Day 1 : ฮัลโหลคิวชู สวัสดีฟุกุโอกะ

ถ้าแผนที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นรูปทรงของม้าน้ำ เกาะคิวชู (Kyushu) จะอยู่ตรงปลายหางพอดี เกาะนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น มีอากาศที่อุ่นกว่าหลายเมืองแต่ก็ยังเย็นสบายกว่าบ้านเรา เกาะคิวชูมีกลุ่มภูเขาไฟที่ยังครุกรุ่นพร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ และเมื่อมีภูเขาไฟ บ่อน้ำพุร้อนจึงตามมา คิวชูเลยกลายเป็นเมืองออนเซนสำคัญ และนั่นจึงทำให้เกาะนี้เป็นราชาแห่งธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบของญี่ปุ่นสำหรับเรา

Credit I Wikipedia

ฟุกุโอกะ (Fukuoka) เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของเกาะคิวชู เป็นศูนย์กลางการค้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีสนามบินนานาชาติและชุมทางรถไฟใหญ่ของชินคันเซน จึงเป็นจุดสตาร์ท สำรวจเกาะคิวชูนี้ได้เหมาะสมที่สุด

การบินไทยบินตรงสู่ฟุกุโอกะทุกวัน ตารางบินขาไปจะโหดหน่อย เครื่องบินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิประมาณตีหนึ่งถึงฟุกุโอกะแปดโมงเช้า ใช้เวลาบินประมาณ 5 ชั่วโมง ถ้าบวกลบเวลาเครื่องขึ้นและลง เราจะมีเวลางีบได้เพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนการเดินทางจากสนามบินฟุกุโอกะเข้าเมืองนั้นสะดวกสบายมาก นั่งแท็กซี่ในราคา 1,500-2,000 เยน ประมาณ 15 นาทีก็ถึงโรงแรมแล้ว จุดเรียกแท็กซี่ก็อยู่หน้าสนามบินเลย

Credit I Airportia

ย่านที่พักในฟุกุโอกะ นักท่องเที่ยวจะลังเลระหว่าง 2 ย่าน คือ ฮากะตะ (Hakata) และเทนจิน (Tenjin) ทริปนี้เราพักทั้ง 2 ย่านค่ะ คืนแรกอยู่ฮากะตะ และคืนสุดท้ายอยู่เทนจิน ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ฮากะตะจะเป็นสาวเรียบร้อยแต่ลุ่มลึก มีวัดเก่า ศาลเจ้า และมรดกทางวัฒนธรรม (แต่ก็มีช้อปปิ้งด้วยนะ) ส่วนเทนจินก็จะตรงกันข้าม เป็นสาวสังคมที่ชอบช้อปปิ้งเป็นชีวิตจิตใจ อารมณ์ของเทนจินก็จะประมาณชิบุย่าค่ะ

Miyako Hotel Hakata (https://global.miyakohotels.ne.jp/hakata/)

โรงแรมนี้อยู่ตรงข้ามกับสถานีฮากะตะ โลเคชั่นจึงได้ A+ ห้องพักมีขนาดใหญ่กว่าโรงแรมใจกลางเมืองทั่วไป วางกระเป๋าเดินทางใหญ่ 2 ใบได้ไม่อึดอัด เราจองห้องพักแบบเตียงคู่ ขนาดควีนไซส์เลยยิ่งกลิ้งตัวสบาย เครื่องหอมในห้องน้ำเป็นของ Harris Millers คุณภาพดีกลิ่นหอมติดตัว การบริการดี พนักงานใส่ใจ และมี Concierge ที่ช่วยจัดแจงจองร้านอาหาร เรียกแท็กซี่ให้ โรงแรมยังอยู่ใกล้บริเวณเมืองเก่า เดินสำรวจชมวัด ชมศาลเจ้า หรือจะเดินเลียบริมลำน้ำก็ใกล้ค่ะ (ห้องพัก Deluxe ราคาคืนละ 9,000 – 12,000 บาท)

Hakata Station

สถานีใหญ่ ชุมทางที่เชื่อมโยงการเดินทางของเกาะคิวชู ผู้คนพลุกพล่านตั้งแต่เช้าตรู่ เลยทำให้สถานีฮากะตะ กลายเป็นแห่งรวมร้านอาหาร เบเกอร์รี่ และร้านของฝาก ครบจบในที่เดียว ในนี้ยังมีห้างสรรพสินค้า และ Tokyu Hand อีกด้วย ส่วนร้านดังของสถานีฮากะตะก็ต้องเป็นร้านครัวซองค์สอดไส้ของ il Forno del Mignon ที่คิวยาวตลอดทั้งวัน เรารอประมาณ 10 นาที ก็ได้ครัวซองค์สอดไส้มาลองกัน 3 รสชาติ เราชอบไส้มันม่วงเพราะหวานลงตัว เก็บเอาไว้กินตอนเช้ากับกาแฟดำ อิ่มท้องไปได้อีกหนึ่งมื้อ

สำรวจฮากะตะ

เหล่าดอกไม้ที่เก็บซ่อนตัวในช่วงฤดูหนาว จะออกดอกผลิบานสวยสะพรั่งเมื่อแสงแดดและไออุ่นมาเยือน แต่ในเดือนมิถุนายนของทุกปี ต้องยกให้เป็นเวทีของดอกไฮเดรนเยียร์ค่ะ เราจะเห็นดอกไฮเดรนเยียร์หลากสี หลายไซส์บานสะพรั่งทั่วหล้า ชาวญี่ปุ่นเองก็คงจะดีใจเช่นกัน เลยจัดสวนดอกไม้ริมทางด้วยฝีมือขั้นเทพ และก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฟุกุโอกะจะได้รับการจัดอันดับจาก Monocle ให้เป็นเมืองน่าอยู่อันดับที่ 12 ของโลก

 

วัดโทโชจิ (Tochoji Temple)

วัดแรกของย่านฮากะตะที่เราเดินไปสำรวจ วัดนี้สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 806 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากวัดของประเทศจีน มีรูปปั้นของพระไดบุทสุไม้แกะสลักที่รู้จักกันในนามว่า The Great Buddha of Fukuoka ให้ประชาชนได้สักการะ น่าเสียดายที่เราไปช่วงเย็น วัดปิดไม่ได้เห็นพระไดบุทสุ แต่ก็ได้เดินดูบริเวณรอบๆวัดที่ยังมีเจดีย์ญี่ปุ่น สวนญี่ปุ่นสวยงามให้ชม

 

วัดริวกูจิ (Ryuguji Temple)

ใกล้ๆกัน ยังมีวัดขนาดเล็ก วัดริวกูจิ ที่มีตำนานเล่าว่า มีนางเงือกถูกฝังอยู่ใต้วัดแห่งนี้ ดังนั้นวัดริวกูจิจึงสร้างอยู่บนน้ำ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Ryogu มีความหมายว่าเมืองใต้น้ำในภาษาญี่ปุ่น

 

ศาลเจ้าคูชิดะ (Kushida Shrine)

ศาลเจ้าสำคัญที่จัดงานเทศกาลประจำปีใหญ่ที่สุดของฟุกุโอกะ “ฮากาตะ กิออน ยามาคาสะ” (Hakata Gion Yamakasa) ศาลเจ้าคูชิดะเป็นศาลเจ้าชินโต สร้างมาแล้วกว่าพันปี มีเทพเจ้าแห่งท้องทะเล และเทพธิดาแห่งดวงอาทิตย์ ผู้คนจึงมาสักการะ กราบไหว้ขอพรเรื่องความเจริญรุ่งเรืองและอายุที่ยืนยาว หลังจากชำระล้างตัวตนและจิตใจให้ผ่องใส ก็จะเจอกับนกกระเรียนและบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าน้ำในบ่อที่ผุดขึ้นเองตามธรรมชาติจะช่วยให้มีสุขภาพที่แข็งแรง อีกทั้งยังป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้อีกด้วย ในช่วงฤดูร้อนศาลเจ้าคูชิดะมีมุมดอกไม้อยู่ทั่วศาลเจ้า หลังจากสักการะเสร็จ ก็แวะมาถ่ายรูปสวยๆกันต่อได้ค่ะ

 

เดินเล่นริมคลอง ชมพระอาทิตย์ตกดิน

ย่ำค่ำตามแนวแม่น้ำของเมืองฟุกุโอกะจะเปิดเป็นร้านอาหารแผงลอยที่เรียกว่ายะไต (Yatai) และเป็นหนึ่งในกิจกรรมแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว อาหารที่ขายมีทั้งปิ้งและย่าง ของทะเลสดๆก็มีให้เลือกหลายร้าน นักท่องเที่ยวที่มากินสนุกสนานกับการเลือกร้าน และถ้าได้นั่งแล้ว ส่วนใหญ่ก็สั่งอาหารมาจิบคู่กับเบียร์ญี่ปุ่น

 

Canal City Hakata

ศูนย์การค้าสำคัญของย่านฮากะตะ อยู่ใกล้ๆกับลำคลองที่เราเพิ่งเดินผ่านยะไต หรือแผงลอยอาหารมาหยกๆ ศูนย์การค้าแห่งนี้สร้างให้มีลำคลองไหลผ่านกลางจึงเป็นที่มาของชื่อศูนย์ ข้างลำคลองจะมีลานอเนกประสงค์ไว้ทำกิจกรรม และการแสดงแสง สี เสียงของน้ำพุ ที่ครอบครัวชาวญี่ปุ่นจูงลูกพาหลานมานั่งชม เราเดินดูร้านต่างๆภายใน Canal City และก็ได้ของติดไม้ติดมือจาก Muji Onisuka Tiger และแบรนด์ญี่ปุ่นด้วย ส่วนหลานชายได้ของฝากจาก Bandai Namco Cross Store ร้านขายของเล่นที่มีทั้งโปเกม่อน มาริโอ้ และทามาก๊อตจิ

ดินเนอร์คืนนี้ เราก็ได้กิน Hakata Ramen หรือราเม็งในซุปกระดูกหมู กับเกี้ยวซ่าชิ้นพอดีคำ เมนูดังของฟุกุโอกะที่ Ramen Stadium แหล่งรวมร้านราเมนประมาณ 7-8 ร้านที่ตั้งอยู่บนชั้น 5 ของ Canal City เราเลือกร้าน Hidechan & Co เพราะเห็นลายเซ็นของคนมีชื่อเสียงติดเต็มร้าน และก็อร่อยไม่ผิดหวังเลยค่ะ … ถือเป็นการทำความรู้จักย่านฮากะตะของ Fukuoka ของวันแรก