ตอนสาม : 360 นาทีที่เวียงจันทน์

รถไฟถึงสถานีหนองคายเวลา 6.25 น. นาฬิกาหลังจากนี้ เราปล่อยให้เดินช้า ถึงแม้ต้องต่อรถและผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง แต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือลำบากอะไร คนไทยเข้าลาว ไม่ต้องขอวีซ่า และไม่กี่นาทีถัดมา เราก็มายืนอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำโขง บนผืนดินของนครเวียงจันทน์ เมืองหลวงของ สปป. ลาว ที่เรียบง่ายและไม่แออัด

รถไฟความเร็วสูงออกสู่วังเวียงในช่วงบ่าย เราเลยมีเวลาทำความรู้จักกับเวียงจันทน์ประมาณ 6 ชั่วโมงเต็ม ทริปนี้เราจองทัวร์แบบ private trip ผ่าน Discover Laos แลนด์เอเจ้นที่เชี่ยวชาญการท่องเที่ยวใน สปป. ลาว (https://discoverlaos.today) ดังนั้นเมื่อก้าวเท้าออกมาจากด่านตรวจคนเข้าเมือง รถตู้ไฟฟ้าพร้อมกับตุ้ย โชเฟอร์ที่คอยดูแลพาเราเที่ยว ก็มารอรับที่หน้าด่านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมที่จะดูแลเราไปตลอด 3 วันนี้

มื้อเช้าที่เวียงจันทน์ เราเลือกอาหารฝรั่งเศสที่ Suzette เหตุผลเพราะหน้าประวัติศาสตร์ของลาวเคยอยู่ในเมืองอารักขาของฝรั่งเศสมาหลายสิบปี เราจึงเชื่อว่าความอร่อยในแบบฉบับฝรั่งเศสน่าจะตกทอดมาสู่ปัจจุบัน

Suzette เปิดให้บริการตั้งแต่เช้าตรู่ เราเป็นลูกค้าคู่แรกของร้าน เลือกนั่งบนโซฟาใหญ่มุมดีเห็นวิวทั้งในร้านและโซนที่นั่ง outdoor เราสั่งเมนูดังของร้าน เครป Galettes ที่ทำจากแป้ง Buckwheat คู่กับวอฟเฟิลนุเทลล่า เราสั่งอาหารด้วยภาษาไทย พนักงานรับออร์เดอร์แล้วก็ทำกันสดๆที่หน้าเตา Galettes กรอบอร่อย มีไข่ดาวอยู่ตรงกลางเหมือนกินอาหารเช้าแบบ American Breakfast วอฟเฟิลนุเทลล่าก็ดี เนื้อแป้งหนานุ่ม หอมนมเนย ความอร่อยเป็นอย่างที่คิดไว้ ไม่ผิดหวังเลย แถมบรรยากาศในร้านยังอบอุ่น และสะอาดสะอ้าน เราไม่มีเงินกีบเพราะหาที่แลกเงินไม่เจอ เลยจ่ายค่าอาหารด้วยเงินบาท รับเงินทอนเป็นเงินกีบ ถือเป็นการเปิดทริปเวียงจันทน์ที่ดีก่อนจะไปทำความรู้จักเมืองนี้กันต่อ (https://www.facebook.com/suzette.vientiane/)

พระธาตุหลวง ศูนย์รวมจิตใจของชาวลาว และเป็นที่แรกที่เราจะไปสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล ประวัติศาสตร์เล่าไว้ว่า พระธาตุหลวงถูกสร้างขึ้นพร้อมกับเมืองเวียงจันทน์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย จึงมีความสำคัญทางจิตใจกับชาวลาวผู้นับถือศาสนาพุทธ จนถูกนำไปเป็นตราประจำแผ่นดิน และภาพบนธนบัตรของประเทศ

เช้าวันเสาร์ ท้องฟ้าใส ตัดกับสีทองอร่ามของพระธาตุที่มีความสูงเกือบ 50 เมตร พื้นหญ้าเขียวขจียิ่งขับให้ความอลังการของพระธาตุยิ่งใหญ่ขึ้น หลังจากสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ด้านบน เราก็ใช้เวลาเดินชมบริเวณรอบๆ ที่จัดวางพระพุทธรูปแกะสลัก และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ก่อนจะมุ่งหน้าไปสู่สถานที่ถัดไป (ค่าเข้าคนละ 10,000 กีบ เปิด ปิด 8.00 – 17.00 น.)

ประตูชัย หรือชาวลาวเรียกว่า “ประตูไซ” มีความหมายตามชื่อว่าประตูแห่งชัยชนะ สร้างขึ้นประมาณ 60 ปีก่อน เพื่อระลึกถึงวีรชนผู้กอบกู้เอกราชจากการปกครองของประเทศฝรั่งเศส ประตูชัยสูงประมาณตึก 7 ชั้น คล้ายคลึงกับ Arc de Triomphe ของปารีส แต่ก็มีการแต่งเติมศิลปะแบบล้านช้างเข้าไป รวมถึงมีสัตว์ในความเชื่อของพุทธศาสนาเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ประตูชัยของ สปป. ลาว

หลังจากจอดรถที่ลานจอดใกล้ๆ เรามาหามุมถ่ายรูปกับประตูแห่งชัยชนะของเวียงจันทน์ ด้วยความสูงใหญ่ของประตูชัย ทำให้เราเหลือตัวนิดเดียว ต้องยอมตากแดดจ้าถึงจะได้ภาพเต็มตัว และเมื่อยืนมองไปรอบๆจึงรู้ว่าประตูชัยตั้งอยู่ลานกลางถนน และเป็นศูนย์กลางของหน่วยงานราชการในเมืองหลวง ถนนหนทางในบริเวณนี้จึงกว้างขวางและสะอาดสะอ้าน นี่ถ้าได้มาตอนกลางคืน ก็น่าจะสวยไปอีกแบบ เพราะจะมีการเปิดไฟ และน้ำพุ เสียดายที่ตอนนี้มีการปรับปรุงภาย เลยงดให้ขึ้นไปชมวิวสูงด้านบนค่ะ (เปิด ปิด 08.00 – 17.00 น.)


วัดสีสะเกด ตามแผนเที่ยว เราจะไม่มีเวลาเหลือมาชมวัดสีสะเกด แต่เพราะเช้าวันเสาร์เวียงจันทน์รถไม่ติด แหล่งท่องเที่ยวอยู่ไม่ห่างกัน เราเลยได้โบนัสมาชมวัดแห่งแรกของเวียงจันทน์ ที่จารึกไว้ว่ามีพระพุทธรูปแสนองค์ อ้างอิงมาจากหลักศิลาจารึกที่เขียนไว้ตรงประตูวัด วัดสีสะเกดสร้างด้วยสถาปัตยกรรมของล้านช้าง สวยงาม และสงบเงียบ ภายในอุโบสถมีภาพเขียนโบราณเก่าแก่ (ห้ามถ่ายรูป) บริเวณรอบๆยังมีพระพุทธรูปหลักหมื่นองค์ แต่ไม่ถึงหนึ่งแสน เพราะเวลาที่ล่วงเลยมานานเลยเหลืออยู่เพียงเท่านี้ (ค่าเข้าชมคนละ 30,000 กีบ เปิด ปิด 08.00 – 12.00 น. และ 13.00 – 17.00 น.)

หอพระแก้ว ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัดสีสะเกด เลยได้แถมอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว แต่เดิมหอพระแก้วเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว แต่ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัฑณ์ ให้เราเข้าไปชมโบราณวัตถุต่างๆ รวมถึงจำลองพระแก้วมรกต ที่เคยประดิษฐานอยู่ที่นี่ ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทย นอกจากด้านในพิพิธภัฑณ์แล้ว รอบๆหอพระแก้วยังมีสถาปัตยกรรมงดงาม และริมกำแพง ยังมีศิลปินแกะสลักไม้ ที่อ่อนช้อยสวยงาม พร้อมกับรูปภาพตามความเชื่อพุทธศนาที่วางขายอยู่ใกล้ๆกัน (ค่าเข้าชมคนละ 30,000 กีบ เปิด ปิด 08.00 – 17.00 น.)


Le Trio Coffee-Boutique Roaster เราใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเที่ยวชมเวียงจันทน์ และลุงก็มีงานด่วนเข้ามา เราเลยแวะมาจิบกาแฟที่ Le Trio Coffee หนึ่งในร้านดังของเวียงจันทน์ และให้ลุงได้ทำงาน ร้านนี้นำเมล็ดกาแฟของลาวจากเมืองปากซองมาคั่วหลายระดับ กลายเป็นจุดขายที่ดึงดูดคอกาแฟให้มาที่นี่ ใกล้ๆกันเป็นร้านขายอาหารสุขภาพ Coco & Co. มีน้ำผลไม้แอปเปิ้ลสกัดเย็น หวาน หอม สดชื่น เราสั่งมาดื่มพร้อมกับนั่งชมรถราและผู้คนที่ผ่านไปมาบนถนนที่พลุกพล่านของเวียงจันทน์ ใครมีเวลาและอยากลองเมล็ดกาแฟจากปากซอง แวะมาที่นี่ หรือจะซื้อฝากเพื่อนก็ได้ แล้วจะรู้ว่ากาแฟลาว ไม่ได้มีแค่ดาวคอฟฟี่ค่ะ (Rue Setthathirat เปิด ปิด 7.00 – 17.00 น. ปิดวันอาทิตย์)

เฝอแซ่บ หลังจากใช้เวลาไปอย่างคุ้มค่า แต่ก็ไม่รีบร้อน ก็ถึงเวลาของมื้อเที่ยงที่เราแวะมากินตอนบ่ายโมงที่ร้านดังเฝอแซ่บ สาขานี้ตั้งอยู่ในบ้านสูงสามชั้น จำนวนลูกค้าบางตาลง คงเพราะผ่านชั่วโมงเร่งด่วนไปแล้ว เฝอของชาวลาว ก็คือก๋วยเตี๋ยวค่ะ มี 2 ขนาด และมีเนื้อหลายประเภทให้เลือก เราสั่งถ้วยเล็กซึ่งก็ใหญ่แล้ว เสิร์ฟมาพร้อมกับผักสดหนึ่งจานใหญ่ และเครื่องปรุงพวงใหญ่บนโต๊ะ น้ำซุปกลมกล่อม เส้นก๋วยเตี๋ยวดี เรายังสั่งปอเปี้ยะทอด คล้ายๆของเวียดนาม กรอบอร่อย รสชาติดี เลยไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเป็นหนึ่งในร้านน่าแวะของเวียงจันทน์ กินเสร็จ ก็ถือเป็นการจบทริป 360 นาทีที่เวียงจันทน์ เพื่อมุ่งหน้าไปสู่วังเวียง จุดหมายของทริปนี้ (เฝอแซ่บมีอยู่ 3 สาขา เปิด Google map ค่าอาหารคนละ 30 – 70 บาท)