ฉันไปเที่ยวปีนังอย่างไร้คาดหวังเมื่อปีก่อนค่ะ มนต์เสน่ห์ของเมืองมรดกโลก “จอร์จ ทาวน์” โหมกระหน่ำจนเรา ตั้งตัวแทบไม่ติด เราต้องมนต์เสน่ห์เมืองเล็กแห่งนี้จนโหยหาอยากจะกลับไปอีกในเร็ววัน
หากจะเล่าถึงประวัติของเมืองนี้ คงเขียนได้หลายหน้ากระดาษอยู่ แต่ถ้าจะให้รวบตึงก็พอสรุปได้ว่า “ปีนัง” เป็น รัฐหนึ่งของประเทศมาเลเซีย ที่มีคนจีนหน้าตาอย่างเราๆ อยู่มากกว่าชาวมาเลย์ เป็นรัฐที่มีภูมิศาสตร์สวยงาม เพราะเป็นเกาะกลางทะเล เคยรุ่งเรืองในอดีตและเป็นไข่มุกแห่งตะวันออก (The Pearl of the Orient) … เมืองหลวงของรัฐนี้มีนามว่า “จอร์จ ทาวน์” เป็นเมืองแม่มดที่มีเวทย์มนต์ หว่านเสน่ห์จนแม้แต่องค์กรระดับโลก ยังยอมยกให้เป็นมรดกโลกในปี 2007 ค่ะ
ทันทีที่หมุดเดินทางถูกปัก กรรมวิธีกลั่นกรองโรงแรมก็เริ่มต้นที่บล็อกของเราเอง www.thaifootprint.com เราคลิ๊กเข้าลิงค์ของอาโก “Agoda” ที่อยู่ด้านล่าง …นั่งสแกนเลือกชมโรงแรมอยู่หลายแห่งจนประหลาดใจว่า ปีนังมีที่พักแนวอาร์ตอยู่มากมายแต่ไม่มีโรงแรมใดสะดุดตาเราเท่ากับที่นี่ “Macalister Mansion, Eight Rooms”แมนชั่นสีขาวของท่านเซอร์มาคาลิสเตอร์ ที่เราปักใจรักตั้งแต่สบตากันครั้งแรก
เราเลือกเข้าพักในวันธรรมดา คาบเกี่ยววันเสาร์ ราคาห้องพักในวันธรรมดาถูกกว่าเสาร์อาทิตย์ หรือประมาณ 6,500-7,500 บาท ต่างจากวันหยุดที่ราคาสูงเฉียดหลักหมื่น…ฉันรีบฉวยนาทีทองในทันใด จับจองด้วยสปีดเท่ากับความไวแสงเพราะที่นี่มีเพียง 8 ห้องนอนเท่านั้นค่ะ
จากสนามบิน รถแท็กซี่ของโรงแรมมารอรับด้านหน้า ใช้เวลาเดินทางเพียง 30-45 นาที ก็มาถึงแมนชั่นของ ท่านเซอร์ …
พลันเมื่อรถเลี้ยวเข้าถนนของโรงแรม เราก็เห็นแนวสระว่ายน้ำสีฟ้าสวย เบื้องหลังเป็นแมนชั่นสีขาวตั้งตระหง่าน งดงามเหมือนภาพที่เห็นในโฆษณาของโรงแรมไม่มีผิดเพี้ยน
เมื่อรถจอดสนิทที่ด้านหน้าของโรงแรม ฉันเหลือบไปเห็นรูปปั้นสีขาวโพลนของท่านเซอร์มาคาลิสเตอร์ ตั้งตระหง่านรับเราอยู่อย่างเงียบขรึม … สถาปัตกรรมของโรงแรมนี้ เน้นการผสมผสานความเก่าเข้ากับความใหม่ งานอาร์ตก็เข้ากับยุคโคโลเนียลของปีนัง
ฉันรีบสาวเท้าเข้าไปข้างใน เพราะอยากเห็นใจจะขาดว่า แต่ละอณูของโรงแรมแห่งนี้จะเก๋ไก๋สักเพียงใดกัน
ล็อบบี้เช็คอินของโรงแรมเป็นห้องขนาดเล็ก เคาน์เตอร์เช็คอินเป็นทรงมน ไร้เหลี่ยม ดูทันสมัย กระจกเงาและแสงไฟ ที่ติดรอบตัวเคาน์เตอร์ทำให้ล็อบบี้นี้ดูสว่างสวยงาม รอบกำแพงและเคาน์เตอร์เช็คอินมีประกาศนียบัตร รับประกันความเก๋ตั้งไว้ให้เห็น ทั้งจากภาครัฐ และเอกชน รวมถึงจากหนังสือท่องเที่ยวชั้นนำต่างๆเช่น Condé Nast ค่ะ… Welcome Drink เสิร์ฟมาในแก้วใส จิบแล้วชื่นใจ
บันใดวนด้านหลังล็อบบี้พาเราขึ้นไปบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องพักของโรงแรมนี้ ทางเดินปูพรมสีน้ำตาลอ่อนนุ่ม … พนักงานเดินนำเราไปเงียบๆ สู่ห้องพักซึ่งอีกสามคืนนับจากนี้ ฉันจะได้พำนักอยู่ที่นี่ “ห้องหมายเลข 5” ของ Macalister Mansion ค่ะ
ก่อนเข้าห้องพักพนักงานเอื้อมมือไปแตะคีย์คาร์ดบนหน้าจอไอแพด ซึ่งล้อมด้วยกรอบไม้สีขาวลวดลายหรูหรา เห็นแค่นี้ก็ทำให้อยากรู้ขึ้นมาอีกแล้วว่า ห้องหมายเลข 5 นี้จะงามปานใด
ห้องหมายเลข 5 มีพื้นที่เกือบ 50 ตารางเมตร เพดานสูงมากกว่า 3 เมตร จึงให้ความรู้สึกที่โปร่งสบาย
ห้องนี้มีเตียงเดี่ยวอยู่สองเตียง ฟูกถูกแยกออกจากกัน ฟูกทั้งสองถูกวางบนฐานไม้สีอ่อน ซึ่งเป็นเตียงติดผนัง และมีโต๊ะข้างเตียงเข้าคู่กัน
ห้องนอนทาสีขาวสว่างตา แสงไฟสีเหลืองสาดส่องบนผนังและเฟอร์นิเจอร์ไม้ ทำให้รู้สึกอบอุ่นและอยู่สบายค่ะ
ถัดจากห้องนอน ก็เป็นห้องรับแขกและห้องทำงาน โซฟาเลื้อยยาวติดผนัง ไว้นั่งดูทีวีเล่น แต่หากจะทำงาน ห้องนี้ก็มีโต๊ะไม้สีอ่อนให้วางคอมพิวเตอร์คู่ใจ หรือจะเล่นอินเทอร์เน็ตทีวี ก็มีบริการให้เช่นกัน
ต่อจากห้องรับแขกก็เป็นห้องน้ำที่ปูผนังรอบด้านด้วยโมเสคสีขาวและเทาจากพื้นจรดฝ้าเพดาน ลวดลายของโมเสค คล้ายกับดอกไม้ เลื้อยเลาะขึ้นไป พื้นที่บริเวณห้องน้ำแยกสัดส่วนออกเป็น 3 โซนเล็กๆ บริเวณพื้นแห้งมีอ่างล้างหน้า ตั้งอยู่ตรงกลาง ซ้ายเป็นห้องชักโครก และขวาเป็นห้องอาบน้ำ พร้อมอ่างอาบน้ำอ่างใหญ่ค่ะ
ประวัติของแมนชั่นแห่งนี้ ย้อนกลับไปในสมัยยุคจักรวรรดินิยม ที่อังกฤษยังปกครองปีนังอยู่เมื่อสองร้อยปีก่อน สถาปัตยกรรมในยุคนั้นลอกเลียนแบบมาจากอังกฤษ เป็นศิลปะแบบโคโลเนียล จำพวกแมนชั่นขนาดใหญ่ หรูหรา
ชื่อของโรงแรมได้มาจากท่านเซอร์นอร์แมน มาคาลิสเตอร์ (Sir Norman Macalister) หนึ่งในผู้ว่าการรัฐปีนัง ระหว่าง ค.ศ.1808-1810 ซึ่งเป็นชื่อถนนที่ตั้งของโรงแรมแห่งนี้ด้วย
Macalister Mansion มีห้องพักเพียงแปดห้องเท่านั้น ทุกห้องตกแต่งแตกต่างกัน เพราะรูปแบบและขนาดของห้อง ที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง แต่จุดเด่นของทุกห้องซึ่งฉันประทับใจ เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นการ์ดไดคัทคำสั้นๆ ว่า “Cheers” ที่มาพร้อมกับขวดน้ำดื่มสดชื่น หรือขนมหวานชิ้นเล็กๆ ก่อนนอน พร้อมกับข้อความน่ารัก ให้หลับฝันดี “Sweet Dream” ค่ะ
นอกจากห้องพักทั้งแปด แขกของโรงแรมยังเลือกใช้บริการจากห้องต่างๆ ของแมนชั่นนี้ได้อีกด้วย ซึ่งเดี๋ยวเรา จะมาดูไปพร้อมๆ กันว่ามีห้องอะไรกันบ้างค่ะ
เริ่มต้นกันที่ห้องซิการ์ “The Den” ที่ดูทะมึนและน่าเกรงขามด้วยโมเสคสีดำตัดแดง เก้าอี้บุหนังสีดำและกลิ่นซิการ์ยัง อบอวลอยู่ในห้องจากค่ำคืนก่อน ห้องนี้เป็นแหล่งรวมหนุ่มๆ ชาวปีนังมานั่งหย่อนใจ คุยธุรกิจและสูบซิการ์ในแต่ละ ค่ำคืน
ถัดมาเป็นห้องอาหารชื่อดังของปีนัง “Dinning Room” ที่รูปถ่ายทำให้หลายคนร้องว้าวด้วยความตะลึงงัน กับผืนผ้าต่วนสีขาวจับจีบอยู่กลางห้อง ปล่อยให้เนื้อผ้าโรยตัวคล้ายกับเต็นท์สีขาวในงานแต่งงานของชาวตะวันตก มีรูปปั้นกวางคู่สีชมพูและสีฟ้ายืนเคียงคู่กันอยู่กลางห้อง… เดินเข้ามาในห้องนี้ จะได้อารมณ์เหมือนเดินเข้ามา ในแดนแฟนตาซี หลุดเข้ามาในโลกแห่งความฝัน เหมือนสรวงสวรรค์แสนสวยที่เราได้เข้ามาเดินชม
ระหว่างทางเดินเชื่อมต่อไปยังห้องต่างๆของโรงแรม จะมีรูปปั้น หรือที่นั่งพักหลบแดดอยู่เป็นระยะๆ และทางเดิน จากห้องอาหาร Dining Room ไปยังอีกห้อง ก็เป็นรูปปั้นของเจ้าหมีสีขาวตัวนี้ค่ะ
“The Cellar” เป็นห้องถัดมา ห้องนี้มีไวน์ชั้นดีเก็บเรียงไว้มากมาย เช่นเดียวกับวิสกี้ชั้นเลิศ และค็อกเทลรสดี ฉันและคุณสามีแวะมาจิบค็อกเทลกันที่นี่ นั่งชมหนุ่มสาวชาวปีนังเมาท์มอย และการตกแต่งที่งดงามของห้อง ซึ่งเน้นผนังกำมะหยี่สีแดงเลือดนก ดูลึกลับแต่ร้อนแรง เคาน์เตอร์บาร์เป็นกระจก มีแท่งเหล็กสีทองหลายร้อยแท่ง โรยตัวลงมาจากฝ้าเพดาน ตามรูปทรงของเคาน์เตอร์ เติมพลังความอลังการให้ห้องนี้เป็นอย่างมาก
ท้ายสุดเป็นห้องอาหารเช้าของแขกที่เข้าพัก ส่วนระหว่างวัน จะเป็นห้องอาหารที่หนุ่มสาวปีนังแวะมานั่งกิน และละเมียดเค้ก จิบชากาแฟในวันหยุด… ไดนามิกของห้องนี้ ทำให้ฉันรับรู้ได้ในทันทีว่า นี่แหละคือจุดแฮงเอาท์ สุดฮิปของปีนังแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
ฉันไม่ประหลาดใจเลยสักนิดว่าทำไม “Living Room” จึงเป็นร้านอาหารยอดนิยมของเมืองนี้ เพราะการตกแต่ง ที่น่ารักขาดใจ กระถางต้นไม้เขียวขจีและใบไม้ที่โรยตัวลงมาจากฝ้าเพดาน ตัดกับสีเหลืองสดใสของห้อง พื้นกระเบื้องสีแดงลวดลายเปอรานากัน หรือลูกผสมจีนผสมมาเลย์ก็ดูเข้ากันดี และถ้าเดินเข้าไปในห้องด้านหลัง เราจะตื่นตะลึงกับผนังที่วาดลายเส้นได้น่ารักและน่าถ่ายรูป แนวชั้นวางของที่ยาวเท่าขนาดของห้อง โต๊ะใหญ่ตรงกลางห้องจึงทำให้ห้องนี้เป็น Hot Spot ของเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย
ใครสนใจอยากรู้ว่าอาหารที่นี่จะยัมมี่ขนาดไหน อ่านได้ที่ www.thaifootprint.com นะคะ
ก่อนจะจบทัวร์ชมแมนชั่นของท่านเซอร์หลังนี้ ฉันยังมีทีเด็ด ซึ่งเป็นลานพักผ่อนกลางแจ้งด้านหน้า The Living Room มาอวดกัน พื้นสีขาวบวกเก้าอี้สีเดียวกัน ทำให้ต้นหลิวขนาดใหญ่ใบสีเขียวนี้ดูเด่นจับตา ยามเย็นที่แสงอาทิตย์เริ่มจาง ลานนี้เป็นที่นั่งพักของฉันและคุณสามี ดื่มด่ำบรรยากาศของแมนชั่นอย่างสบายใจเฉิบ
สุดท้ายเป็น “The Lawn” ที่ตั้งของสระว่ายน้ำสีฟ้าใส และบาร์เครื่องดื่ม ซึ่งในช่วงที่ไป ฉันไม่เห็นแขกสักคนมา ว่ายน้ำที่นี่ แต่อย่างไรก็ดี จุดนี้เป็นจุดตั้งกล้องเก็บวิวมุมกว้างของ Macalister Mansion ได้เยี่ยมที่สุดทั้งกลาง วันและกลางคืน
ฉันเล่าถึงจุดเด่นของโรงแรมมามากพอแล้ว และหากจะถามถึงจุดด้อย ซึ่งโรงแรมส่วนใหญ่นั้นต้องมี ของที่นี่คง จะเป็นอัตราพนักงานที่มีจำนวนน้อย การบริการจึงไม่ฉับไวเหมือนโรงแรมห้าดาว แต่ก็ไม่ได้ช้าเป็นเต่านะคะ พนักงานต้อนรับของที่นี่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยม แต่ขาดความรู้ในเรื่องของตัวเมือง และคำแนะนำร้านเด็ดๆ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโรงแรมที่ควรต้องมี และท้ายสุดนี้ Macalister Mansion อยู่ห่างจากใจกลางจอร์จทาวน์พอประมาณ ฉันต้องนั่งรถแท็กซี่ 10 นาที ถึงจะเข้าใจกลางเมือง หรือถ้าอยากจะเดิน ก็จะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีค่ะ (ค่าแท็กซี่ 15 RM หรือประมาณ 150 บาท)
ที่ตั้ง 228 Macalister Road, Georgetown, Penang
โทรศัพท์ 604-2283-888
ราคาเฉลี่ย คืนละ 6,500-10,000 บาท
เว็บไซต์ www.macalistermansion.com
30 Jul 2015
0 Comments
แมนชั่นของท่านเซอร์ เรือนพักที่คออาร์ตต้องมนต์ ณ เมืองมรดกโลก “จอร์จ ทาวน์” ปีนัง
ฉันไปเที่ยวปีนังอย่างไร้คาดหวังเมื่อปีก่อนค่ะ มนต์เสน่ห์ของเมืองมรดกโลก “จอร์จ ทาวน์” โหมกระหน่ำจนเรา ตั้งตัวแทบไม่ติด เราต้องมนต์เสน่ห์เมืองเล็กแห่งนี้จนโหยหาอยากจะกลับไปอีกในเร็ววัน
หากจะเล่าถึงประวัติของเมืองนี้ คงเขียนได้หลายหน้ากระดาษอยู่ แต่ถ้าจะให้รวบตึงก็พอสรุปได้ว่า “ปีนัง” เป็น รัฐหนึ่งของประเทศมาเลเซีย ที่มีคนจีนหน้าตาอย่างเราๆ อยู่มากกว่าชาวมาเลย์ เป็นรัฐที่มีภูมิศาสตร์สวยงาม เพราะเป็นเกาะกลางทะเล เคยรุ่งเรืองในอดีตและเป็นไข่มุกแห่งตะวันออก (The Pearl of the Orient) … เมืองหลวงของรัฐนี้มีนามว่า “จอร์จ ทาวน์” เป็นเมืองแม่มดที่มีเวทย์มนต์ หว่านเสน่ห์จนแม้แต่องค์กรระดับโลก ยังยอมยกให้เป็นมรดกโลกในปี 2007 ค่ะ
ทันทีที่หมุดเดินทางถูกปัก กรรมวิธีกลั่นกรองโรงแรมก็เริ่มต้นที่บล็อกของเราเอง www.thaifootprint.com เราคลิ๊กเข้าลิงค์ของอาโก “Agoda” ที่อยู่ด้านล่าง …นั่งสแกนเลือกชมโรงแรมอยู่หลายแห่งจนประหลาดใจว่า ปีนังมีที่พักแนวอาร์ตอยู่มากมายแต่ไม่มีโรงแรมใดสะดุดตาเราเท่ากับที่นี่ “Macalister Mansion, Eight Rooms”แมนชั่นสีขาวของท่านเซอร์มาคาลิสเตอร์ ที่เราปักใจรักตั้งแต่สบตากันครั้งแรก
เราเลือกเข้าพักในวันธรรมดา คาบเกี่ยววันเสาร์ ราคาห้องพักในวันธรรมดาถูกกว่าเสาร์อาทิตย์ หรือประมาณ 6,500-7,500 บาท ต่างจากวันหยุดที่ราคาสูงเฉียดหลักหมื่น…ฉันรีบฉวยนาทีทองในทันใด จับจองด้วยสปีดเท่ากับความไวแสงเพราะที่นี่มีเพียง 8 ห้องนอนเท่านั้นค่ะ
จากสนามบิน รถแท็กซี่ของโรงแรมมารอรับด้านหน้า ใช้เวลาเดินทางเพียง 30-45 นาที ก็มาถึงแมนชั่นของ ท่านเซอร์ …
พลันเมื่อรถเลี้ยวเข้าถนนของโรงแรม เราก็เห็นแนวสระว่ายน้ำสีฟ้าสวย เบื้องหลังเป็นแมนชั่นสีขาวตั้งตระหง่าน งดงามเหมือนภาพที่เห็นในโฆษณาของโรงแรมไม่มีผิดเพี้ยน
เมื่อรถจอดสนิทที่ด้านหน้าของโรงแรม ฉันเหลือบไปเห็นรูปปั้นสีขาวโพลนของท่านเซอร์มาคาลิสเตอร์ ตั้งตระหง่านรับเราอยู่อย่างเงียบขรึม … สถาปัตกรรมของโรงแรมนี้ เน้นการผสมผสานความเก่าเข้ากับความใหม่ งานอาร์ตก็เข้ากับยุคโคโลเนียลของปีนัง
ฉันรีบสาวเท้าเข้าไปข้างใน เพราะอยากเห็นใจจะขาดว่า แต่ละอณูของโรงแรมแห่งนี้จะเก๋ไก๋สักเพียงใดกัน
ล็อบบี้เช็คอินของโรงแรมเป็นห้องขนาดเล็ก เคาน์เตอร์เช็คอินเป็นทรงมน ไร้เหลี่ยม ดูทันสมัย กระจกเงาและแสงไฟ ที่ติดรอบตัวเคาน์เตอร์ทำให้ล็อบบี้นี้ดูสว่างสวยงาม รอบกำแพงและเคาน์เตอร์เช็คอินมีประกาศนียบัตร รับประกันความเก๋ตั้งไว้ให้เห็น ทั้งจากภาครัฐ และเอกชน รวมถึงจากหนังสือท่องเที่ยวชั้นนำต่างๆเช่น Condé Nast ค่ะ… Welcome Drink เสิร์ฟมาในแก้วใส จิบแล้วชื่นใจ
บันใดวนด้านหลังล็อบบี้พาเราขึ้นไปบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องพักของโรงแรมนี้ ทางเดินปูพรมสีน้ำตาลอ่อนนุ่ม … พนักงานเดินนำเราไปเงียบๆ สู่ห้องพักซึ่งอีกสามคืนนับจากนี้ ฉันจะได้พำนักอยู่ที่นี่ “ห้องหมายเลข 5” ของ Macalister Mansion ค่ะ
ก่อนเข้าห้องพักพนักงานเอื้อมมือไปแตะคีย์คาร์ดบนหน้าจอไอแพด ซึ่งล้อมด้วยกรอบไม้สีขาวลวดลายหรูหรา เห็นแค่นี้ก็ทำให้อยากรู้ขึ้นมาอีกแล้วว่า ห้องหมายเลข 5 นี้จะงามปานใด
ห้องหมายเลข 5 มีพื้นที่เกือบ 50 ตารางเมตร เพดานสูงมากกว่า 3 เมตร จึงให้ความรู้สึกที่โปร่งสบาย
ห้องนี้มีเตียงเดี่ยวอยู่สองเตียง ฟูกถูกแยกออกจากกัน ฟูกทั้งสองถูกวางบนฐานไม้สีอ่อน ซึ่งเป็นเตียงติดผนัง และมีโต๊ะข้างเตียงเข้าคู่กัน
ห้องนอนทาสีขาวสว่างตา แสงไฟสีเหลืองสาดส่องบนผนังและเฟอร์นิเจอร์ไม้ ทำให้รู้สึกอบอุ่นและอยู่สบายค่ะ
ถัดจากห้องนอน ก็เป็นห้องรับแขกและห้องทำงาน โซฟาเลื้อยยาวติดผนัง ไว้นั่งดูทีวีเล่น แต่หากจะทำงาน ห้องนี้ก็มีโต๊ะไม้สีอ่อนให้วางคอมพิวเตอร์คู่ใจ หรือจะเล่นอินเทอร์เน็ตทีวี ก็มีบริการให้เช่นกัน
ต่อจากห้องรับแขกก็เป็นห้องน้ำที่ปูผนังรอบด้านด้วยโมเสคสีขาวและเทาจากพื้นจรดฝ้าเพดาน ลวดลายของโมเสค คล้ายกับดอกไม้ เลื้อยเลาะขึ้นไป พื้นที่บริเวณห้องน้ำแยกสัดส่วนออกเป็น 3 โซนเล็กๆ บริเวณพื้นแห้งมีอ่างล้างหน้า ตั้งอยู่ตรงกลาง ซ้ายเป็นห้องชักโครก และขวาเป็นห้องอาบน้ำ พร้อมอ่างอาบน้ำอ่างใหญ่ค่ะ
ประวัติของแมนชั่นแห่งนี้ ย้อนกลับไปในสมัยยุคจักรวรรดินิยม ที่อังกฤษยังปกครองปีนังอยู่เมื่อสองร้อยปีก่อน สถาปัตยกรรมในยุคนั้นลอกเลียนแบบมาจากอังกฤษ เป็นศิลปะแบบโคโลเนียล จำพวกแมนชั่นขนาดใหญ่ หรูหรา
ชื่อของโรงแรมได้มาจากท่านเซอร์นอร์แมน มาคาลิสเตอร์ (Sir Norman Macalister) หนึ่งในผู้ว่าการรัฐปีนัง ระหว่าง ค.ศ.1808-1810 ซึ่งเป็นชื่อถนนที่ตั้งของโรงแรมแห่งนี้ด้วย
Macalister Mansion มีห้องพักเพียงแปดห้องเท่านั้น ทุกห้องตกแต่งแตกต่างกัน เพราะรูปแบบและขนาดของห้อง ที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง แต่จุดเด่นของทุกห้องซึ่งฉันประทับใจ เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นการ์ดไดคัทคำสั้นๆ ว่า “Cheers” ที่มาพร้อมกับขวดน้ำดื่มสดชื่น หรือขนมหวานชิ้นเล็กๆ ก่อนนอน พร้อมกับข้อความน่ารัก ให้หลับฝันดี “Sweet Dream” ค่ะ
นอกจากห้องพักทั้งแปด แขกของโรงแรมยังเลือกใช้บริการจากห้องต่างๆ ของแมนชั่นนี้ได้อีกด้วย ซึ่งเดี๋ยวเรา จะมาดูไปพร้อมๆ กันว่ามีห้องอะไรกันบ้างค่ะ
เริ่มต้นกันที่ห้องซิการ์ “The Den” ที่ดูทะมึนและน่าเกรงขามด้วยโมเสคสีดำตัดแดง เก้าอี้บุหนังสีดำและกลิ่นซิการ์ยัง อบอวลอยู่ในห้องจากค่ำคืนก่อน ห้องนี้เป็นแหล่งรวมหนุ่มๆ ชาวปีนังมานั่งหย่อนใจ คุยธุรกิจและสูบซิการ์ในแต่ละ ค่ำคืน
ถัดมาเป็นห้องอาหารชื่อดังของปีนัง “Dinning Room” ที่รูปถ่ายทำให้หลายคนร้องว้าวด้วยความตะลึงงัน กับผืนผ้าต่วนสีขาวจับจีบอยู่กลางห้อง ปล่อยให้เนื้อผ้าโรยตัวคล้ายกับเต็นท์สีขาวในงานแต่งงานของชาวตะวันตก มีรูปปั้นกวางคู่สีชมพูและสีฟ้ายืนเคียงคู่กันอยู่กลางห้อง… เดินเข้ามาในห้องนี้ จะได้อารมณ์เหมือนเดินเข้ามา ในแดนแฟนตาซี หลุดเข้ามาในโลกแห่งความฝัน เหมือนสรวงสวรรค์แสนสวยที่เราได้เข้ามาเดินชม
ระหว่างทางเดินเชื่อมต่อไปยังห้องต่างๆของโรงแรม จะมีรูปปั้น หรือที่นั่งพักหลบแดดอยู่เป็นระยะๆ และทางเดิน จากห้องอาหาร Dining Room ไปยังอีกห้อง ก็เป็นรูปปั้นของเจ้าหมีสีขาวตัวนี้ค่ะ
“The Cellar” เป็นห้องถัดมา ห้องนี้มีไวน์ชั้นดีเก็บเรียงไว้มากมาย เช่นเดียวกับวิสกี้ชั้นเลิศ และค็อกเทลรสดี ฉันและคุณสามีแวะมาจิบค็อกเทลกันที่นี่ นั่งชมหนุ่มสาวชาวปีนังเมาท์มอย และการตกแต่งที่งดงามของห้อง ซึ่งเน้นผนังกำมะหยี่สีแดงเลือดนก ดูลึกลับแต่ร้อนแรง เคาน์เตอร์บาร์เป็นกระจก มีแท่งเหล็กสีทองหลายร้อยแท่ง โรยตัวลงมาจากฝ้าเพดาน ตามรูปทรงของเคาน์เตอร์ เติมพลังความอลังการให้ห้องนี้เป็นอย่างมาก
ท้ายสุดเป็นห้องอาหารเช้าของแขกที่เข้าพัก ส่วนระหว่างวัน จะเป็นห้องอาหารที่หนุ่มสาวปีนังแวะมานั่งกิน และละเมียดเค้ก จิบชากาแฟในวันหยุด… ไดนามิกของห้องนี้ ทำให้ฉันรับรู้ได้ในทันทีว่า นี่แหละคือจุดแฮงเอาท์ สุดฮิปของปีนังแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
ฉันไม่ประหลาดใจเลยสักนิดว่าทำไม “Living Room” จึงเป็นร้านอาหารยอดนิยมของเมืองนี้ เพราะการตกแต่ง ที่น่ารักขาดใจ กระถางต้นไม้เขียวขจีและใบไม้ที่โรยตัวลงมาจากฝ้าเพดาน ตัดกับสีเหลืองสดใสของห้อง พื้นกระเบื้องสีแดงลวดลายเปอรานากัน หรือลูกผสมจีนผสมมาเลย์ก็ดูเข้ากันดี และถ้าเดินเข้าไปในห้องด้านหลัง เราจะตื่นตะลึงกับผนังที่วาดลายเส้นได้น่ารักและน่าถ่ายรูป แนวชั้นวางของที่ยาวเท่าขนาดของห้อง โต๊ะใหญ่ตรงกลางห้องจึงทำให้ห้องนี้เป็น Hot Spot ของเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย
ใครสนใจอยากรู้ว่าอาหารที่นี่จะยัมมี่ขนาดไหน อ่านได้ที่ www.thaifootprint.com นะคะ
ก่อนจะจบทัวร์ชมแมนชั่นของท่านเซอร์หลังนี้ ฉันยังมีทีเด็ด ซึ่งเป็นลานพักผ่อนกลางแจ้งด้านหน้า The Living Room มาอวดกัน พื้นสีขาวบวกเก้าอี้สีเดียวกัน ทำให้ต้นหลิวขนาดใหญ่ใบสีเขียวนี้ดูเด่นจับตา ยามเย็นที่แสงอาทิตย์เริ่มจาง ลานนี้เป็นที่นั่งพักของฉันและคุณสามี ดื่มด่ำบรรยากาศของแมนชั่นอย่างสบายใจเฉิบ
สุดท้ายเป็น “The Lawn” ที่ตั้งของสระว่ายน้ำสีฟ้าใส และบาร์เครื่องดื่ม ซึ่งในช่วงที่ไป ฉันไม่เห็นแขกสักคนมา ว่ายน้ำที่นี่ แต่อย่างไรก็ดี จุดนี้เป็นจุดตั้งกล้องเก็บวิวมุมกว้างของ Macalister Mansion ได้เยี่ยมที่สุดทั้งกลาง วันและกลางคืน
ฉันเล่าถึงจุดเด่นของโรงแรมมามากพอแล้ว และหากจะถามถึงจุดด้อย ซึ่งโรงแรมส่วนใหญ่นั้นต้องมี ของที่นี่คง จะเป็นอัตราพนักงานที่มีจำนวนน้อย การบริการจึงไม่ฉับไวเหมือนโรงแรมห้าดาว แต่ก็ไม่ได้ช้าเป็นเต่านะคะ พนักงานต้อนรับของที่นี่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยม แต่ขาดความรู้ในเรื่องของตัวเมือง และคำแนะนำร้านเด็ดๆ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโรงแรมที่ควรต้องมี และท้ายสุดนี้ Macalister Mansion อยู่ห่างจากใจกลางจอร์จทาวน์พอประมาณ ฉันต้องนั่งรถแท็กซี่ 10 นาที ถึงจะเข้าใจกลางเมือง หรือถ้าอยากจะเดิน ก็จะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีค่ะ (ค่าแท็กซี่ 15 RM หรือประมาณ 150 บาท)
ที่ตั้ง 228 Macalister Road, Georgetown, Penang
โทรศัพท์ 604-2283-888
ราคาเฉลี่ย คืนละ 6,500-10,000 บาท
เว็บไซต์ www.macalistermansion.com
Related Posts: