Road Trip วันสุดท้ายเป็นวันที่เราตั้งตารอคอยมากที่สุด เพราะจะได้เห็นวิวทิวทัศน์ของกลุ่มภูเขาไฟอะโซะ (Aso Mountain) ที่เลื่องลือไกลว่าสวยงามดังวิวของนิวซีแลนด์ ก่อนจะต่อด้วยเดินชมหุบเขา Takachiho Gorge ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นในช่วงบ่ายที่หมู่บ้านเล็กๆของเมืองมิยาซากิ
เส้นทางขับรถจากเรียวกังที่เราเข้าพักไปยังภูเขาไฟอะโซะนั้น ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ก่อนจะต่อไปยัง Takachiho Gorge ซึ่งเราจะพักค้างหนึ่งคืนที่เมืองเล็กๆแห่งนี้ ก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปช้อปปิ้งที่ฟุกุโอกะในวันรุ่งขึ้น
กลุ่มภูเขาไฟอะโซะ ตั้งอยู่ตรงกลางของเกาะคิวชู ที่ตั้งคล้ายกับไข่แดงของเกาะ เป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นและพร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ ว่ากันว่ากลุ่มภูเขาไฟอะโซะนั้นมีขนาดใหญ่และสูงที่สุดของโลก อากาศบริเวณนี้เลยเย็นกว่าเมืองใหญ่บนพื้นราบ อาณาบริเวณของกลุ่มภูเขาไฟครอบคลุมเกือบร้อยกิโลเมตรของจังหวัดคุมาโมโต้ ทำให้ช่วงเวลาที่ขับรถอยู่ในบริเวณของกลุ่มภูเขาไฟ ทิวทัศน์สองข้างทางจึงเป็นเทือกเขาสูงต่ำ สลับลดหลั่นสวยงามมาก ในช่วงฤดูร้อน ความชุ่มฉ่ำของพื้นดินและมวลอากาศทำให้พื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี เหมือนปูพรมสีเขียวไปทั่วทุกหัวระแหง แต่ในช่วงฤดูหนาวยอดเขาจะปกคลุมด้วยหิมะ แห้งแล้ง แต่ก็สวยไปอีกแบบ เส้นทางขับรถนี้จึงเปลี่ยนภาพไปตาม 4 ฤดู และเป็นเส้นทางขับรถที่สวยที่สุดเส้นหนึ่งที่อยากแนะนำให้มาลองขับกัน
ถนนสองเลน รถน้อย และสภาพถนนดี
จอดรถชมวิว และถ่ายรูปตามไหล่ทาง
จุดชมวิวไดคันโบะ (Daikanbo)
หลังจากขับรถมาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงจุดแรก ซึ่งก็คือจุดชมวิวไดคันโบะ (Daikanbo) เราจอดรถตรงลานจอด และเดินเท้าต่ออีก 300-500 เมตร ก็จะถึงจุดชมวิวที่ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ วันนี้ลมแรง เมฆหนา ฝนปรอย และมีหมอกเป็นช่วงๆ ทำให้วิสัยทัศน์ต่ำ มองวิวกลุ่มภูเขาไฟไม่ชัด แต่ก็เห็นภาพของเมืองอะโซะที่อยู่ในหุบเขาชัดเจน
ก่อนกลับแนะนำให้ลองชิมไอศรีมพุดดิ้งที่ขายในร้าน ด้านบนท๊อปด้วยซอฟท์เสิร์ฟวนิลา ข้างล่างเป็นพุดดิ้ง ทั้งครีมมี่และหวานฉ่ำ ถูกใจลุงเค้าหล่ะ และอย่าลืมเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยเพราะทางหลังจากนี้จะเป็นแนวเขาไปยาวๆ จนกว่าเราจะถึงจุดชมวิวที่สองค่ะ
จุดชมวิวทุ่งหญ้าคุซะเซนริ (Kusasenri) และปากปล่องภูเขาไฟ
จุดชมวิวคุซะเซนริ เป็นจุดชมวิวยอดนิยม รถแทบทุกคันต้องแวะที่นี่ บริเวณนี้จึงคล้ายกับ Rest Area มีลานจอดรถขนาดใหญ่ เสียค่าจอดคันละ 400-500 เยน และยังมีพิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอะโซะให้เข้าชม ร้านอาหารอร่อย ร้านขายของที่ระลึก และคาเฟ่ดังที่คอกาแฟต้องแวะมาเจิมด้วย
ที่จุดชมวิวคุซะเซนริ จะมีบริเวณพื้นราบ ซึ่งก็คือที่ราบระหว่างปล่องภูเขาไฟ ในช่วงฤดูร้อน พื้นราบนี้จะกลายเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว พร้อมกับแอ่งน้ำ เป็นความสมบูรณ์ตามธรรมชาติจากดินภูเขาไฟที่ประกอบไปด้วยแร่ธาตุสำคัญ เราเดินเล่นชมวิวบริเวณทุ่งหญ้า อากาศเย็นสบาย ดูครอบครัวชาวญี่ปุ่นวิ่งเล่นกันสนุกสนาน และนักท่องเที่ยวจีนที่เลือกขี่ม้าชมวิวค่ะ
จากพื้นราบเราก็เดินต่อไปยังเนินเขาทางซ้ายมือ บนเนินเราจะเห็นปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะ (Nakadake) หนึ่งในห้าปล่องภูเขาไฟที่ยังพ่นควันพวยพุ่งอยู่ทุกวัน ระยะทางระหว่างเนินเขา ถึงปากปล่องก็ประมาณ 3-4 กิโลเมตร บางคนขับรถขึ้นไปชมปากปล่องในระยะใกล้ แต่เราเลือกชมจากจุดนี้ เพราะต้องระวังเรื่องภูมิแพ้จากกลิ่นของกำมะถันค่ะ (เช็คความปลอดภัยของปล่องภูเขาไฟได้ที่ www.aso-volcano.jp/eng/)
Kusasenri Coffee Roastery
คาเฟ่ดังของจุดชมวิวคุซะเซนริ ที่มีคิวยาวแม้ในวันธรราดา เมล็ดกาแฟมีให้เลือกหลายชนิด กรรมวิธีก็มีหลายอย่าง ใครถูกใจก็ซื้อกลับไปทำที่บ้านเองได้ มีร้านขายของที่ระลึกอยู่ข้างๆร้าน และหลังจากได้กาแฟแล้ว คอกแฟส่วนใหญ่ก็จะนั่งปล่อยอารมร์ณกันทั้งด้านในร้าน และนอกร้านที่แต่งสไตล์มินิมัล ดิบ ขาว และธรรมชาติ ส่วนเราถือแก้วไปเดินเล่นด้วยกันที่ทุ่งหญ้าคุซะเซนริ ให้ไออุ่นของลาเต้ร้อนรสกลมกล่อม ช่วยลดความหนาวเย็นของร่างกาย
ภาพของหุบเขาน้ำใส ที่มีเรือพายจิ๋วลอยล่องไปมา กลายเป็นภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของหุบเขาทะคะจิโฮะ และถูกส่งต่อ แชร์อีกนับไม่ถ้วน จึงทำให้เมืองเล็กๆทะคะจิโฮะ ของจังหวัดมิยาซากิ กลายเป็นที่รู้จัก และเป็นจุดหมายในลิสต์ของหลายคนรวมทั้งเราด้วย
จากจุดชมวิวคุซะเซนริ เราขับรถประมาณสองชั่วโมง ก็มาถึงหมู่บ้านทะคะจิโฮะ เราจอดรถที่ลานด้านหน้าของจุดเช่าเรือพาย โชคดีที่เหลือที่ว่างคันสุดท้ายพอดี เราไม่ได้คิดจะพายเรือเลยไม่ได้จองมาก่อน แต่ก็ลองเสี่ยงโชคเข้าไปถาม และก็เต็มอย่างที่ทุกคนบอก ดังนั้นถ้าใครอยากจะพายเรือ ควรจองล่วงหน้าค่ะ
หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho Gorge) เกิดจากการระเบิดของกลุ่มภูเขาไฟอะโสะ ลาวาที่ไหลผ่านกัดเซาะหินแกร่งจนเกิดเป็นธารหุบเขาที่สวยแปลกตา ความสูงของหน้าผาเฉลี่ย 80 เมตร ทอดตัวเป็นแนวยาวถึง 7 กิโลเมตร แม่น้ำที่ไหลผ่านหุบเขา ชื่อแม่น้ำโกคัสเซะ (Gokasse) และมีน้ำตกมะนะอิโนทาคิ (Manainotaki) ที่ตกจากหน้าผาสูง ทำให้องค์ประกอบของภาพนั้นสวยงามจริงๆ
กิจกรรมเอกของหุบเขาทะคะจิโฮะ ก็คือการพายเรือสีฟ้าในแม่น้ำ
เราเลือกสำรวจหุบเขาทะคะจิโฮะด้วยการเดินค่ะ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ผ่านบ่อน้ำ สวนไผ่ หินศักดิ์สิทธิ์ สะพานไขว้
วันถัดไปเรายังแวะไปยังศาลเจ้าทาคาชิโฮ (Takachiho Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่หนุ่มสาวมักมาขอพรในเรื่องคู่ครอง สนคู่นี้มีรากเดียวกัน แต่แตกออกเป็นสองต้น สะท้อนถึงความรักของคู่รักที่อยู่ด้วยกันยืนยงค่ะ
โซเลสต์ ทากาชิโฮะ โฮเทล (SOLEST TAKACHIHO HOTEL) คืนละ 6,000 – 8,000 บาท
คืนนี้เราพักกันที่โรงแรมในเมืองทะคะจิโฮะ เป็นโรงแรมบิสิเนสตามมาตราฐานของญี่ปุ่น สะอาดสะอ้าน บริการดี มีพนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ ห้องพักมีขนาดเล็กหน่อย แต่บริเวณโรงแรมใหญ่ แถมยังตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินไปซื้อของที่ซูเปอร์ หรือศาลเจ้าทะคะจิโฮะก็ใกล้ค่ะ
3 Jul 2024
0 Comments
Day 4 : Aso Mountains – Takachiho Gorge
Road Trip วันสุดท้ายเป็นวันที่เราตั้งตารอคอยมากที่สุด เพราะจะได้เห็นวิวทิวทัศน์ของกลุ่มภูเขาไฟอะโซะ (Aso Mountain) ที่เลื่องลือไกลว่าสวยงามดังวิวของนิวซีแลนด์ ก่อนจะต่อด้วยเดินชมหุบเขา Takachiho Gorge ที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นในช่วงบ่ายที่หมู่บ้านเล็กๆของเมืองมิยาซากิ
เส้นทางขับรถจากเรียวกังที่เราเข้าพักไปยังภูเขาไฟอะโซะนั้น ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ก่อนจะต่อไปยัง Takachiho Gorge ซึ่งเราจะพักค้างหนึ่งคืนที่เมืองเล็กๆแห่งนี้ ก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปช้อปปิ้งที่ฟุกุโอกะในวันรุ่งขึ้น
กลุ่มภูเขาไฟอะโซะ Aso Mountains (www.aso-volcano.jp/eng/)
กลุ่มภูเขาไฟอะโซะ ตั้งอยู่ตรงกลางของเกาะคิวชู ที่ตั้งคล้ายกับไข่แดงของเกาะ เป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นและพร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ ว่ากันว่ากลุ่มภูเขาไฟอะโซะนั้นมีขนาดใหญ่และสูงที่สุดของโลก อากาศบริเวณนี้เลยเย็นกว่าเมืองใหญ่บนพื้นราบ อาณาบริเวณของกลุ่มภูเขาไฟครอบคลุมเกือบร้อยกิโลเมตรของจังหวัดคุมาโมโต้ ทำให้ช่วงเวลาที่ขับรถอยู่ในบริเวณของกลุ่มภูเขาไฟ ทิวทัศน์สองข้างทางจึงเป็นเทือกเขาสูงต่ำ สลับลดหลั่นสวยงามมาก ในช่วงฤดูร้อน ความชุ่มฉ่ำของพื้นดินและมวลอากาศทำให้พื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี เหมือนปูพรมสีเขียวไปทั่วทุกหัวระแหง แต่ในช่วงฤดูหนาวยอดเขาจะปกคลุมด้วยหิมะ แห้งแล้ง แต่ก็สวยไปอีกแบบ เส้นทางขับรถนี้จึงเปลี่ยนภาพไปตาม 4 ฤดู และเป็นเส้นทางขับรถที่สวยที่สุดเส้นหนึ่งที่อยากแนะนำให้มาลองขับกัน
ถนนสองเลน รถน้อย และสภาพถนนดี
จอดรถชมวิว และถ่ายรูปตามไหล่ทาง
จุดชมวิวไดคันโบะ (Daikanbo)
หลังจากขับรถมาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงจุดแรก ซึ่งก็คือจุดชมวิวไดคันโบะ (Daikanbo) เราจอดรถตรงลานจอด และเดินเท้าต่ออีก 300-500 เมตร ก็จะถึงจุดชมวิวที่ทุกคนมารวมตัวกันตรงนี้ วันนี้ลมแรง เมฆหนา ฝนปรอย และมีหมอกเป็นช่วงๆ ทำให้วิสัยทัศน์ต่ำ มองวิวกลุ่มภูเขาไฟไม่ชัด แต่ก็เห็นภาพของเมืองอะโซะที่อยู่ในหุบเขาชัดเจน
ก่อนกลับแนะนำให้ลองชิมไอศรีมพุดดิ้งที่ขายในร้าน ด้านบนท๊อปด้วยซอฟท์เสิร์ฟวนิลา ข้างล่างเป็นพุดดิ้ง ทั้งครีมมี่และหวานฉ่ำ ถูกใจลุงเค้าหล่ะ และอย่าลืมเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยเพราะทางหลังจากนี้จะเป็นแนวเขาไปยาวๆ จนกว่าเราจะถึงจุดชมวิวที่สองค่ะ
จุดชมวิวทุ่งหญ้าคุซะเซนริ (Kusasenri) และปากปล่องภูเขาไฟ
จุดชมวิวคุซะเซนริ เป็นจุดชมวิวยอดนิยม รถแทบทุกคันต้องแวะที่นี่ บริเวณนี้จึงคล้ายกับ Rest Area มีลานจอดรถขนาดใหญ่ เสียค่าจอดคันละ 400-500 เยน และยังมีพิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอะโซะให้เข้าชม ร้านอาหารอร่อย ร้านขายของที่ระลึก และคาเฟ่ดังที่คอกาแฟต้องแวะมาเจิมด้วย
ที่จุดชมวิวคุซะเซนริ จะมีบริเวณพื้นราบ ซึ่งก็คือที่ราบระหว่างปล่องภูเขาไฟ ในช่วงฤดูร้อน พื้นราบนี้จะกลายเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว พร้อมกับแอ่งน้ำ เป็นความสมบูรณ์ตามธรรมชาติจากดินภูเขาไฟที่ประกอบไปด้วยแร่ธาตุสำคัญ เราเดินเล่นชมวิวบริเวณทุ่งหญ้า อากาศเย็นสบาย ดูครอบครัวชาวญี่ปุ่นวิ่งเล่นกันสนุกสนาน และนักท่องเที่ยวจีนที่เลือกขี่ม้าชมวิวค่ะ
จากพื้นราบเราก็เดินต่อไปยังเนินเขาทางซ้ายมือ บนเนินเราจะเห็นปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะ (Nakadake) หนึ่งในห้าปล่องภูเขาไฟที่ยังพ่นควันพวยพุ่งอยู่ทุกวัน ระยะทางระหว่างเนินเขา ถึงปากปล่องก็ประมาณ 3-4 กิโลเมตร บางคนขับรถขึ้นไปชมปากปล่องในระยะใกล้ แต่เราเลือกชมจากจุดนี้ เพราะต้องระวังเรื่องภูมิแพ้จากกลิ่นของกำมะถันค่ะ (เช็คความปลอดภัยของปล่องภูเขาไฟได้ที่ www.aso-volcano.jp/eng/)
Kusasenri Coffee Roastery
คาเฟ่ดังของจุดชมวิวคุซะเซนริ ที่มีคิวยาวแม้ในวันธรราดา เมล็ดกาแฟมีให้เลือกหลายชนิด กรรมวิธีก็มีหลายอย่าง ใครถูกใจก็ซื้อกลับไปทำที่บ้านเองได้ มีร้านขายของที่ระลึกอยู่ข้างๆร้าน และหลังจากได้กาแฟแล้ว คอกแฟส่วนใหญ่ก็จะนั่งปล่อยอารมร์ณกันทั้งด้านในร้าน และนอกร้านที่แต่งสไตล์มินิมัล ดิบ ขาว และธรรมชาติ ส่วนเราถือแก้วไปเดินเล่นด้วยกันที่ทุ่งหญ้าคุซะเซนริ ให้ไออุ่นของลาเต้ร้อนรสกลมกล่อม ช่วยลดความหนาวเย็นของร่างกาย
หุบเขาทะคะจิโฮะ Takachiho Gorge (https://takachiho-kanko.info/en/)
ภาพของหุบเขาน้ำใส ที่มีเรือพายจิ๋วลอยล่องไปมา กลายเป็นภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของหุบเขาทะคะจิโฮะ และถูกส่งต่อ แชร์อีกนับไม่ถ้วน จึงทำให้เมืองเล็กๆทะคะจิโฮะ ของจังหวัดมิยาซากิ กลายเป็นที่รู้จัก และเป็นจุดหมายในลิสต์ของหลายคนรวมทั้งเราด้วย
จากจุดชมวิวคุซะเซนริ เราขับรถประมาณสองชั่วโมง ก็มาถึงหมู่บ้านทะคะจิโฮะ เราจอดรถที่ลานด้านหน้าของจุดเช่าเรือพาย โชคดีที่เหลือที่ว่างคันสุดท้ายพอดี เราไม่ได้คิดจะพายเรือเลยไม่ได้จองมาก่อน แต่ก็ลองเสี่ยงโชคเข้าไปถาม และก็เต็มอย่างที่ทุกคนบอก ดังนั้นถ้าใครอยากจะพายเรือ ควรจองล่วงหน้าค่ะ
หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho Gorge) เกิดจากการระเบิดของกลุ่มภูเขาไฟอะโสะ ลาวาที่ไหลผ่านกัดเซาะหินแกร่งจนเกิดเป็นธารหุบเขาที่สวยแปลกตา ความสูงของหน้าผาเฉลี่ย 80 เมตร ทอดตัวเป็นแนวยาวถึง 7 กิโลเมตร แม่น้ำที่ไหลผ่านหุบเขา ชื่อแม่น้ำโกคัสเซะ (Gokasse) และมีน้ำตกมะนะอิโนทาคิ (Manainotaki) ที่ตกจากหน้าผาสูง ทำให้องค์ประกอบของภาพนั้นสวยงามจริงๆ
กิจกรรมเอกของหุบเขาทะคะจิโฮะ ก็คือการพายเรือสีฟ้าในแม่น้ำ
เราเลือกสำรวจหุบเขาทะคะจิโฮะด้วยการเดินค่ะ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ผ่านบ่อน้ำ สวนไผ่ หินศักดิ์สิทธิ์ สะพานไขว้
วันถัดไปเรายังแวะไปยังศาลเจ้าทาคาชิโฮ (Takachiho Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่หนุ่มสาวมักมาขอพรในเรื่องคู่ครอง สนคู่นี้มีรากเดียวกัน แต่แตกออกเป็นสองต้น สะท้อนถึงความรักของคู่รักที่อยู่ด้วยกันยืนยงค่ะ
โซเลสต์ ทากาชิโฮะ โฮเทล (SOLEST TAKACHIHO HOTEL) คืนละ 6,000 – 8,000 บาท
คืนนี้เราพักกันที่โรงแรมในเมืองทะคะจิโฮะ เป็นโรงแรมบิสิเนสตามมาตราฐานของญี่ปุ่น สะอาดสะอ้าน บริการดี มีพนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ ห้องพักมีขนาดเล็กหน่อย แต่บริเวณโรงแรมใหญ่ แถมยังตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินไปซื้อของที่ซูเปอร์ หรือศาลเจ้าทะคะจิโฮะก็ใกล้ค่ะ
Related Posts: