Day 2 : Nanzoin Temple – Dazaifu Tenmangu – Yufuin Town

วันนี้เราจะขับรถจากฟุกุโอกะเที่ยวเกาะคิวชู เราเช่ารถกับ Orix ซึ่งเป็นบริษัทร่วมกับ Sixt Car Rental และรถที่ลุงเลือกสำหรับทริปนี้ก็คือ Toyota Prius ไฮบริดรุ่นล่าสุด ในราคาค่าเช่ารวมประกันชั้นหนึ่ง ตกวันละ 3,500 บาท จุดรับรถเช่าอยู่ใกลักับสถานีฮากะตะและโรงแรมที่พัก

ก่อนขับรถในต่างประเทศทุกครั้ง เราจะทำความรู้จักกับกฎหมายการขับรถในประเทศนั้นก่อน และเมื่อได้รถเช่ามา เราก็จะสร้างความคุ้นเคยกับรถ เช่น ปรับกระจก ทดลองเกียร์ ดูไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟฉุกเฉิน และที่สำคัญ ต้องตั้งเนวิเกเตอร์ให้เป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็ลองค้นหาจุดหมายปลายทางที่จะไป ซึ่งเนวิเกเตอร์ของรถคันนี้ หาจุดหมายได้จากชื่อสถานที่ เบอร์โทรศัพท์ และ map code ซึ่งสะดวกและแม่นยำมาก และที่ญี่ปุ่นจะมีค่าทางด่วน ETC ซึ่งขอเพิ่ม option นี้ได้ตอนที่เช่ารถ ค่าใช้ทางด่วนตลอดทริปอยู่ประมาณ 8,000 บาท ชำระเงินตอนนำรถมาคืนที่จุดจอดใกล้กับสนามบิน ส่วนค่าน้ำมันอยู่ที่ 1,000 บาทเท่านั้น รถคันนี้กินน้ำมันน้อยมาก เพราะเป็นระบบไฮบริด

วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple)

หนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงของฟุกุโอกะ เป็นที่ประดิษฐานพระนอนองค์ใหญ่ที่สุดของโลกซึ่งอยู่ห่างจากฟุกุโอกะประมาณ 20 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ30-40 นาที

เราจอดรถที่ลานจอดด้านหน้าของวัด ค่าจอดประมาณ 400 เยนต่อชั่วโมง ตั๋วจอดรถซื้อได้ที่เครื่องจ่ายด้านหน้า และนำตั๋วไปวางไว้หน้ากระจกรถ เพื่อแจ้งคนเฝ้าว่าเราจ่ายค่าที่จอดรถแล้ว จากนั้นก็เดินตามคนญี่ปุ่นเข้าไปในวัด ทางขึ้นไปยังพระนอนจะอยู่ทางขวามือ ให้สังเกตองค์พระสังกัจจายน์ที่คนมาลูบท้องขอพรให้ร่ำรวย เดินขึ้นบันไดตรงนี้ผ่านทางลาดขึ้นเขาไปอีกสัก 500 เมตรก็จะถึงค่ะ

พระพุทธสัมฤทธิ์องค์นี้มีใบหน้าแจ่มใส ท่านนอนหลับอย่างมีความสุขและสงบ ห้อมล้อมด้วยธรราชาติทั้งหน้าและหลัง ว่ากันว่าท่านเป็นพระนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเทียบเท่ากับเทพีเสรีภาพของสหรัฐอเมริกา

ตอนสักการะให้เราจับผ้าหลากสีที่โยงมาจากตัวของท่าน และขอพร คนส่วนใหญ่จะขอพรให้ร่ำรวย หรือให้โชคดีจากการเสี่ยงโชค เพราะมีเรื่องเล่ากันว่า เจ้าอาวาสของวัดถูกล๊อตเตอร์รี่หนึ่งร้อยล้ายเยนหลังจากมาขอพรจากท่าน

จากนั้นให้เดินไปที่ปลายเท้าของพระพุทธรูป ฝ่าเท้าจะมีลายสลักด้วยทอง สื่อถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า คนญี่ปุ่นจะวางเหรียญบนลายสลัก เพื่อความโชคดี เช่นเดียวลุงที่ทำมือให้นิ่งวางเหรียญลงบนตัวปลา ถือเป็นการขอพรให้เดินทางปลอดภัย สำหรับ Road Trip สำรวจเกาะคิวชูของเราในทริปนี้

 

ศาลเจ้าดาไซฟุ (Dazaifu Tenmangu)

ถัดจากวัดพระนอน เราก็มุ่งหน้าต่อไปยังเมืองดาไซฟุ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าดาไซฟุที่โด่งดัง ศาลเจ้าดาไซฟุ อยู่ห่างจากวัดพระนอนประมาณ 20 กิโลเมตร ขับรถประมาณ 30-40 นาที ก็มาถึงถนนหน้าศาลเจ้า ซึ่งมีลานจอดรถเปิดบริการอยู่หลายแห่ง เลือกจอดได้ตามใจชอบ ส่วนเรามักเลือกลานจอดที่มีพนักงานดูแล จะได้ไม่ต้องเสียเวลายืนงงกับเครื่องซื้อตั๋ว ค่าที่จอดแต่ละลานก็ใกล้เคียงกันทุกที่ 400-500 เยนค่ะ

จากนั้นก็เดินไปตามถนนซันโด หรือถนนคนเดินที่มุ่งหน้าไปสู่ศาลเจ้าดาไซฟุ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของและขนมชื่อดังที่เป็นเอกลักษณ์ ต้องลองของเมืองนี้ ก็คือขนมโมจิย่างไส้ถั่วแดง ที่มีขายอยู่หลายร้าน เลือกได้ตามใจชอบ หรือจะรอคิวของร้านดังก็ได้ค่ะ


ขนมโมจิย่าง ที่แป้งจะกรอบบางด้านนอก ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว คงจะฟินกว่านี้โข


ข้าวหน้าไข่กุ้ง อีกร้านที่หนุ่มสาวต่อคิวกัน

นอกจากขนมโมจิย่าง อีกจุดถ่ายรูปสำคัญ ก็ร้านกาแฟ Starbucks สาขาดาไซฟุ ที่ตกแต่งร้านด้วยคอนเซ็ปต์คิกุมิของญี่ปุ่น คือการสร้างจากไม้ธรรมชาติ โดยไม่ใช้ตะปู แต่เป็นการบากหรือขัดกันจนเกิดเป็นโครงสร้างสวยงาม สถาปนิกที่ออกแบบมีนามว่าคุมะ เคนโกะ เป็นนักออกแบบที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของญี่ปุ่น

ภายในวัด มีผู้คนมากราบไหว้มากมาย วัดเองก็มีขนาดใหญ่กว้างขวาง จุดแรกที่ชาวญี่ปุ่นจะรอคิว เป็นจุดของรูปปั้นวัว ซึ่งเชื่อกันว่าลูบตรงส่วนไหน ก็จะหายป่วยตรงส่วนนั้น หรือถ้าลูบตรงศรีษะก็จะทำให้ฉลาดขึ้นทั้งการเรียนและการงาน เราไม่ได้ยืนรอคิว แต่ก็ได้ลูบหัวและตัวของวัวตัวเล็กๆอีกตัวที่อยู่ด้านในของศาลเจ้า ถือเป็นการขอโชคเช่นเดียวกัน

จากนั้นเราจะผ่านสะพานไทโคบาชิ สะพานญี่ปุ่นสีแดงที่ข้ามบ่อน้ำขนาดใหญ่ สะพานแห่งนี้เป็นเหมือนตัวแทนของอดีต ปัจจุบันและอนาคต ที่ทอดยาวก่อนจะนำมาสู่ศาลเจ้า ซึ่งมีเทพเจ้าซุกาวาระ โนะมิจิซนนะ หรือเทพเจ้าเท็นจิน นักวิชาการ นักเขียน และนักการเมืองที่มีชื่อเสียงในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพรที่คนญี่ปุ่นจะมาขอที่ศาลเจ้าแห่งนี้จึงเป็นเรื่องของการเรียน และการศึกษา เช่นเดียวกับเรา ที่ตั้งใจมาขอพรแทนหลานสาวที่เพิ่งสอบไล่เสร็จและจะรู้ผลในอีก 2 เดือนข้างหน้านี้ … สาธุ

เราใช้เวลาเดินชมอยู่บริเวณศาลเจ้าดาไซฟุกันประมาณหนึ่งชั่วโมง ภายในวัดร่มรื่นและสวยงามด้วยดอกไฮเดรนเยียร์ที่บานสะพรั่งในช่วงเดือนมิถุนายน สมกับเป็นศาลเจ้าให้พักใจ

ไดซาฟุเป็นจุดหมายที่อยู่นอกแผนของทริป แต่เมื่อเวลาหลวมๆและผ่านมาแล้ว การได้แวะชมถือเป็นกำไรของเราค่ะ

 

ยูฟูอิน (Yufuin Town)

เรามาถึงยูฟูอินกันประมาณบ่ายโมงครึ่ง ใช้เวลาขับรถจากศาลเจ้าดาไซฟุประมาณ 1.30 ชั่วโมง ระยะทาง 107 กิโลเมตร ยูฟุอินตั้งอยู่ที่จังหวัดโออิตะ (Oita) มีภูเขายูฟุเป็นพื้นหลัง

ยูฟุอินเป็นเมืองบนเขา สูงจากระดับทะเล 400 เมตร อากาศเมืองนี้จึงเย็นสบายกว่าในเมือง แค่หลบไปอยู่ในร่ม ลมก็พัดเย็นสบายแล้ว ที่สำคัญทิวทัศน์สองข้างทางตอนขับรถเข้าและออกเมือง จะวิ่งผ่านแนวเขาสูงสลับสับหว่างกัน ภาพตรงหน้าสวยงามเกินบรรยาย ถ้าใครมาก็อย่าเผลอหลับเลยเดี๋ยวจะพลาดวิวสวยๆไป

Yunotsubo Street ถนนคนเดินยูโนะสึโบะ ทอดยาวจากสถานียูฟุอิน ไปจนถึงทะเลสาบคินริน (Kinrin Lake) ตลอดความยาว 700 เมตรนี้ สองข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขนม เราแวะกินข้าวกลางวันที่ร้านนี้ หลังจากผิดหวังเพราะคิวของร้านเนื้อชื่อดังยาวมากๆ แม้จะเลยช่วงเวลาอาหารเที่ยงไปแล้วก็ตาม

Bspeak (http://b-speak.net/sp/en/) จากนั้นเราแวะร้านโรลเค้กชื่อดังของเมือง Bspeak ที่เปิดมากว่ายี่สิบปีแต่ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ โรลเค้กมี 2 รสชาติ เราซื้อรสคลาสสิก P-roll Plain ในราคาก้อนละ 1,620 เยน และก็เปิดกินกันที่ใต้ต้นไม้หน้าร้าน เนื้อเค้กคล้ายกับเค้กไข่ มีกลิ่นหอม นุ่ม และเบา ไส้ครีมมีรสหวานอ่อนๆ ตามสไตล์ขนมหวานญี่ปุ่น โรลเค้กเก็บได้แค่ 1 วัน เลยกินกับลุงไปเกือบครึ่งก้อน แต่เช้าวันถันมาก็กินต่อจนเกือบหมดทั้งโรล … ไม่เป็นไร วันนี้เดินเกินหมื่นก้าว ยังไงน้ำหนักก็ไม่ขึ้น เราเชื่ออย่างนั้น

บรรยากาศของถนนคนเดินในช่วงฤดูร้อนที่แดดจ้า ฟ้าใส ต้นไม้ ใบหญ้าบานรับไออุ่น

ร้านรวงดังๆบนถนนคนเดิน เช่น Studio Ghilbli 

ร้านขายของคนรักหมา

 

Yufuin Floral Village หมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งอยู่ปลายถนนคนเดิน สร้างด้วยคอนเซ็ปต์ของหมู่บ้าน Cotswolds ในชนบทของอังกฤษ มีมุมน่ารักน่าถ่ายรูปเยอะแยะ ร้านขายของก็เต็มไปด้วยสินค้าน่ารักของตัวการ์ตูนที่สร้างรอยยิ้มให้เราผ่านหนังสือและทีวี เราใช้เวลาเดินเล่นในนี้ไม่นานเท่าไหร่ เพราะบริเวณของหมู่บ้านค่อนข้างเล็กค่ะ

 

Miffy Shop ตั้งอยู่ใกล้ๆกับ Yufuin Floral Village มีขายสินค้า และเบเกอร์รี่ของกระต่าย Miffy

 

Snoopy Village ถัดจาก Miffy Shop ก็เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านสนูปปี้ ที่มีทั้งร้านขายช้อกโกแล็ต ร้านอาหาร และคาเฟ่ ให้เดินซื้อของ และกินขนม

 

ทะเลสาบคินริน (Kinrin Lake) ตั้งอยู่ปลายสุดของถนนคนเดิน เป็นทะเลสาบขนาดเล็ก แต่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม ร่มรื่นและสงบ ทะเลสาบคินรินมีความหมายว่า “เกล็ดปลาทองคำ” ได้ชื่อนี้เพราะแสงพระอาทิตย์ที่ตกกระทบน้ำเป็นประกายสีทองคล้ายกับเกล็ดปลา เราเดินเล่นรอบๆทะเลสาบ ดูปลา ดูต้นไม้ และดูวิวสะท้อนในน้ำ แล้วก็สูดหายใจเข้ายาวๆ

นี่ถ้าเราเป็นชาวเมืองยูฟุอิน เราคงจะมีความสุขมาก เพราะเมืองมีร้านขายของน่ารัก มีแหล่งออนเซ็นระดับห้าดาว และยังมีธรรมชาติที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมให้ชมได้ทุกวันอีก … ถือเป็นการปิดการเดินทางของวันที่ 2 อย่างงดงาม วันพรุ่งนี้เราจะพาไปทัวร์เบ็ปปุ (Beppu) และชมโรงแรมที่อาร์ตได้ถูกใจเรากันต่อค่ะ