิดซ่อมแซ่ม และอากาศใกล้ค่ำก็หนาวขึ้นเรื่อยๆจึงตัดสินใจนั่งรถไฟใต้ดินกลับเข้าเมือง ไปพักขาและร่างของวันแรกที่เพิ่งมาถึง (Square de l’Atomium, 1020 Bruxelles, Belgium/ http://atomium.be)
Belgium Comic Strip Centre/Museum
เช้าวันฝนตกของวันจันทร์ เราไปเดินชมพิพิธภัณฑ์ที่เปิดอยู่เพียงไม่กี่แห่งของเมือง (พิพิธภัณฑ์ในเบลเยี่ยมปิดวันจันทร์ เป็นส่วนใหญ่ค่ะ ใครวางแผนมาเที่ยว Brussels วันจันทร์ต้องทำใจ อดชมพิพิธภัณฑ์ดีๆ)
Belgium Comic Strip Museum พิพิธภัณฑ์การ์ตูนแห่งสำคัญของประเทศ ตั้งอยู่ในอาคาร Art Nouveau เท่และร่วมสมัย แม้จะสร้างมาแล้วเกือบศตวรรษ Victor Horta* สถาปนิกชื่อดังเป็นผู้ออกแบบอาคารนี้ ด้วยดีไซน์เฉพาะตัว
โครงเหล็กและกระจกแก้วเป็นลายเซ็นต์ของ Victor Horta* ซึ่งเห็นได้ชัดเจนภายในห้องโถงและบันไดของพิพิธภัณฑ์
ในพิพิธภัณฑ์ เราได้เรียนรู้จุดเริ่มต้นของ Comic Strip ตั้งแต่ยุคหินจนมาถึงยุคปัจจุบัน ผ่านภาพเขียนในถ้ำ จนมาถึงยุคโรงพิมพ์และยุคดิจิตัล
ห้องที่จัดแสดงขั้นตอนการวาดการ์ตูน เป็นห้องที่ฉันชอบมากที่สุด Comic Strip ทุกชิ้นจะเริ่มจากการคิดซีน หรือ Senario ก่อน และเขียนภาพของตัวเอกลงไป ก่อนจะตามด้วยองค์ประกอบต่างๆในภาพจนสมบูรณ์ ซึ่งตอนวาดนักเขียนต้องคิดไว้ด้วยว่า ภาพนี้จะนำเสนอเป็นขาวดำหรือเป็นสี ถ้าเป็นขาวดำเทคนิคของแสงเงา หรือ contrast ต้องชัดเจนกว่าสี ซึ่งหลังจากเดินชมไปเกือบครบทุกห้องแล้ว ฉันและสามีลงความเห็นเหมือนกันว่าชาวเบลเยี่ยมน่าจะชอบวาดการ์ตูนกันมากในยุคก่อน เหมือนกับชาวญี่ปุ่นที่คลั่งไคล้ Manga (มังงะ) กันเหลือเกิน ต่างกันที่ความละเอียดที่ชาวญี่ปุ่นวาดได้ละเอียดกว่า แต่การ์ตูนของเบลเยี่ยมจะเน้นไปทางอารมรณ์ดี สดใสและขบขัน สะท้อนให้เห็นถึงสภาพจิตใจของคนประเทศนี้
ห้องสุดท้ายของพิพิธภัณฑ์จัดแสดง Comic Strip ชื่อดังอยู่ 2 เรื่อง คือ Smurf และ Tin Tin แต่ละห้อง มีประวัติของนักเขียน ที่มาของเรื่องรวมถึง set up ฉากของการ์ตูนให้เราได้ถ่ายรูปกันเล่นๆด้วย
ก่อนกลับเราแวะดูร้านขายของที่มีทั้งแก้วน้ำ ของที่ระลึก และหนังสือการ์ตูนซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสเสียส่วนใหญ่ ตรงข้ามกับร้านขายของมี Horta Brasseries คาเฟ่เล็กๆให้นั่งจิบชากาแฟชมผลงานของ Victor Horta* อีกด้วยค่ะ (Rue des Sables 20/ 10.00-18.00 น. ทุกวัน/ 10 ยูโร/ www.comicscenter.net/en/home)
* Victor Horta (1861-1947) สถาปนิกชื่อดังของศิลปะ Art Nouveau เทรดมาร์คของเขา ก็คือเหล็กดัดที่ชดช้อย ใครชอบการออกแบบของเขา แวะไปชม Musee Horta หรืออาคารอื่นๆที่เขาออกแบบได้เช่น Hotel Tassel และ Jardin d’Enfants
EU Parliament
เพราะ Brussels ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของสหภาพยุโรปฉันจึงอยากจะเห็นรัฐสภาของชาติยุโรปเป็นบุญตาสักครั้ง
เรานั่งรถไฟใต้ดินจาก Central Station ไปยังสถานี Art de Lio เปลี่ยนสายไปลงที่สถานี Troone ใช้เวลาทั้งหมดเพียง 15 นาที และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้เราเห็นว่าสถานีรถไฟใต้ดินของ Brussels มีความเป็นศิลปะแทรกอยู่ แต่ละแห่งตกแต่งไม่เหมือนกัน บ้างมีงานโมเสค บ้างมีภาพถ่าย หรือการออกแบบในอารมณ์เท่ๆ เช่นที่สถานี Arts Loi (ทริปนี้เราซื้อตั๋วรายชั่วโมง ต้องไปกลับภายใน 1 ชั่วโมง ราคา 8 ยูโร สำหรับ 2 คนค่ะ)
EU Parliament เป็นอาคารสูงไม่กี่ชั้น แต่โดดเด่นด้วยโครงสร้างอาคารกระจกครึ่งวงกลมที่แสดงถึงความกลมเกลียว นอกเหนือจากอาคารรัฐสภาพ ก็ยังมี Station Europe เล่นคำให้เหมือนกับเป็นสถานีของทวีป ที่เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวของสหภาพแต่เปิดให้เข้าชมตอน 10.00 น. ซึ่งฉันเราไม่มีเวลาพอที่จะเข้าชมค่ะ
นอกจากทัวร์ชม EU Parliament และ Station Europe แล้ว รอบๆยังมีพิพิธภัณฑ์ชั้นเยี่ยม Musee des Sciences Naturelles พิพิธภัณฑ์สัตว์สต๊าฟและไดโนเสาร์ ใกล้ๆกันยังมี Autoworld พิพิธภัณฑ์รถวินเทจใหญ่ที่สุดของยุโรป รวมถึง Musee de Cinquantenair พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงชิ้นงานสำคัญของโลก รวมถึงศิลปะวัตถุยุคอียิปต์โบราณ แต่เราพลาดทั้งหมดที่กล่าวมาเพราะพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ปิดวันจันทร์ และเช้านี้ก็เป็นวันสุดท้ายของ Brussels ก่อนจะต้องออกเดินทางต่อไปยัง Ghent และ Bruges ต่อไปค่ะ (Place du Luxembourg 100, B-1047 Brussels/ 9.00-18.00 น. จันทร์–ศุกร์ 10.00-18.00 น. เสาร์-อาทิตย์/www.europarl.europa.eu/visiting/en/)
สถานที่เที่ยวอื่นๆ
ด้วยสภาพอากาศที่ฝนตกเกือบตลอด 3 วัน และวันจันทร์เป็นวันที่พิพิธภัณฑ์หลายแห่งปิด ฉันจึงสำรวจเมือง ไม่ได้ดังใจ ยังมีอีกหลายพิพิธภัณฑ์ที่อยากไป เช่น MIMA พิพิธภัณฑ์ใหม่ ล่าสุดที่ตั้งอยู่ในโรงกลั่นเบียร์เก่า Musee du Costume et de la Dentelle พิพิธภัณฑ์ผ้าลูกไม้ซึ่งเป็นงานฝีมือ ที่โด่งดังของชาวเบลเยี่ยม Musee de Cinquantenair, Musee Horta, Underpant Museum พิพิธภัณฑ์ชุดชั้นใน รวมถึง Cathedral des Sts-Michel & Gudule โบสถ์สำคัญของเมืองที่ใช้สถาปนาและจัดงานแต่งงานของราชวงศ์เบลเยี่ยม เป็นโบสถ์ที่มี ทาวเวอร์แฝดคล้ายกับ Notre Dame ของปารีส ซึ่งภายในมีงานกระจกสีสวยงามและภาพวาดสำคัญๆ อีกหลายชิ้นค่ะ
นอกจากนั้นยังมีตึก Art Nouveau สวยๆให้ชม เช่น Bourse ตลาดหุ้นที่สร้างในปี 1873 อาคาร Halles St-Gery ตึก Neo Renaissance ที่เคยเป็นตลาดค้าเนื้อ รวมถึง Zinneke เจ้าสุนัขฉี่ที่หลายคนยกให้เป็นญาติกับ Manneken Pis และ Jeanneke Pis ค่ะ
Eat
Mokafe
คาเฟ่แห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องมื้อเช้า ฉันและสามีสั่งเซ็ตอาหารเช้าชุดใหญ่ (12 ยูโร) ประกอบด้วย ครัวซอง บาแก็ต ชีส เนย แยม ออมเล็ตบนขนมปัง น้ำผลไม้ โยเกริต์ผลไม้ พร้อมกับเครื่องดื่มร้อน 1 แก้ว นอกจากเรายังสั่ง Cheese Tart ที่หลายคนบอกว่าเด็ดอีกหนึ่งช้ิน
Mokafe ตั้งอยู่ใน Galeries Royales Saint-Hubert อาเขตสวย ในร้านมีทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยวแวะมานั่งกินกันตลอดเวลาที่เรานั่งอยู่
ร้านตกแต่งอย่างบิสโทรทั่วไป อบอุ่น ไม่หรูหราแต่น่านั่ง รสชาติอาหารถ้าจะว่ากันตามจริง ฉันให้คะแนนปานกลางค่ะ แต่บรรยากาศสบายๆในอาเขตสวยที่สุดของประเทศ รวมถึงปริมาณอาหารที่อิ่มไปจนเที่ยงวัน จึงทำให้ Mokafe กลายเป็นสต็อปที่หลายคนแวะมาเติมพลังพร้อมกันทุกเช้า (Galeries Royales Saint-Hubert/ Galerie du Roi 9, 1000 Bruxelles/ 7.30-23.00 น. ทุกวัน/ ราคาเฉลี่ยอาหารเช้าคนละ 10-15 ยูโร)
Chez Leon
“มา Brussels ต้องกิน Mussels” เพราะหอยแมลงภู่ของเมืองนี้สดและอร่อยที่สุด ยิ่งในเดือนที่ลงท้ายด้วย “er” เหมือน November ที่เรามาทริปนี้ หอยแมลงภู่จะอร่อยกว่าเดือนอื่นๆ แล้วเราจะพลาดได้อย่างไรค่ะ
Chez Leon เป็นหนึ่งในร้านดังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มีทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นเข้ามากินไม่ขาดสาย
จากเมนูเล่มใหญ่ เจ้าหอยแมลงภู่ถูกเอาไปแปลงร่างได้หลากหลายจาน เช่น Gratin ที่ราดหน้าด้วยชีส หรือสปาเก็ตตี้หอยแมลงภู่ก็ดูอร่อย แต่เราตั้งใจมากินหอยแมลงภู่ในหม้ออบ ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของเมือง ก็เลยต้องเมินเมนูอื่นไปโดยปริยาย
หอยแมลงภู่เบลเยี่ยมตัวไม่ใหญ่ค่ะ ขนาดกลางๆ รสชาติหวานและสด และคงเพราะอบด้วยไวน์ขาวกับเครื่องเทศ ทำให้หอยแมลงภู่ไร้กลิ่นคาวทะเล เวลากินควรดื่มคู่กับเบียร์เบลเยี่ยมและเคี้ยวมันฝรั่งทอดชิ้นใหญ่ สามีบอกว่าเพิ่มรสชาติขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ (Rue des Bouchers 18, B-1000 Bruxelles/ 11.00-23.00 น. ทุกวัน/ ราคาเฉลี่ยคนละ 20-40 ยูโร/www.chezleon.be/en/)
Maison Dandoy
Brussels มีร้านขายวอฟเฟิลเยอะมากจนตาลาย เรากินกันถึง 3 ร้านในเวลา 2 วัน แต่มีเพียงแค่ Maison Dandoy ที่เรากลับไปถึง 2 ครั้ง เพราะติดใจความอร่อยของ Leige Waffle* (ลีเอช วอฟเฟิล) ของเจ้านี้ค่ะ
Maison Dandoy เปิดมาแล้วกว่าร้อยปี สูตรวอฟเฟิลตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นและเป็นหนึ่งในร้านวอฟเฟิลระดับ 5 ดาว ของเมือง มีสาขาอยู่หลายแห่ง แต่เราเลือกมาสาขาข้างๆ Grand Place เพราะความสะดวกสบายในการเดินทาง
เราสั่ง Leige Waffle ลาดช็อกโกแล็ตกับกาแฟดำหอมๆ เนื้อแป้งหนึบและเหนียวเคี้ยวสนุกค่ะ ช็อกโกแล็ตฉ่ำหวานสะท้านใจ รอบที่ 2 ว่าจะกินแค่ไม่กี่คำแต่สุดท้ายก็ฟาดไปเกือบทั้งชิ้น เบรคแตกจริงๆค่ะร้านนี้
*ความแตกต่างระหว่าง Leige Waffle และ Belgium Waffle : Leige (ลีเอช) วอฟเฟิลนั้นทำจากแป้งและ เนยเป็นส่วนผสมหลัก จึงหอมกรุ่นและเนื้อวอฟเฟิลจะหนึบและ เหนียว ลักษณะเป็นแผ่นเล็กหรือยาวก็ได้ แต่ขอบจะไม่เรียบ ต่างกับ Belgium Waffle ที่ทำจากยีสต์ มากกว่าเนย เนื้อแป้งจึงจะเบา กรอบนอกนุ่มใน ลักษณะจะเป็นสี่เหลี่ยมและมีขอบชัดเจนค่ะ (Rue au Beurre 31, 1000 Bruxelles (Grand Place)/ 9.30-22.00 น. วันจันทร์ – วันเสาร์ 10.30-22.00 น. วันอาทิตย์/ ราคาเฉลี่ยคนละ 5-10 ยูโร)
Waffle Factory
ถึงแม้จะเป็นร้านเชนวอฟเฟิลแต่ Waffle Factory ก็รสชาติดีค่ะ ที่สำคัญมีทั้งวอฟเฟิลคาวและหวาน ซึ่ง Lunch Waf วอฟเฟิลกลมๆสอดไส้ชีสกับแฮมสำหรับมื้อกลางวัน “Croc-Waf” (5.6 ยูโร) นี้อร่อยจริงๆค่ะ
ชีส Gouda (คาวด้า) เข้ากันได้ดีกับแฮม ทั้งหอมและมันส์ ถูกใจจนกลายเป็นเมนูใหม่ที่อยากเอากลับมาทำกินที่บ้านบ้าง
Waffle Factory มีหลายสาขาและมีที่นั่งในร้านด้วยค่ะ คิวค่อนข้างเยอะแต่รอไม่นานเพราะมีพนักงานช่วยกันหลายแรงอยู่ (Rue du Lombard 30, 1000 Bruxelles/ 9.00-20.00 น. ทุกวัน/ ราคาเฉลี่ยคนละ 5-10 ยูโร/ www.wafflefactory.com/?lang=en)
Be Waffle’
วอฟเฟิลของร้านนี้มีรสชาติให้เลือกสารพัดชนิด ทั้งช้อกโกแล็ต ผลไม้ และไอศกรีม หน้าตาน่ากินและเหมาะสำหรับถ่ายรูปอวดโซเชียลเป็นที่สุด
Be Waffle’ มีขายอยู่หลายจุดในบริเวณของแหล่งท่องเที่ยวเมืองเก่า … ถามถึงรสชาติก็บอกเลยว่าพอใช้ได้ค่ะ แต่ถ้าเทียบกับ Maison Dandoy แล้ว เหมือนกับเอา Street Food ไปเทียบกับร้านห้าดาว แต่เราก็กินค่ะ 555 เพราะราคาของ Be Waffle’ สบายกระเป๋าจริงๆ เริ่มต้นที่ 1-2-3 ยูโรเท่านั้น ถูกกว่าร้านวอฟเฟิลอีกสองร้านที่แนะนำไปก่อนหน้าค่ะ (ตามแหล่งท่องเที่ยวใจกลางเมือง/ ราคาเฉลี่ยคนละ 1-5 ยูโร)
Top Chocolate Shops
มีบางคนกล่าวไว้ว่า ถ้าน้ำหอมเป็นกลิ่นของปารีส ช็อกโกแล็ตก็น่าจะเป็นกลิ่นของเบลเยี่ยมเช่นกัน …
ก่อนมาเบลเยี่ยม ฉันคิดว่าคงจะมีร้านดังอยู่เพียงไม่กี่ร้าน เท่าที่นึกออกก็มี Neuhaus (นูเฮาส์) Godiva (โกไดวา) Pierre Marcolini (ปิแอร์ มาร์โคลินี) แต่พอมาเหยียบ Brussels เข้าจริงๆ กลับมีร้านช็อกโกแล็ตมากกว่าที่คิด ยิ่งกว่านั้นยังมีแทบทุกหัวมุมถนน ไม่จาก 7-11 ในบ้านเรา
ช็อกโกแล็ตร้านแรกที่แนะนำ คือ Neuhaus เป็นร้านแรกที่ผลิต Praline หรือช็อกโกแล็ตสอดไส้จนเป็นที่แพร่หลายอย่างทุกวันนี้ สาขาแรกที่ Jean Jr. Neuhaus คิดค้น Praline ในปี 1912 ก็อยู่ในอาเขตหรู Galeries Royales Saint-Hubert ซึ่งห่างจาก Grand Place เพียง 5 นาทีเท่านั้น (www.neuhauschocolates.com/en/)
ในร้านมีช็อกโกแล็ตให้ซื้อมากมาย แต่ฉันกลับชอบใจ Hot Chocolate ของร้านนี้ เพราะทำกันสดๆ ใส่นมและผงช็อกโกแล็ตกันตรงหน้า รสชาติก็เข้มข้น หวานหอมและขมอยู่ในที ราคาแก้วนี้ 4 ยูโรค่ะ (สาขาอื่นก็มีขายเช่นกัน)
ร้านที่สองชื่อว่า Mary ช็อกโกแล็ตของร้านนี้ได้รับเกียรติจากราชวงศ์เบลเยี่ยมให้นำส่งเข้าไปในวัง เช่นเดียวกับ ประธานาธิบดีของสหรัฐ (ในข้อมูลไม่ได้บอกว่าเป็นของขวัญหรือท่านมาเลือกซื้อเอง) ฉันชอบช็อกโกแล็ตแผ่นบางๆซึ่งมีอยู่ 9 รสของ Mary มาก โดยเฉพาะ Noir หรือ Dark Chocolate ที่มีให้เลือกหลายรสชาติ เช่น Noir Orange ก็อร่อย Noir Earl Grey ก็หอม หรือ Noir 88% ก็ขมกำลังดี ส่วนแบบ Lait หรือช็อกโกแล็ตนม ก็ส่งให้หลานสาวไป หลานชอบมากมาย ขอกินวันละ 1 ชิ้นหลังอาหารเย็นไว้ล้างปาก (www.mary.be/en/home)
นอกจากนั้นเกาลัดเชื่อมของ Mary ก็เลิศค่ะ เกาลัดลูกใหญ่ เชื่อมได้เข้าเนื้อทุกอณู ที่สำคัญไม่รู้สึกกว่าฉ่ำจนเกินไป กินคู่กับน้ำชาร้อนๆ มีความสุขสุดขีดค่ะ (ราคา 10-20 ยูโร)
Mary ยังเป็นของฝากชั้นเยี่ยมอีกด้วยค่ะ แพ็คเก็จจิ้งสวยเลอค่าและยังหาในโซนเอเชียได้ไม่ง่ายนัก นอกจาก สาขาที่ Brussels แล้ว Mary ยังมีสาขาที่ Bruges และ Antwerp อีกเมืองละสาขาเท่านั้น ดังนั้นถ้าพลาดจาก Brussels ก็จะหาซื้อยากแล้วค่ะ (ฉันยังเสียดายจนถึงทุกวันนี้ที่ซื้อกลับมาน้อยไป)
นอกจากสองร้านช็อกโกแล็ตนี้แล้ว Brussels ก็ยังมีอีกหลายร้านช้อกโกแล็ตชื่อดังค่ะ เช่น Pierre Marcolini ที่มีรสแปลกๆให้ชิม แพ็คเก็จทันสมัยสะดุดตา Planete Chocolat อีกร้านช็อกโกแล็ตขึ้นชื่อที่ทำกันสดๆ แถมยังสาธิตให้ดูอีกด้วย หรือจะเป็น Leonidas อีกร้านที่เราเห็นในเอเชียกันแล้ว แต่ดังที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น Godiva ที่มีแพ็คเก็จจิ้ง สวยๆมากกว่าร้านในบ้านเราค่ะ
Frite
ถ้าถามคนเบลเยี่ยม มันฝรั่งทอดเรียกว่า Frite (ไฟรท์) ไม่ใช่ French Fries อย่างที่เราคุ้นปากกัน เช่นเดียวกับ ต้นกำเนิดก็จะอยู่ที่เบลเยี่ยมไม่ใช่เมืองน้ำหอม
ทริปนี้ฉันกิน Frite เพียงแค่ 1 มื้อเท่านั้น และร้านที่กินก็ไม่ใช่ร้านดังเสียด้วย แต่ก็อร่อยเลยเชียว ทอดได้เยี่ยม ไม่อมน้ำมันเลย ส่วนเหตุผลหลักที่กินเพียงมื้อเดียวก็เป็นเรื่องสุขภาพค่ะ อายุเยอะแล้ว ถ้าต้องเลือกระหว่าง วอฟเฟิล ช้อกโกแล็ต และมันฝรั่งทอด ฉันขอเลือก 2 อย่างแรกมากกว่า
แต่ยังไงก็มีร้าน Frite ชื่อดังมาแนะนำกัน 3 ร้านค่ะ ทั้งสามเป็นร้านที่ชาวเบลเยี่ยมบอกว่าเด็ดจริง เริ่มด้วย Maison Antoine คลาสิกมันฝรั่งทอด (1, place Jourdan 1040 Bruxelles/ www.maisonantoine.be) Fritland ร้านดังที่อยู่ใกล้ๆกับ Grand Place แถวยาวมากตอนกลางคืน ทอดกันทั้งวันปิดดึกดื่นอีกด้วยค่ะ (Rue Henri Maus 49, 1000 Bruxelles/ www.fritlandbrussels.be/acceuil) และสุดท้ายก็คือ Frit Flagey ที่หลายคนยกให้เป็นอันดับ 1 ของเมืองกันเลย (Place Eugène Flagey, 1050 Ixelles)
Panos
ถ้าจะเลือก Fast Food สักร้านในเบลเยี่ยม ฉันก็จะเลือก Fast Food ท้องถิ่น ซึ่งก็คือร้านสีเหลืองสดใสหัวใจ friendly ร้านนี้ค่ะ
Panos เป็นร้านอาหารเช้าสำหรับคนที่เร่งรีบ มีเวลาจำกัด และเหมาะกับชาวเอเชีย Jetlag สองคนที่ตื่นแต่ไก่โห่ ในขณะที่ยังไม่มีร้านใดเปิดประตูขาย ส่วนกลางวันก็เป็นมื้อง่ายๆ หยิบแล้วขึ้นรถขับไปเมืองอื่นต่อได้โดยไม่เสียเวลา อาหารก็มีทั้งครัวซองค์ วอฟเฟิลหวานหอม แซนด์วิช และช้อกโกแล็ตร้อนๆ รสชาติใช้ได้และราคาก็ย่อมเยาว์อีกด้วยค่ะ (Central Station และสาขาทั่วไป/ www.panos.be)
Moeder Lambic
ร้านสุดท้ายไม่ใช่ร้านอาหาร แต่เป็นบาร์เบียร์ที่สามีบอกว่าเลิศที่สุดหลังจากตระเวนลองมา 3 ร้าน … Moeder Lambic มีเบียร์สดและเบียร์ขวดให้เลือกละลานตาในร้านที่ตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูดี ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1980 โดยบาร์เทนเดอร์มือฉมังผู้เชี่ยวชาญเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เบียร์ที่เบลเยี่ยมมีให้เลือกหลายชนิดจริงๆค่ะ ฉันไม่เคยเห็นเบียร์ที่ไหนจะเยอะขนาดนี้มาก่อน ที่เยอรมันก็สู้ไม่ได้ ในร้านขายเบียร์มียี่ห้อเป็นร้อย หลายแบรนด์ก็ไม่รู้จัก แต่เดินดูแล้วสนุกมากเพราะฉลากและรูปทรงของขวดเร้าใจ
ใครที่อยากลองเบียร์เบลเยี่ยมดีๆสักแก้วสองแก้ว ลองแวะไปร้านนี้นะคะ สามีนักดื่มรับประกันว่าดีจริง และยังมีพนักงานความรู้เยอะให้คำแนะนำอีกด้วยค่ะ (68, Rue de Savoie, Brussels 1060 หรือ Moeder Fontainas, 8 place Fontainas / 11.00-01.00 น. ทุกวัน/ www.moederlambic.com)
Shop
Galeries Royales Saint-Hubert
อาเขตนี้มีสองบทบาทค่ะ เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวและช้อปปิ้งในแห่งเดียว … หลายคนแวะมา Galeries Royales Saint-Hubert เพื่อมาชมอาเขตเก่าในศตวรรษที่ 18 ที่ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรม Neoclassical อย่างหรูหราและเป็นอาเขตแห่งแรกของโลกที่มีหลังคา ส่วนช้อปเปอร์ที่มาก็ช้อปได้อย่างจุใจกับ 3 ห้องโถงใหญ่ King’s Gallery, Queen’s Gallery และ Prince’s Gallery
ร้านค้าและร้านอาหารมีมากมาย มีร้านช้อกโกแล็ตชื่อดังของเมืองทุกยี่ห้อ รวมถึง Neuhaus สาขาต้นกำเนิด ของ Pralines ช้อกโกแล็ตสอดไส้ และ Delvaux กระเป๋าถือสุดหรูของราชวงศ์เบลเยี่ยมที่กำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลกในขณะนี้ (Galerie du Roi 5, 1000 Bruxelles/ 10.00-19.00 น. ทุกวัน)
Rue Neuve
ถ้าเดินอยู่ในย่านเมืองเก่า เราคงนึกว่า Brussels เต็มไปด้วยร้านในตำนานอยู่มานานนับร้อยปี แต่ฉันไม่เชื่อเช่นนั้นค่ะ เมืองหลวงเมืองใหญ่ต้องมีแหล่งช้อปปิ้งแฟชั่นฟูฟ่าซึ่งย่านนี้อยู่บริเวณ Rue Neuve หรือถนน Neuve ค่ะ
บนถนนเส้นนี้มีทั้งศูนย์การค้าใหญ่ ถนนคนเดินยาวที่สุดของเบลเยี่ยมซึ่งมีร้านดัง เช่น Uniqlo, Celio, Zara และ H&M ส่วนใครที่ชอบช้อปปิ้งแบรนด์เนมก็ต้องมุ่งหน้าไปที่ Boulevard de Waterloo … ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา ฝนตก ลมแรง ทุลักทุเลมากๆค่ะ (Rue Neuve/ ประมาณ 11.00-19.00 น. ทุกวัน)
Tin Tin Shop
ใกล้ๆกับ Grand Place มีร้านของที่ระลึกของการ์ตูนดัง Tin Tin ค่ะ ในร้านมีของน่าซื้อมากมาย ทั้งแฟ้มใสรูป Tin Tin และ Snowy สุนัขคู่ใจ ตุ๊กตา Tin Tin และหนังสือการ์ตูนก็มี
ใครชอบสะสมตัวการ์ตูนเรื่องนี้ ห้ามพลาดร้านนี้เลย ยิ่งอยู่ในประเทศต้นตำรับจึงมีของรุ่นพิเศษอีกด้วยค่ะ (Rue de la Colline 13, 1000 Bruxelles/ https://boutique.tintin.com/en)
Stay
Hotel Le Dixseptieme
โรงแรมแรกของทริปยุโรป ฉันตั้งใจเลือกโรงแรมที่มีตำนานและก็มาลงตัวที่ Hotel Le Dixseptieme โรงแรมที่ตั้งอยู่ในอาคารเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 บนถนนสายแรกของ Brussels อาคารนี้ยังเคยเป็นบ้านพักของท่านฑูตสเปน ภายในมีการตกแต่งที่สวยงามและบันไดวนที่เป็นเอกลักษณ์
โลเคชั่นของ Hotel Le Dixseptieme โรงแรมที่มีความหมายว่าเลขที่ 17 (Dixseptieme) นั้นอยู่ในย่านเมืองเก่า ใกล้กับ Grand Place เพียง 5 นาที และยังห่างจาก Central Station แค่ 5-7 นาทีอีกด้วยค่ะ
ห้องพักของโรงแรมมีอยู่ 2 โซน โซนเก่าห้องจะเก่านิดนึงแต่ก็ดูแลรักษาดี แต่ห้องที่เราเข้าพักอยู่ในโซนใหม่ โซน Garden Wing ทุกห้องมีขนาดไม่ต่ำกว่า 30 ตาราเมตร
ห้องสี่เหลี่ยมจตุรัส Layout อยู่สบาย มีผนังไม้อัดตกแต่งเป็นทั้งที่เก็บของและโต๊ะทำงาน ทีวีอยู่ด้านหนึ่ง ตรงข้ามเป็นเตียงคิงส์ไซส์ นุ่มนอนสบาย ห้องน้ำก็กว้างขวางค่ะ อ่างล้างหน้ามี 2 อ่าง และที่วางของก็เหลือเฟือ พื้นอุ่น มีฮีเตอร์ใต้พื้นให้ เดินสบาย ห้องที่เราพักยังมีเฉลียงเล็กๆให้ออกไปสูดอากาศหายใจได้ด้วย เสียอย่างเดียวที่ไม่มีวิวใดๆให้เห็นค่ะ (Rue de la Madeleine 25, 1000 Bruxelles/ ราคาเฉลี่ยคืนละ 170-220 ยูโร/ www.ledixseptieme.be)
โรงแรมอื่นๆ
ในบริเวณเดียวกัน ยังมีโรงแรมอีกหลายแห่ง เลือกพักกันได้ตามราคาและสไตล์ที่ชอบค่ะ เช่น Hilton ที่ใกล้ กับ Central Station, Novotel ก็อยู่ใกล้ Grand Place หรือจะราคาย่อมเยาว์ลงมาหน่อยก็จะเป็น Ibis ค่ะ
31 Dec 2017
0 Comments
Brussels Mini Guide ไฮไลท์ท่องเมืองหลวงแห่งยุโรป
เพียงข้ามคืน (12 ชั่วโมง) … การบินไทยก็พาเราไปยัง Brussels/ Bruxelles (บรัสเซลส์) เมืองหลวงของ Belgium (เบลเยี่ยม) ในตอนเช้าตรู่ของฤดูหนาว
วีซ่าเชงเก้น 5 ปี ที่ฟ้าประทานจากสถานฑูตเนเธอร์แลนด์ทำให้รู้สึกว่ายุโรปเปิดประตูต้อนรับฉันอย่างกับอั้ม พัชราภา ยิ่งช่องทางเข้าเมืองก็สะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องกรอกเอกสารใดๆทั้งสิ้น ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนกับเดินบนพรมแดงเข้ายุโรปเอาเสียจริงๆ (ยกเว้นสภาพอากาศน่ารันทดอย่างที่เกริ่นไว้)
Brussels Highlights
Brussels เป็นเมืองหลวงของ Belgium เช่นเดียวกับเมืองหลวงของยุโรป เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของ EU Parliament หรือ รัฐสภาสหภาพยุโรปซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 24 ประเทศ (ไม่นับสหราชอาณาจักร)
ในอดีต Brussels เป็นเมืองค้าขายและจตุรัส Grand Place (แกรนด์เพลส) ก็คือศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเมือง
ปัจจุบัน Brussels มีประชากรประมาณ 2 ล้านคน ภาษาฝรั่งเศส ดัชท์ และ Flemish (เฟลมมิช) เป็นภาษาหลักที่ใช้สื่อสาร แต่คนเบลเยี่ยมส่วนใหญ่ก็พูดภาษาอังกฤษได้ การท่องเที่ยวในประเทศนี้จึงไม่เป็นปัญหานัก (คนเบลเยี่ยมตอนเหนือจะใช้ภาษาดัชท์ ส่วนตอนใต้จะใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักค่ะ)
Old town (เมืองเก่า) ของ Brussels มีขนาดกะทัดรัด พนักงานโรงแรมขีดเส้นผ่าศูนย์กลางพร้อมบอกกับเราว่า ยูว์เดินเพียง 30 นาทีก็ทั่วเมืองเก่าแล้ว ดังนั้นการเดินเท้าจึงเป็นวิธีรู้จัก Brussels อย่างแนบชิดที่ดีที่สุด รถแทรม หรือรถไฟใต้ดินแทบไม่ได้ใช้เลย ถ้าจะเดินเล่นอยู่เฉพาะเมืองเก่า (ข้อมูลเที่ยว https://visit.brussels/en/)
Grand Place
เห็นชื่อจตุรัสครั้งแรก ก็อ่านว่า “กรองด์ พลาส์” ตามภาษาฝรั่งเศสที่เรียนมาเมื่อปีมะโว้ แต่หลังจากคุยกับเจ้าหน้าที่ของโรงแรม เขากลับอ่านตามสำเนียงอังกฤษชัดเจนว่า “แกรนด์เพลส” จตุรัสใหญ่ใจกลางเมือง ที่บอกเลยว่ายิ่งใหญ่สมฐานะของชื่อจริงๆค่ะ
ในอดีต Grand Place เป็นศูนย์กลางการค้า เป็นตลาดเก่าของเมือง ถนนรายรอบจตุรัสจึงตั้งชื่อตามสินค้าที่ขาย เช่น Rue au Beurre หรือ Butter Street และ Rue des Bouchers หรือ Butcher’s Street
ประมาณศตวรรษที่ 16 ฝรั่งเศสบุกเข้ามาถล่มเมืองอยู่ถึง 36 ชั่วโมงเต็ม สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองอย่างมาก อาคารเก่าถูกทำลายกว่า 4,000 หลัง รวมถึงสิ่งก่อสร้างรายรอบ Grand Place ด้วย
เพียง 5 ปีหลังจากสงคราม Brussels ก็ลุกขึ้นมาสร้างเมืองใหม่ รวมถึง Guildhalls (ศาลากลาง) ของหลากหลายอาชีพที่โอบกอดจตุรัส ส่งผลให้ Grand Place กลายเป็นจตุรัสที่สวยงามตระการตาที่สุดของโลก และถูกขึ้นทะเบียนเป็น UNESCO World Heritage ในที่สุด
Hotel de Ville เป็นอาคารเด่นที่สุดของจตุรัส เป็นอาคารเดียวที่อยู่รอดจากการรุกรานของฝรั่งเศส ทั้งที่เป็นเป้าหมายต้นๆ หินสีครีมด้านหน้าถูกแต่งแต้มด้วยหินแกะสลักรูป Gargoyle (การ์กอยล์) เทาว์เวอร์สูง 96 เมตรประดับด้วยรูปปั้นสีทองของ St. Michel เทพประจำเมือง Hotel de Ville ดูยิ่งใหญ่และอลังการกว่าตึกใดๆใน Grand Place ใครสนใจ ก็มีทัวร์พาชมอาคารด้วยค่ะ
นอกจากนั้นยังมี Maison du Roi ตึกนีโอโกธิคสีเข้มที่ดูน่าเกรงขาม เดิมทีอาคารนี้เคยเป็นตลาดขนมปัง แต่ปัจจุบัน กลายเป็น Brussels City Museum มีแผนที่เก่าและประวัติศาสตร์ของเมืองให้เรียนรู้กัน
ส่วนอาคารเล็กที่สุดแต่กลับมีคนแวะมามากที่สุดแห่งหนึ่งก็คือ L’Etoile ที่นี่มีรูปปั้นทองเหลืองของฮีโร่คนสำคัญ Everand ‘t Serclaes ตั้งอยู่ ชาวเบลเยี่ยมมีความเชื่อว่า ถ้าใครได้ลูบรูปปั้นนี้ก็จะโชคดี คิวแถวของนักท่องเที่ยวทั้งชาวเอเชียและยุโรป จึงก่อตัวกันสั้นๆ ที่ด้านหน้ารูปปั้นฮีโร่ผู้นี้ค่ะ
ทริปเบ-เน-มันส์นี้ เกิดขึ้นปลายเดือนพฤศจิกายน ลานกว้างของจตุรัส จึงประดับต้นคริสตมาสสูงใหญ่ พร้อมกับโรงนาจำลองเรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสต์ และการแสดงแสงสีเสียง (เพลง) ยามค่ำคืน ที่ปลุกให้ Grand Place ของคืนนี้น่าตื่นตะลึง อารมณ์เหมือนอยู่ในดิสนีแลนด์แดนมหัศจรรย์เลยค่ะ (1000 Brussels/ 24 ชั่วโมง/ ฟรี)
แสง สีและเสียงแห่ง Grand Place มีให้ชมเฉพาะช่วงคริสตมาสเท่านั้น
บรรยากาศยามค่ำคืนของ Grand Place ในช่วงเวลาปกติ ไร้เทศกาลแต่ก็ยังสวยงาม (ตุลาคม 2019)
Manneken Pis (แมนเนเก้น พิส)
ถัดจากรูปปั้นของ Everard ‘t Serclaes ในซอยเดียวกันนั้น เพียง 30 เมตร ก็เป็นที่ตั้งของ Manneken Pis รูปปั้นเด็กผู้ชายยืนฉี่ดังที่สุดของโลก รูปปั้นนี้มีขนาดเล็ก สูงไม่น่าจะเกินหนึ่งเมตร ยืนแอ่นตัวฉี่เป็นสายน้ำอย่างไม่อายใคร
ความเชื่อเกี่ยวกับ Manneken Pis มีอยู่หลายอย่าง คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเด็กชายผู้นี้มีชื่อว่า Petite Julien แต่เหตุผลว่าทำไมมายืนฉี่อยู่ตรงมุมถนนนี้นั้นกลับมีหลายสาเหตุ บ้างว่า Petite Julien ยืนฉี่รดระเบิดเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับเมือง บางคนก็ว่าเป็นลูกชายของคนร่ำรวยที่พลัดหลง พอเจอยืนฉี่อยู่ตรงจุดนี้ พ่อกับแม่ก็เลยสร้างรูปปั้นไว้ หรือแม้กระทั้งเชื่อกันว่า ซอยนี้เคยเป็นซอยของพ่อค้าทำหนัง ฉี่เด็กที่รดบนหนังทำให้หนังอ่อนตัว จึงเป็นที่มาของรูปปั้นค่ะ
ส่วนเสื้อผ้าที่ใช้ปกคลุมร่างกายของ Manneken Pis นี้ริเริ่มมาตั้งแต่ยุคของพระเจ้าหลุยส์ ชุดแรกถูกเก็บไว้ในพิพิธภัฑณ์ และปัจจุบันก็กลายเป็นประเพณีให้ Manneken Pis สวมใส่ชุดต่างๆตามวาระและเทศกาล แต่ไม่ว่าจะใส่ชุดไหนยังไงก็ต้องเปิดช่องให้เด็กชายได้ผ่อนเบาเหมือนเดิม
อีกเรื่องที่น้อยคนจะรู้ก็คือ Mannekin Pis นี้เป็นผลงานที่สร้างใหม่เพราะของออริจินั่ลถูกขโมยจนได้รับความเสียหาย ถึง 2 ครั้ง …
นึกถึงความรู้สึกของคน Brussels ในวันนั้น คงตกใจน่าดู ตื่นมาไม่เจอเด็กยืนฉี่ที่มุมเดิมแล้ว จนน่าจะเป็นสาเหตุให้ปัจจุบันนี้มีรั้วรอบขอบชิดอย่างทุกวันนี้ (Rue de l’Etuve 31 & Rue de Chene/ 24 ชั่วโมง/ ฟรี)
Comic Street Art หรือ Comic Book Route
คนเบลเยี่ยมเป็นนักวาดการ์ตูนตัวยง สร้างศิลปินชื่อเสียงระดับโลกมากมาย Brussels จึงสละพื้นที่ตามกำแพงที่ว่างเปล่าของเมืองเก่าให้กับภาพการ์ตูนดังในตำนานตั้งแต่ปี 1991 ค่ะ
Brousaille Wall คือกำแพงแรกของเมือง เดินจาก Manneken Pis ไม่นานนัก ก็จะเจอกับภาพของ Brousaille กุมมือกับแฟนสาวอย่างมีความสุข การ์ตูนเรื่องนี้เป็นฝีมือของ Frank Pe นักวาดการ์ตูนชื่อดังของเบลเยี่ยม (Rue du Marche au Charbon)
ใกล้ๆกันก็ยังมี Comic Street Art อีก 2-3 ภาพ แต่ภาพดังที่สุดก็คือ The Adventures of Tin Tin ที่เขียนในปี 1929 โดย Georges Remi หรือนามปากกาว่า Herge Tintin
Tin Tin เป็นนักข่าว มีผมเป็นเอกลักษณ์ มักเดินทางไปแก้ไขความลับทั่วโลกกับ Snowy สุนัขคู่ใจ ภาพนี้อยู่ในตอน The Calculas Affair ตั้งอยู่ที่ Rue de L’Etuve 37 ไม่ไกลจาก Mannekin Pis อีกเช่นกัน (Rue de L’Etuve/ 24 ชั่วโมง/ ฟรี)
Jeanneke Pis
หลังจากเดินดู Comic Street Art กันจนพอใจ ฉันเดินย้อนไปอีกฝั่งของเมืองเก่า เพื่อไปดู Jennekin Pis เด็กหญิงนั่งฉี่ ที่หลายคนบอกว่าเป็นน้องสาวของ Mannekin Pis แต่วันนี้กลับมีลูกกรงมาปิดตรงรูปปั้นค่ะ เราจะเดินกลับไปอีกครั้งในวันถัดมา ลูกกรงก็ยังคงปิดอยู่และไม่มีป้ายบอกเหตุผลใด มีแต่เพียงแผ่นป้ายติดข้างๆกำแพง บอกให้นักท่องเที่ยวโยนเหรียญเข้าไปในอ่างแล้วจะโชคดี ซึ่งเราก็ปฏิบัติตามอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด (Impasse de la Fidélité 10-12/ 24 ชั่วโมง/ ฟรี)
Mont Des Art
บนเนินสูงไม่ไกลจาก Grand Place ผ่าน Central Station ตรงไปยัง Mont Des Art หรือเนินเขาแห่งศิลปะซึ่ง King Leopold II ผู้ได้ชื่อว่ากษัตริย์นักสร้างได้สร้างไว้ด้านหน้าพระราชวังหลวง
บนเนินแห่งนี้มีสวนฝรั่งเศสขนาดเล็กไต่ระดับกันไป พร้อมกับขั้นบันไดที่เดินขึ้นไปยังพระราชวังหลวง รอบๆมีพิพิธภัณฑ์น่าชมมากมาย จนเรียกได้ว่าเป็น Art Town ของเมือง เช่น RMFA, MIM และ Maritte Museum
คองานศิลปะดูรายละเอียดของพิพิธภัณฑ์ได้ที่เว็บไซต์ และถ้าเราหันหลังให้กับพระราชวัง มองตรงไปด้านหน้าก็จะเห็น Brussels เกือบทั้งเมืองเลยค่ะ (Rue Royale 2-4 Koningsstraat/ www.montdesarts.com/en/49)
Old England Building / Musical Instruments Museum
ถัดจาก Mont des Arts เราเดินตามเนินสูงขึ้นมาเรื่อยๆ สายตาก็จะปะทะกับกลุ่มอาคารหน้าจั่วที่มีศิลปะ Art Nouveau เรียงตัวกันอยู่
หนึ่งในอาคารแห่งนี้มีชื่อว่า Old England Building สร้างขึ้นในปี 1899 เป็นห้างสรรพสินค้าเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ดนตรี มีเครื่องดนตรีหลายพันชิ้น
ชั้นบนมีคาเฟ่ให้ชมวิวของสวนอีกด้วย ตึกนี้ ออกแบบโดย Paul Saintenoy เป็นศิลปะ Art Nouveau ที่ใช้เหล็กดัดอ่อนช้อยจนหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นผลงานของ Victor Horta ศิลปิน Art Nouveau ชื่อดัง (Rue Montagne de la Cour 2/ 9.30-17.00 น. อังคาร–ศุกร์ 10.00-17.00 น.เสาร์–อาทิตย์ ปิดจันทร์/ 8 ยูโร/ www.mim.be)
Palais Royal
แม้ราชวงศ์เบลเยี่ยมจะย้ายไปประทับที่ Laeken พระราชวังชานเมืองของ Brussels แล้ว แต่พระราชวังแห่งนี้ ก็ยังคงที่พักอย่างเป็นทางการของราชวงศ์
Palais Royal สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 ภายในเปิดให้ชมเฉพาะบางช่วงซึ่งมักจะอยู่ช่วงฤดูร้อน และห้องเด่นที่สุดก็เป็นห้องโถงสวยงามของพระราชวังค่ะ (Rue Brederode 16)
Atomium
สถาปัตยกรรมล้ำยุคลูกอะตอมทั้ง 9 นี้ ตั้งอยู่ที่สวน Heysen Park ทางทิศตะวันตกของ Brussels เรานั่งรถไฟใต้ดินเพียง 15 นาที จาก Central Station เปลี่ยนรถจากสายสีส้มเป็นสีน้ำเงินในราคา 2.20 ยูโร/เที่ยว/คน ด้วยตั๋ว Single Trip* ที่ซื้อ ณ จุดขายตั๋ว Central Station
(*ขากลับเคาน์เตอร์ขายตั๋วปิด ต้องซื้อตั๋วจากเครื่องขายตั๋ว แต่ปัญหาคือเราไม่มีเหรียญเลย เพราะเพิ่งเดินทางมาถึง และในบริเวณนั้นก็ไม่มีเครื่องแลกเหรียญด้วย บัตรเครดิตที่ใช้ได้ ก็ต้องมี Pin ส่วนตัว ซึ่งเราก็จำไม่ได้ จึงต้องขอความช่วยเหลือจาก ชหนุ่มเบลเยี่ยมใจดีรูดบัตรของเขาให้และเราจ่ายเงินสดแลกกัน ดังนั้นต้องระวังกันนะคะ เตรียมเหรียญให้พร้อม ถ้าเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินไปสถานนีนอกเมือง)
Atomium สร้างขึ้นในปี 1958 เพื่อต้อนรับงาน Expo 58 ซึ่งเป็นงาน World’s Fair ที่สำคัญของโลก โดยลูกกลมๆ ทั้ง 9 นี้เป็นตัวแทนของยุคนิวเคลียร์ (Atomic Age) ผู้ออกแบบคือ Andre Waterkeyn ความสูงอยู่ที่ 102 เมตร ตระหง่านอยู่ใจกลางสวน จนกลายเป็นสถาปัตยกรรมถาวรที่ตั้งอยู่จนถึงทุกวันนี้
นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมภายในลูกอะตอมได้ แต่คิวของบ่ายวันนั้นช่างยาวเสียเหลือเกิน อากาศที่หนาวเหน็บทำให้ เราถอดใจไม่ขึ้นไปจิบเบียร์เบลเยี่ยมชมวิวเมืองและเดินไปที่ Mini Europe สวนสนุกจำลองแลนด์มาร์คของ ยุโรปที่อยู่ไม่ไกลจากกัน
ฉันเคยมา Mini Europe แล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน ยังจำได้ว่าชอบและสนุกดี เลยตั้งใจพาสามีไปเดิน ดูบ้างแต่เพราะทางไปปิดซ่อมแซ่ม และอากาศใกล้ค่ำก็หนาวขึ้นเรื่อยๆจึงตัดสินใจนั่งรถไฟใต้ดินกลับเข้าเมือง ไปพักขาและร่างของวันแรกที่เพิ่งมาถึง (Square de l’Atomium, 1020 Bruxelles, Belgium/ http://atomium.be)
Belgium Comic Strip Centre/Museum
เช้าวันฝนตกของวันจันทร์ เราไปเดินชมพิพิธภัณฑ์ที่เปิดอยู่เพียงไม่กี่แห่งของเมือง (พิพิธภัณฑ์ในเบลเยี่ยมปิดวันจันทร์ เป็นส่วนใหญ่ค่ะ ใครวางแผนมาเที่ยว Brussels วันจันทร์ต้องทำใจ อดชมพิพิธภัณฑ์ดีๆ)
Belgium Comic Strip Museum พิพิธภัณฑ์การ์ตูนแห่งสำคัญของประเทศ ตั้งอยู่ในอาคาร Art Nouveau เท่และร่วมสมัย แม้จะสร้างมาแล้วเกือบศตวรรษ Victor Horta* สถาปนิกชื่อดังเป็นผู้ออกแบบอาคารนี้ ด้วยดีไซน์เฉพาะตัว
โครงเหล็กและกระจกแก้วเป็นลายเซ็นต์ของ Victor Horta* ซึ่งเห็นได้ชัดเจนภายในห้องโถงและบันไดของพิพิธภัณฑ์
ในพิพิธภัณฑ์ เราได้เรียนรู้จุดเริ่มต้นของ Comic Strip ตั้งแต่ยุคหินจนมาถึงยุคปัจจุบัน ผ่านภาพเขียนในถ้ำ จนมาถึงยุคโรงพิมพ์และยุคดิจิตัล
ห้องที่จัดแสดงขั้นตอนการวาดการ์ตูน เป็นห้องที่ฉันชอบมากที่สุด Comic Strip ทุกชิ้นจะเริ่มจากการคิดซีน หรือ Senario ก่อน และเขียนภาพของตัวเอกลงไป ก่อนจะตามด้วยองค์ประกอบต่างๆในภาพจนสมบูรณ์ ซึ่งตอนวาดนักเขียนต้องคิดไว้ด้วยว่า ภาพนี้จะนำเสนอเป็นขาวดำหรือเป็นสี ถ้าเป็นขาวดำเทคนิคของแสงเงา หรือ contrast ต้องชัดเจนกว่าสี ซึ่งหลังจากเดินชมไปเกือบครบทุกห้องแล้ว ฉันและสามีลงความเห็นเหมือนกันว่าชาวเบลเยี่ยมน่าจะชอบวาดการ์ตูนกันมากในยุคก่อน เหมือนกับชาวญี่ปุ่นที่คลั่งไคล้ Manga (มังงะ) กันเหลือเกิน ต่างกันที่ความละเอียดที่ชาวญี่ปุ่นวาดได้ละเอียดกว่า แต่การ์ตูนของเบลเยี่ยมจะเน้นไปทางอารมรณ์ดี สดใสและขบขัน สะท้อนให้เห็นถึงสภาพจิตใจของคนประเทศนี้
ห้องสุดท้ายของพิพิธภัณฑ์จัดแสดง Comic Strip ชื่อดังอยู่ 2 เรื่อง คือ Smurf และ Tin Tin แต่ละห้อง มีประวัติของนักเขียน ที่มาของเรื่องรวมถึง set up ฉากของการ์ตูนให้เราได้ถ่ายรูปกันเล่นๆด้วย
ก่อนกลับเราแวะดูร้านขายของที่มีทั้งแก้วน้ำ ของที่ระลึก และหนังสือการ์ตูนซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสเสียส่วนใหญ่ ตรงข้ามกับร้านขายของมี Horta Brasseries คาเฟ่เล็กๆให้นั่งจิบชากาแฟชมผลงานของ Victor Horta* อีกด้วยค่ะ (Rue des Sables 20/ 10.00-18.00 น. ทุกวัน/ 10 ยูโร/ www.comicscenter.net/en/home)
* Victor Horta (1861-1947) สถาปนิกชื่อดังของศิลปะ Art Nouveau เทรดมาร์คของเขา ก็คือเหล็กดัดที่ชดช้อย ใครชอบการออกแบบของเขา แวะไปชม Musee Horta หรืออาคารอื่นๆที่เขาออกแบบได้เช่น Hotel Tassel และ Jardin d’Enfants
EU Parliament
เพราะ Brussels ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของสหภาพยุโรปฉันจึงอยากจะเห็นรัฐสภาของชาติยุโรปเป็นบุญตาสักครั้ง
เรานั่งรถไฟใต้ดินจาก Central Station ไปยังสถานี Art de Lio เปลี่ยนสายไปลงที่สถานี Troone ใช้เวลาทั้งหมดเพียง 15 นาที และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้เราเห็นว่าสถานีรถไฟใต้ดินของ Brussels มีความเป็นศิลปะแทรกอยู่ แต่ละแห่งตกแต่งไม่เหมือนกัน บ้างมีงานโมเสค บ้างมีภาพถ่าย หรือการออกแบบในอารมณ์เท่ๆ เช่นที่สถานี Arts Loi (ทริปนี้เราซื้อตั๋วรายชั่วโมง ต้องไปกลับภายใน 1 ชั่วโมง ราคา 8 ยูโร สำหรับ 2 คนค่ะ)
EU Parliament เป็นอาคารสูงไม่กี่ชั้น แต่โดดเด่นด้วยโครงสร้างอาคารกระจกครึ่งวงกลมที่แสดงถึงความกลมเกลียว นอกเหนือจากอาคารรัฐสภาพ ก็ยังมี Station Europe เล่นคำให้เหมือนกับเป็นสถานีของทวีป ที่เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวของสหภาพแต่เปิดให้เข้าชมตอน 10.00 น. ซึ่งฉันเราไม่มีเวลาพอที่จะเข้าชมค่ะ
นอกจากทัวร์ชม EU Parliament และ Station Europe แล้ว รอบๆยังมีพิพิธภัณฑ์ชั้นเยี่ยม Musee des Sciences Naturelles พิพิธภัณฑ์สัตว์สต๊าฟและไดโนเสาร์ ใกล้ๆกันยังมี Autoworld พิพิธภัณฑ์รถวินเทจใหญ่ที่สุดของยุโรป รวมถึง Musee de Cinquantenair พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงชิ้นงานสำคัญของโลก รวมถึงศิลปะวัตถุยุคอียิปต์โบราณ แต่เราพลาดทั้งหมดที่กล่าวมาเพราะพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ปิดวันจันทร์ และเช้านี้ก็เป็นวันสุดท้ายของ Brussels ก่อนจะต้องออกเดินทางต่อไปยัง Ghent และ Bruges ต่อไปค่ะ (Place du Luxembourg 100, B-1047 Brussels/ 9.00-18.00 น. จันทร์–ศุกร์ 10.00-18.00 น. เสาร์-อาทิตย์/www.europarl.europa.eu/visiting/en/)
สถานที่เที่ยวอื่นๆ
ด้วยสภาพอากาศที่ฝนตกเกือบตลอด 3 วัน และวันจันทร์เป็นวันที่พิพิธภัณฑ์หลายแห่งปิด ฉันจึงสำรวจเมือง ไม่ได้ดังใจ ยังมีอีกหลายพิพิธภัณฑ์ที่อยากไป เช่น MIMA พิพิธภัณฑ์ใหม่ ล่าสุดที่ตั้งอยู่ในโรงกลั่นเบียร์เก่า Musee du Costume et de la Dentelle พิพิธภัณฑ์ผ้าลูกไม้ซึ่งเป็นงานฝีมือ ที่โด่งดังของชาวเบลเยี่ยม Musee de Cinquantenair, Musee Horta, Underpant Museum พิพิธภัณฑ์ชุดชั้นใน รวมถึง Cathedral des Sts-Michel & Gudule โบสถ์สำคัญของเมืองที่ใช้สถาปนาและจัดงานแต่งงานของราชวงศ์เบลเยี่ยม เป็นโบสถ์ที่มี ทาวเวอร์แฝดคล้ายกับ Notre Dame ของปารีส ซึ่งภายในมีงานกระจกสีสวยงามและภาพวาดสำคัญๆ อีกหลายชิ้นค่ะ
นอกจากนั้นยังมีตึก Art Nouveau สวยๆให้ชม เช่น Bourse ตลาดหุ้นที่สร้างในปี 1873 อาคาร Halles St-Gery ตึก Neo Renaissance ที่เคยเป็นตลาดค้าเนื้อ รวมถึง Zinneke เจ้าสุนัขฉี่ที่หลายคนยกให้เป็นญาติกับ Manneken Pis และ Jeanneke Pis ค่ะ
Eat
Mokafe
คาเฟ่แห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องมื้อเช้า ฉันและสามีสั่งเซ็ตอาหารเช้าชุดใหญ่ (12 ยูโร) ประกอบด้วย ครัวซอง บาแก็ต ชีส เนย แยม ออมเล็ตบนขนมปัง น้ำผลไม้ โยเกริต์ผลไม้ พร้อมกับเครื่องดื่มร้อน 1 แก้ว นอกจากเรายังสั่ง Cheese Tart ที่หลายคนบอกว่าเด็ดอีกหนึ่งช้ิน
Mokafe ตั้งอยู่ใน Galeries Royales Saint-Hubert อาเขตสวย ในร้านมีทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยวแวะมานั่งกินกันตลอดเวลาที่เรานั่งอยู่
ร้านตกแต่งอย่างบิสโทรทั่วไป อบอุ่น ไม่หรูหราแต่น่านั่ง รสชาติอาหารถ้าจะว่ากันตามจริง ฉันให้คะแนนปานกลางค่ะ แต่บรรยากาศสบายๆในอาเขตสวยที่สุดของประเทศ รวมถึงปริมาณอาหารที่อิ่มไปจนเที่ยงวัน จึงทำให้ Mokafe กลายเป็นสต็อปที่หลายคนแวะมาเติมพลังพร้อมกันทุกเช้า (Galeries Royales Saint-Hubert/ Galerie du Roi 9, 1000 Bruxelles/ 7.30-23.00 น. ทุกวัน/ ราคาเฉลี่ยอาหารเช้าคนละ 10-15 ยูโร)
Chez Leon
“มา Brussels ต้องกิน Mussels” เพราะหอยแมลงภู่ของเมืองนี้สดและอร่อยที่สุด ยิ่งในเดือนที่ลงท้ายด้วย “er” เหมือน November ที่เรามาทริปนี้ หอยแมลงภู่จะอร่อยกว่าเดือนอื่นๆ แล้วเราจะพลาดได้อย่างไรค่ะ
Chez Leon เป็นหนึ่งในร้านดังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มีทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นเข้ามากินไม่ขาดสาย
จากเมนูเล่มใหญ่ เจ้าหอยแมลงภู่ถูกเอาไปแปลงร่างได้หลากหลายจาน เช่น Gratin ที่ราดหน้าด้วยชีส หรือสปาเก็ตตี้หอยแมลงภู่ก็ดูอร่อย แต่เราตั้งใจมากินหอยแมลงภู่ในหม้ออบ ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของเมือง ก็เลยต้องเมินเมนูอื่นไปโดยปริยาย
หอยแมลงภู่เบลเยี่ยมตัวไม่ใหญ่ค่ะ ขนาดกลางๆ รสชาติหวานและสด และคงเพราะอบด้วยไวน์ขาวกับเครื่องเทศ ทำให้หอยแมลงภู่ไร้กลิ่นคาวทะเล เวลากินควรดื่มคู่กับเบียร์เบลเยี่ยมและเคี้ยวมันฝรั่งทอดชิ้นใหญ่ สามีบอกว่าเพิ่มรสชาติขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ (Rue des Bouchers 18, B-1000 Bruxelles/ 11.00-23.00 น. ทุกวัน/ ราคาเฉลี่ยคนละ 20-40 ยูโร/www.chezleon.be/en/)
Maison Dandoy
Brussels มีร้านขายวอฟเฟิลเยอะมากจนตาลาย เรากินกันถึง 3 ร้านในเวลา 2 วัน แต่มีเพียงแค่ Maison Dandoy ที่เรากลับไปถึง 2 ครั้ง เพราะติดใจความอร่อยของ Leige Waffle* (ลีเอช วอฟเฟิล) ของเจ้านี้ค่ะ
Maison Dandoy เปิดมาแล้วกว่าร้อยปี สูตรวอฟเฟิลตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นและเป็นหนึ่งในร้านวอฟเฟิลระดับ 5 ดาว ของเมือง มีสาขาอยู่หลายแห่ง แต่เราเลือกมาสาขาข้างๆ Grand Place เพราะความสะดวกสบายในการเดินทาง
เราสั่ง Leige Waffle ลาดช็อกโกแล็ตกับกาแฟดำหอมๆ เนื้อแป้งหนึบและเหนียวเคี้ยวสนุกค่ะ ช็อกโกแล็ตฉ่ำหวานสะท้านใจ รอบที่ 2 ว่าจะกินแค่ไม่กี่คำแต่สุดท้ายก็ฟาดไปเกือบทั้งชิ้น เบรคแตกจริงๆค่ะร้านนี้
*ความแตกต่างระหว่าง Leige Waffle และ Belgium Waffle : Leige (ลีเอช) วอฟเฟิลนั้นทำจากแป้งและ เนยเป็นส่วนผสมหลัก จึงหอมกรุ่นและเนื้อวอฟเฟิลจะหนึบและ เหนียว ลักษณะเป็นแผ่นเล็กหรือยาวก็ได้ แต่ขอบจะไม่เรียบ ต่างกับ Belgium Waffle ที่ทำจากยีสต์ มากกว่าเนย เนื้อแป้งจึงจะเบา กรอบนอกนุ่มใน ลักษณะจะเป็นสี่เหลี่ยมและมีขอบชัดเจนค่ะ (Rue au Beurre 31, 1000 Bruxelles (Grand Place)/ 9.30-22.00 น. วันจันทร์ – วันเสาร์ 10.30-22.00 น. วันอาทิตย์/ ราคาเฉลี่ยคนละ 5-10 ยูโร)
Waffle Factory
ถึงแม้จะเป็นร้านเชนวอฟเฟิลแต่ Waffle Factory ก็รสชาติดีค่ะ ที่สำคัญมีทั้งวอฟเฟิลคาวและหวาน ซึ่ง Lunch Waf วอฟเฟิลกลมๆสอดไส้ชีสกับแฮมสำหรับมื้อกลางวัน “Croc-Waf” (5.6 ยูโร) นี้อร่อยจริงๆค่ะ
ชีส Gouda (คาวด้า) เข้ากันได้ดีกับแฮม ทั้งหอมและมันส์ ถูกใจจนกลายเป็นเมนูใหม่ที่อยากเอากลับมาทำกินที่บ้านบ้าง
Waffle Factory มีหลายสาขาและมีที่นั่งในร้านด้วยค่ะ คิวค่อนข้างเยอะแต่รอไม่นานเพราะมีพนักงานช่วยกันหลายแรงอยู่ (Rue du Lombard 30, 1000 Bruxelles/ 9.00-20.00 น. ทุกวัน/ ราคาเฉลี่ยคนละ 5-10 ยูโร/ www.wafflefactory.com/?lang=en)
Be Waffle’
วอฟเฟิลของร้านนี้มีรสชาติให้เลือกสารพัดชนิด ทั้งช้อกโกแล็ต ผลไม้ และไอศกรีม หน้าตาน่ากินและเหมาะสำหรับถ่ายรูปอวดโซเชียลเป็นที่สุด
Be Waffle’ มีขายอยู่หลายจุดในบริเวณของแหล่งท่องเที่ยวเมืองเก่า … ถามถึงรสชาติก็บอกเลยว่าพอใช้ได้ค่ะ แต่ถ้าเทียบกับ Maison Dandoy แล้ว เหมือนกับเอา Street Food ไปเทียบกับร้านห้าดาว แต่เราก็กินค่ะ 555 เพราะราคาของ Be Waffle’ สบายกระเป๋าจริงๆ เริ่มต้นที่ 1-2-3 ยูโรเท่านั้น ถูกกว่าร้านวอฟเฟิลอีกสองร้านที่แนะนำไปก่อนหน้าค่ะ (ตามแหล่งท่องเที่ยวใจกลางเมือง/ ราคาเฉลี่ยคนละ 1-5 ยูโร)
Top Chocolate Shops
มีบางคนกล่าวไว้ว่า ถ้าน้ำหอมเป็นกลิ่นของปารีส ช็อกโกแล็ตก็น่าจะเป็นกลิ่นของเบลเยี่ยมเช่นกัน …
ก่อนมาเบลเยี่ยม ฉันคิดว่าคงจะมีร้านดังอยู่เพียงไม่กี่ร้าน เท่าที่นึกออกก็มี Neuhaus (นูเฮาส์) Godiva (โกไดวา) Pierre Marcolini (ปิแอร์ มาร์โคลินี) แต่พอมาเหยียบ Brussels เข้าจริงๆ กลับมีร้านช็อกโกแล็ตมากกว่าที่คิด ยิ่งกว่านั้นยังมีแทบทุกหัวมุมถนน ไม่จาก 7-11 ในบ้านเรา
ช็อกโกแล็ตร้านแรกที่แนะนำ คือ Neuhaus เป็นร้านแรกที่ผลิต Praline หรือช็อกโกแล็ตสอดไส้จนเป็นที่แพร่หลายอย่างทุกวันนี้ สาขาแรกที่ Jean Jr. Neuhaus คิดค้น Praline ในปี 1912 ก็อยู่ในอาเขตหรู Galeries Royales Saint-Hubert ซึ่งห่างจาก Grand Place เพียง 5 นาทีเท่านั้น (www.neuhauschocolates.com/en/)
ในร้านมีช็อกโกแล็ตให้ซื้อมากมาย แต่ฉันกลับชอบใจ Hot Chocolate ของร้านนี้ เพราะทำกันสดๆ ใส่นมและผงช็อกโกแล็ตกันตรงหน้า รสชาติก็เข้มข้น หวานหอมและขมอยู่ในที ราคาแก้วนี้ 4 ยูโรค่ะ (สาขาอื่นก็มีขายเช่นกัน)
ร้านที่สองชื่อว่า Mary ช็อกโกแล็ตของร้านนี้ได้รับเกียรติจากราชวงศ์เบลเยี่ยมให้นำส่งเข้าไปในวัง เช่นเดียวกับ ประธานาธิบดีของสหรัฐ (ในข้อมูลไม่ได้บอกว่าเป็นของขวัญหรือท่านมาเลือกซื้อเอง) ฉันชอบช็อกโกแล็ตแผ่นบางๆซึ่งมีอยู่ 9 รสของ Mary มาก โดยเฉพาะ Noir หรือ Dark Chocolate ที่มีให้เลือกหลายรสชาติ เช่น Noir Orange ก็อร่อย Noir Earl Grey ก็หอม หรือ Noir 88% ก็ขมกำลังดี ส่วนแบบ Lait หรือช็อกโกแล็ตนม ก็ส่งให้หลานสาวไป หลานชอบมากมาย ขอกินวันละ 1 ชิ้นหลังอาหารเย็นไว้ล้างปาก (www.mary.be/en/home)
นอกจากนั้นเกาลัดเชื่อมของ Mary ก็เลิศค่ะ เกาลัดลูกใหญ่ เชื่อมได้เข้าเนื้อทุกอณู ที่สำคัญไม่รู้สึกกว่าฉ่ำจนเกินไป กินคู่กับน้ำชาร้อนๆ มีความสุขสุดขีดค่ะ (ราคา 10-20 ยูโร)
Mary ยังเป็นของฝากชั้นเยี่ยมอีกด้วยค่ะ แพ็คเก็จจิ้งสวยเลอค่าและยังหาในโซนเอเชียได้ไม่ง่ายนัก นอกจาก สาขาที่ Brussels แล้ว Mary ยังมีสาขาที่ Bruges และ Antwerp อีกเมืองละสาขาเท่านั้น ดังนั้นถ้าพลาดจาก Brussels ก็จะหาซื้อยากแล้วค่ะ (ฉันยังเสียดายจนถึงทุกวันนี้ที่ซื้อกลับมาน้อยไป)
นอกจากสองร้านช็อกโกแล็ตนี้แล้ว Brussels ก็ยังมีอีกหลายร้านช้อกโกแล็ตชื่อดังค่ะ เช่น Pierre Marcolini ที่มีรสแปลกๆให้ชิม แพ็คเก็จทันสมัยสะดุดตา Planete Chocolat อีกร้านช็อกโกแล็ตขึ้นชื่อที่ทำกันสดๆ แถมยังสาธิตให้ดูอีกด้วย หรือจะเป็น Leonidas อีกร้านที่เราเห็นในเอเชียกันแล้ว แต่ดังที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น Godiva ที่มีแพ็คเก็จจิ้ง สวยๆมากกว่าร้านในบ้านเราค่ะ
Frite
ถ้าถามคนเบลเยี่ยม มันฝรั่งทอดเรียกว่า Frite (ไฟรท์) ไม่ใช่ French Fries อย่างที่เราคุ้นปากกัน เช่นเดียวกับ ต้นกำเนิดก็จะอยู่ที่เบลเยี่ยมไม่ใช่เมืองน้ำหอม
ทริปนี้ฉันกิน Frite เพียงแค่ 1 มื้อเท่านั้น และร้านที่กินก็ไม่ใช่ร้านดังเสียด้วย แต่ก็อร่อยเลยเชียว ทอดได้เยี่ยม ไม่อมน้ำมันเลย ส่วนเหตุผลหลักที่กินเพียงมื้อเดียวก็เป็นเรื่องสุขภาพค่ะ อายุเยอะแล้ว ถ้าต้องเลือกระหว่าง วอฟเฟิล ช้อกโกแล็ต และมันฝรั่งทอด ฉันขอเลือก 2 อย่างแรกมากกว่า
แต่ยังไงก็มีร้าน Frite ชื่อดังมาแนะนำกัน 3 ร้านค่ะ ทั้งสามเป็นร้านที่ชาวเบลเยี่ยมบอกว่าเด็ดจริง เริ่มด้วย Maison Antoine คลาสิกมันฝรั่งทอด (1, place Jourdan 1040 Bruxelles/ www.maisonantoine.be) Fritland ร้านดังที่อยู่ใกล้ๆกับ Grand Place แถวยาวมากตอนกลางคืน ทอดกันทั้งวันปิดดึกดื่นอีกด้วยค่ะ (Rue Henri Maus 49, 1000 Bruxelles/ www.fritlandbrussels.be/acceuil) และสุดท้ายก็คือ Frit Flagey ที่หลายคนยกให้เป็นอันดับ 1 ของเมืองกันเลย (Place Eugène Flagey, 1050 Ixelles)
Panos
ถ้าจะเลือก Fast Food สักร้านในเบลเยี่ยม ฉันก็จะเลือก Fast Food ท้องถิ่น ซึ่งก็คือร้านสีเหลืองสดใสหัวใจ friendly ร้านนี้ค่ะ
Panos เป็นร้านอาหารเช้าสำหรับคนที่เร่งรีบ มีเวลาจำกัด และเหมาะกับชาวเอเชีย Jetlag สองคนที่ตื่นแต่ไก่โห่ ในขณะที่ยังไม่มีร้านใดเปิดประตูขาย ส่วนกลางวันก็เป็นมื้อง่ายๆ หยิบแล้วขึ้นรถขับไปเมืองอื่นต่อได้โดยไม่เสียเวลา อาหารก็มีทั้งครัวซองค์ วอฟเฟิลหวานหอม แซนด์วิช และช้อกโกแล็ตร้อนๆ รสชาติใช้ได้และราคาก็ย่อมเยาว์อีกด้วยค่ะ (Central Station และสาขาทั่วไป/ www.panos.be)
Moeder Lambic
ร้านสุดท้ายไม่ใช่ร้านอาหาร แต่เป็นบาร์เบียร์ที่สามีบอกว่าเลิศที่สุดหลังจากตระเวนลองมา 3 ร้าน … Moeder Lambic มีเบียร์สดและเบียร์ขวดให้เลือกละลานตาในร้านที่ตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูดี ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1980 โดยบาร์เทนเดอร์มือฉมังผู้เชี่ยวชาญเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เบียร์ที่เบลเยี่ยมมีให้เลือกหลายชนิดจริงๆค่ะ ฉันไม่เคยเห็นเบียร์ที่ไหนจะเยอะขนาดนี้มาก่อน ที่เยอรมันก็สู้ไม่ได้ ในร้านขายเบียร์มียี่ห้อเป็นร้อย หลายแบรนด์ก็ไม่รู้จัก แต่เดินดูแล้วสนุกมากเพราะฉลากและรูปทรงของขวดเร้าใจ
ใครที่อยากลองเบียร์เบลเยี่ยมดีๆสักแก้วสองแก้ว ลองแวะไปร้านนี้นะคะ สามีนักดื่มรับประกันว่าดีจริง และยังมีพนักงานความรู้เยอะให้คำแนะนำอีกด้วยค่ะ (68, Rue de Savoie, Brussels 1060 หรือ Moeder Fontainas, 8 place Fontainas / 11.00-01.00 น. ทุกวัน/ www.moederlambic.com)
Shop
Galeries Royales Saint-Hubert
อาเขตนี้มีสองบทบาทค่ะ เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวและช้อปปิ้งในแห่งเดียว … หลายคนแวะมา Galeries Royales Saint-Hubert เพื่อมาชมอาเขตเก่าในศตวรรษที่ 18 ที่ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรม Neoclassical อย่างหรูหราและเป็นอาเขตแห่งแรกของโลกที่มีหลังคา ส่วนช้อปเปอร์ที่มาก็ช้อปได้อย่างจุใจกับ 3 ห้องโถงใหญ่ King’s Gallery, Queen’s Gallery และ Prince’s Gallery
ร้านค้าและร้านอาหารมีมากมาย มีร้านช้อกโกแล็ตชื่อดังของเมืองทุกยี่ห้อ รวมถึง Neuhaus สาขาต้นกำเนิด ของ Pralines ช้อกโกแล็ตสอดไส้ และ Delvaux กระเป๋าถือสุดหรูของราชวงศ์เบลเยี่ยมที่กำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลกในขณะนี้ (Galerie du Roi 5, 1000 Bruxelles/ 10.00-19.00 น. ทุกวัน)
Rue Neuve
ถ้าเดินอยู่ในย่านเมืองเก่า เราคงนึกว่า Brussels เต็มไปด้วยร้านในตำนานอยู่มานานนับร้อยปี แต่ฉันไม่เชื่อเช่นนั้นค่ะ เมืองหลวงเมืองใหญ่ต้องมีแหล่งช้อปปิ้งแฟชั่นฟูฟ่าซึ่งย่านนี้อยู่บริเวณ Rue Neuve หรือถนน Neuve ค่ะ
บนถนนเส้นนี้มีทั้งศูนย์การค้าใหญ่ ถนนคนเดินยาวที่สุดของเบลเยี่ยมซึ่งมีร้านดัง เช่น Uniqlo, Celio, Zara และ H&M ส่วนใครที่ชอบช้อปปิ้งแบรนด์เนมก็ต้องมุ่งหน้าไปที่ Boulevard de Waterloo … ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา ฝนตก ลมแรง ทุลักทุเลมากๆค่ะ (Rue Neuve/ ประมาณ 11.00-19.00 น. ทุกวัน)
Tin Tin Shop
ใกล้ๆกับ Grand Place มีร้านของที่ระลึกของการ์ตูนดัง Tin Tin ค่ะ ในร้านมีของน่าซื้อมากมาย ทั้งแฟ้มใสรูป Tin Tin และ Snowy สุนัขคู่ใจ ตุ๊กตา Tin Tin และหนังสือการ์ตูนก็มี
ใครชอบสะสมตัวการ์ตูนเรื่องนี้ ห้ามพลาดร้านนี้เลย ยิ่งอยู่ในประเทศต้นตำรับจึงมีของรุ่นพิเศษอีกด้วยค่ะ (Rue de la Colline 13, 1000 Bruxelles/ https://boutique.tintin.com/en)
Stay
Hotel Le Dixseptieme
โรงแรมแรกของทริปยุโรป ฉันตั้งใจเลือกโรงแรมที่มีตำนานและก็มาลงตัวที่ Hotel Le Dixseptieme โรงแรมที่ตั้งอยู่ในอาคารเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 บนถนนสายแรกของ Brussels อาคารนี้ยังเคยเป็นบ้านพักของท่านฑูตสเปน ภายในมีการตกแต่งที่สวยงามและบันไดวนที่เป็นเอกลักษณ์
โลเคชั่นของ Hotel Le Dixseptieme โรงแรมที่มีความหมายว่าเลขที่ 17 (Dixseptieme) นั้นอยู่ในย่านเมืองเก่า ใกล้กับ Grand Place เพียง 5 นาที และยังห่างจาก Central Station แค่ 5-7 นาทีอีกด้วยค่ะ
ห้องพักของโรงแรมมีอยู่ 2 โซน โซนเก่าห้องจะเก่านิดนึงแต่ก็ดูแลรักษาดี แต่ห้องที่เราเข้าพักอยู่ในโซนใหม่ โซน Garden Wing ทุกห้องมีขนาดไม่ต่ำกว่า 30 ตาราเมตร
ห้องสี่เหลี่ยมจตุรัส Layout อยู่สบาย มีผนังไม้อัดตกแต่งเป็นทั้งที่เก็บของและโต๊ะทำงาน ทีวีอยู่ด้านหนึ่ง ตรงข้ามเป็นเตียงคิงส์ไซส์ นุ่มนอนสบาย ห้องน้ำก็กว้างขวางค่ะ อ่างล้างหน้ามี 2 อ่าง และที่วางของก็เหลือเฟือ พื้นอุ่น มีฮีเตอร์ใต้พื้นให้ เดินสบาย ห้องที่เราพักยังมีเฉลียงเล็กๆให้ออกไปสูดอากาศหายใจได้ด้วย เสียอย่างเดียวที่ไม่มีวิวใดๆให้เห็นค่ะ (Rue de la Madeleine 25, 1000 Bruxelles/ ราคาเฉลี่ยคืนละ 170-220 ยูโร/ www.ledixseptieme.be)
โรงแรมอื่นๆ
ในบริเวณเดียวกัน ยังมีโรงแรมอีกหลายแห่ง เลือกพักกันได้ตามราคาและสไตล์ที่ชอบค่ะ เช่น Hilton ที่ใกล้ กับ Central Station, Novotel ก็อยู่ใกล้ Grand Place หรือจะราคาย่อมเยาว์ลงมาหน่อยก็จะเป็น Ibis ค่ะ
Related Posts: