Hotel Café Royal ♥♥♥♥♥ [5/5]
ควันหลงของ London ยังคงอบอวลอยู่ในความทรงจำค่ะ นึกทีไรก็คิดถึงเสมอ จึงอยากพาไปชมกิจกรรมชื่อดัง Afternoon Tea ที่อลังการที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง … เป็นบรรยากาศจิบน้ำชายามบ่ายที่จ่ายอารมณ์หรูหราและฟุ่มเฟือย ในห้องกระจกสีทองสุกปลั่งของ Hotel Café Royal แห่งนี้
Hotel Café Royal ตั้งอยู่บน Regent Street ถนนสายเก่าแก่และสำคัญที่สะท้อนความเป็นอังกฤษได้ดียิ่ง
ห้องจิบน้ำชายามบ่ายที่ฉันจะพาไปชมในวันนี้เดิมชื่อว่า Grill Room ก่อสร้างในปี ค.ศ. 1865 หรือเมื่อ 150 ปีที่แล้ว … ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นห้อง Oscar Wilde Bar ตามชื่อของนักเขียน นักกวี ที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ ผู้ยังเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ค่ะ
ลูกค้าประจำคนอื่นๆก็ล้วนมีชื่อเสียงระดับแถวหน้าเช่นกัน อาทิ Sir Winston Churchill, Virginia Woolf, David Bowies รวมถึง Elizabeth Taylor ด้วยค่ะ
พวกเรา (ฉัน โป่ง มิ้ง และโบว์) จองโต๊ะตอนบ่ายสี่โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับขนบธรรมเนียมการจิบน้ำชายามบ่ายแบบอังกฤษ …. สาวน้อยสัญชาติอังกฤษหน้าห้องสอบถามชื่อที่จอง ก่อนจะบอกให้พวกเราไปฝากของที่ถือกันพะรุงพะรังตรง Cloakroom ด้านข้าง
เธอเอื้อมมือผลักประตูไม้สองบานของห้องให้เปิดกว้าง เผยทางให้พวกเราเดินเข้าไปด้านใน และทันใดนั้น เสียงร้อง “WOW” ของทุกคนก็ดังขึ้นพร้อมเพรียงกันค่ะ!!!
เรากำลังเห็นในสิ่งที่ไม่ได้คาดหวังมาก่อนเลยจริงๆ พวกเราตกตะลึงพรึงเพริดกันมากกับความอลังการและหรูหราของห้อง Oscar Wilde Bar และยืนทำตาปริบๆ งงงวยกับแสงสีทองสุกปลั่งที่เล่นกับแสงไฟและสะท้อนกับกระจกรอบห้องอยู่สักพัก …
บรรยากาศรอบตัวในขณะนั้นเหมือนกำลังอยู่ในความฝันเลยค่ะ เหมือนอยู่ในเมืองมายาที่หรูหราไร้ที่ติ มองไปทางไหนก็ระยิบระยับจับตาไปหมดทุกมุม
ประวัติเล่าว่า … ห้องนี้ตั้งใจสร้างให้ละม้ายกับห้องกระจกที่มีชื่อเสียง หรือ Hall of Mirror ของพระราชวังแวร์ซายค่ะ ศิลปะหรูหราในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงถูกยกมาไว้ในห้องสี่เหลี่ยมห้องนี้เกือบทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่เวอร์เกินไปถ้าจะบอกว่า …
“ฉันนั่งจิบน้ำชาในห้องกระจกของพระราชวังแวร์ซายแห่งกรุงลอนดอน”
หลังจากพวกเราสงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง พนักงานก็เชื้อเชิญให้ไปนั่งประจำโต๊ะที่จอง พร้อมยื่นเมนูให้ดูรายละเอียดของชุดน้ำชายามบ่าย The London Royal Tea (คนละ 42 ปอนด์) ที่เราจองกันในวันนี้
มิ้ง โป่ง และโบว์
ขั้นตอนแรกเริ่มด้วยการสั่งประเภทของน้ำชาที่จะดื่ม ซึ่งมีให้เลือกทั้ง House Blend (ใบชาที่ผสมเอง), Black Tea และ Green Tea หนึ่งโถจะรินได้ประมาณ 2-3 ถ้วย ซึ่งถ้าหมดโถแล้ว เราสั่งน้ำชาเพิ่มได้ ไม่คิดเงินเพิ่ม และยังเปลี่ยนประเภทของใบชาได้อีกด้วยค่ะ
หลังจากนั้นพนักงานก็จะเริ่มเสริฟ์อาหารคาว หรือ Tea Sandwiches ที่ประกอบไปด้วย cucumber cream cheese & beetroot, prawn brigade spices & London honey, Smoked “Wilde” salmon & quail’s egge, Smoked wild boar, English mustard & crackling …. ทุกชิ้นที่พูดมา ขอเติมได้ทั้งหมด หรือจะเลือกเติมเเฉพาะบางชิ้นที่ชอบก็ได้เช่นกันค่ะ
ในระหว่างที่กินของคาว เราก็พูดคุยออกรสชาติกันไปตามประสา โบว์เล่าถึงประสบการณ์จิบน้ำชาที่อื่นๆในลอนดอนให้ฟัง โป่งมองหามุมถ่ายเซลฟี่อวดเพื่อนๆในอินสตราแกรม ส่วนมิ้งคอยถ่ายรูปเก็บข้อมูล และฉันเดินสังเกตุการณ์เก็บรูปภาพภายในห้องมาฝากกันค่ะ
เคาน์เตอร์ไวน์ และแชมเปญ ซึ่งเราจะสั่งพร้อมกับชุดน้ำชายามบ่ายก็ได้ แต่ราคาต่อเซ็ตจะสูงขึ้นค่ะ
และทันใดนั้นก็มีเสียงเปียโนพลิ้วเบาดังขึ้น เสียงเพลงเพราะเสนาะหู และที่สำคัญฉันร้องคลอตามได้หลายเพลงเลยค่ะ ^^
ถัดมาเป็น Pre-Dessert ซึ่งจะเป็น Fruit Tea และ Crown Biscuit ที่มาล้างปาก ปรับสภาพกรดด่าง ให้พร้อมรับรสกับเมนูต่ออไปที่กำลังจะเสริฟ์
Scones เป็นขนมว่างจานต่อไป ประกอบด้วย Traditional golden raisin (สโคนใส่ลูกเกด) และ plain scones (สโคนธรรมดา) ที่ห่อมาในผ้าสีขาว เพื่อรักษาอุณหภูมิ และเสริฟ์พร้อมกับ Clotted cream ครีมสดเข้มข้น กับแยมสตอร์เบอร์รี่ หรือ Strawberry preserve ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้เลยของ Afternoon Tea
พอมาถึงเซ็ตนี้ บอกตามตรงว่า ฉันก็เริ่มอิ่มแปร้แล้วค่ะ ปริมาณที่ให้ดูเหมือนน้อย แต่จริงๆเยอะเลยเชียว … ฉันหยิบสโคนแบบธรรมดามากินได้เพียงครึ่งชิ้นเพื่อดูเนื้อแป้ง และรสชาติ และก็ต้องวางลง เพราะเรายังมีเซ็ตขนมหวานที่หมายตาเป็นเซ็ตสุดท้ายอีก
แต่ก่อนจะผ่านไปยังเซ็ตขนมหวาน ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่กลางห้อง … ชายคนนี้เป็นคนที่ยิ้มให้กับเราที่ด้านหน้าห้องนั่นเอง เขาแต่งชุดเสี้อสูทสีแดง ผมสีดอกเลา และใบหน้าใจดี เขากำลังประกาศเสียงดัง บอกเล่าประวัติของห้องนี้ให้กับแขกที่นั่งอยู่ในขณะนั้นฟัง และเขาก็คือ Toastmaster หรือชายผู้คอยประกาศชื่อแขกยามเมื่อเดินเข้างานสำคัญในอดีต และยังทำหน้าที่เป็น Entertainer ของห้องนี้ ที่คอยเดินมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเราอีกด้วยค่ะ
และแล้ว Delicacies & Cake เซ็ตขนมหวานชุดสุดท้ายก็ถูกวางลงตรงหน้า พร้อมกับกระเพาะของฉันที่เหลือที่น้อยลงไปทุกที แต่เพราะทีมของเรามี มิ้ง และโบว์ สองสาวที่เป็นสายแข็งด้านขนมหวาน เธอทั้งสองจึงกินขนมทุกชิ้น ชิมทุกอย่างได้อย่างเอร็ดอร่อย และหันมาบอกกับฉันว่า ขนมที่นี่อร่อยมากค่ะพี่ กินได้ทุกชิ้นไม่มีเหลือเลย ยัม ยัม …
Underground Macaroon ชิ้นเด็ดที่ฉันยอมกินอยู่ชิ้นเดียวในเซ็ตขนมหวานทั้งหมด 555
Spitfire lollipop อมยิ้มสีรุ้ง
Raspberry “Regent” ชิ้นที่น้องๆลงมติว่าอร่อยที่สุด
และอื่นๆอีกมากมายค่ะ
บทสรุปของชุดน้ำชายามบ่ายของ Hotel Café Royal ฉันเทหัวใจให้ 5/5 เต็มค่ะ แซนด์วิชซึ่งเป็นอาหารคาวอร่อย และรสชาติดีทุกชิ้น ขนมหวานก็เยี่ยม (ตามคำบอกเล่าของสองสาว) แถมบริการก็ผู้ดีสุดๆ และยังปฏิบัติถูกต้องตามขนบประเพณีของอังกฤษอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ห้อง Oscar Wilde Bar ก็งดงามไร้ที่ติด แล้วอย่างนี้จะไม่ให้คะแนนเต็มก็กระไรอยู่
ก่อนจบ …. ฝากข้อมูลของ Afternoon Tea จากเมนูของร้านให้อ่านกันเล่นๆค่ะ เผื่อใครสนใจประวัติ และเรื่องราว รวมถึงมารยาทของการจิบน้ำชาแบบผู้ดีอังกฤษอีกด้วย
ที่ตั้ง 68 REGENT STREET, LONDON W1B 4DY
โทรศัพท์ +44 (0)20 7406 3333
ราคาเซ็ตละ 42+ ปอนด์ (Service Charge 12.5%)
เปิด ปิด Afternoon Tea 12.00-17.00 น.
www.hotelcaferoyal.com
24 Nov 2015
0 Comments
ฉันนั่งจิบน้ำชาในห้องกระจกของพระราชวังแวร์ซายแห่งกรุงลอนดอน – Hotel Café Royal
Hotel Café Royal ♥♥♥♥♥ [5/5]
ควันหลงของ London ยังคงอบอวลอยู่ในความทรงจำค่ะ นึกทีไรก็คิดถึงเสมอ จึงอยากพาไปชมกิจกรรมชื่อดัง Afternoon Tea ที่อลังการที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง … เป็นบรรยากาศจิบน้ำชายามบ่ายที่จ่ายอารมณ์หรูหราและฟุ่มเฟือย ในห้องกระจกสีทองสุกปลั่งของ Hotel Café Royal แห่งนี้
Hotel Café Royal ตั้งอยู่บน Regent Street ถนนสายเก่าแก่และสำคัญที่สะท้อนความเป็นอังกฤษได้ดียิ่ง
ห้องจิบน้ำชายามบ่ายที่ฉันจะพาไปชมในวันนี้เดิมชื่อว่า Grill Room ก่อสร้างในปี ค.ศ. 1865 หรือเมื่อ 150 ปีที่แล้ว … ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นห้อง Oscar Wilde Bar ตามชื่อของนักเขียน นักกวี ที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ ผู้ยังเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ค่ะ
ลูกค้าประจำคนอื่นๆก็ล้วนมีชื่อเสียงระดับแถวหน้าเช่นกัน อาทิ Sir Winston Churchill, Virginia Woolf, David Bowies รวมถึง Elizabeth Taylor ด้วยค่ะ
พวกเรา (ฉัน โป่ง มิ้ง และโบว์) จองโต๊ะตอนบ่ายสี่โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับขนบธรรมเนียมการจิบน้ำชายามบ่ายแบบอังกฤษ …. สาวน้อยสัญชาติอังกฤษหน้าห้องสอบถามชื่อที่จอง ก่อนจะบอกให้พวกเราไปฝากของที่ถือกันพะรุงพะรังตรง Cloakroom ด้านข้าง
เธอเอื้อมมือผลักประตูไม้สองบานของห้องให้เปิดกว้าง เผยทางให้พวกเราเดินเข้าไปด้านใน และทันใดนั้น เสียงร้อง “WOW” ของทุกคนก็ดังขึ้นพร้อมเพรียงกันค่ะ!!!
เรากำลังเห็นในสิ่งที่ไม่ได้คาดหวังมาก่อนเลยจริงๆ พวกเราตกตะลึงพรึงเพริดกันมากกับความอลังการและหรูหราของห้อง Oscar Wilde Bar และยืนทำตาปริบๆ งงงวยกับแสงสีทองสุกปลั่งที่เล่นกับแสงไฟและสะท้อนกับกระจกรอบห้องอยู่สักพัก …
บรรยากาศรอบตัวในขณะนั้นเหมือนกำลังอยู่ในความฝันเลยค่ะ เหมือนอยู่ในเมืองมายาที่หรูหราไร้ที่ติ มองไปทางไหนก็ระยิบระยับจับตาไปหมดทุกมุม
ประวัติเล่าว่า … ห้องนี้ตั้งใจสร้างให้ละม้ายกับห้องกระจกที่มีชื่อเสียง หรือ Hall of Mirror ของพระราชวังแวร์ซายค่ะ ศิลปะหรูหราในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงถูกยกมาไว้ในห้องสี่เหลี่ยมห้องนี้เกือบทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่เวอร์เกินไปถ้าจะบอกว่า …
“ฉันนั่งจิบน้ำชาในห้องกระจกของพระราชวังแวร์ซายแห่งกรุงลอนดอน”
หลังจากพวกเราสงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง พนักงานก็เชื้อเชิญให้ไปนั่งประจำโต๊ะที่จอง พร้อมยื่นเมนูให้ดูรายละเอียดของชุดน้ำชายามบ่าย The London Royal Tea (คนละ 42 ปอนด์) ที่เราจองกันในวันนี้
มิ้ง โป่ง และโบว์
ขั้นตอนแรกเริ่มด้วยการสั่งประเภทของน้ำชาที่จะดื่ม ซึ่งมีให้เลือกทั้ง House Blend (ใบชาที่ผสมเอง), Black Tea และ Green Tea หนึ่งโถจะรินได้ประมาณ 2-3 ถ้วย ซึ่งถ้าหมดโถแล้ว เราสั่งน้ำชาเพิ่มได้ ไม่คิดเงินเพิ่ม และยังเปลี่ยนประเภทของใบชาได้อีกด้วยค่ะ
หลังจากนั้นพนักงานก็จะเริ่มเสริฟ์อาหารคาว หรือ Tea Sandwiches ที่ประกอบไปด้วย cucumber cream cheese & beetroot, prawn brigade spices & London honey, Smoked “Wilde” salmon & quail’s egge, Smoked wild boar, English mustard & crackling …. ทุกชิ้นที่พูดมา ขอเติมได้ทั้งหมด หรือจะเลือกเติมเเฉพาะบางชิ้นที่ชอบก็ได้เช่นกันค่ะ
ในระหว่างที่กินของคาว เราก็พูดคุยออกรสชาติกันไปตามประสา โบว์เล่าถึงประสบการณ์จิบน้ำชาที่อื่นๆในลอนดอนให้ฟัง โป่งมองหามุมถ่ายเซลฟี่อวดเพื่อนๆในอินสตราแกรม ส่วนมิ้งคอยถ่ายรูปเก็บข้อมูล และฉันเดินสังเกตุการณ์เก็บรูปภาพภายในห้องมาฝากกันค่ะ
เคาน์เตอร์ไวน์ และแชมเปญ ซึ่งเราจะสั่งพร้อมกับชุดน้ำชายามบ่ายก็ได้ แต่ราคาต่อเซ็ตจะสูงขึ้นค่ะ
และทันใดนั้นก็มีเสียงเปียโนพลิ้วเบาดังขึ้น เสียงเพลงเพราะเสนาะหู และที่สำคัญฉันร้องคลอตามได้หลายเพลงเลยค่ะ ^^
ถัดมาเป็น Pre-Dessert ซึ่งจะเป็น Fruit Tea และ Crown Biscuit ที่มาล้างปาก ปรับสภาพกรดด่าง ให้พร้อมรับรสกับเมนูต่ออไปที่กำลังจะเสริฟ์
Scones เป็นขนมว่างจานต่อไป ประกอบด้วย Traditional golden raisin (สโคนใส่ลูกเกด) และ plain scones (สโคนธรรมดา) ที่ห่อมาในผ้าสีขาว เพื่อรักษาอุณหภูมิ และเสริฟ์พร้อมกับ Clotted cream ครีมสดเข้มข้น กับแยมสตอร์เบอร์รี่ หรือ Strawberry preserve ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้เลยของ Afternoon Tea
พอมาถึงเซ็ตนี้ บอกตามตรงว่า ฉันก็เริ่มอิ่มแปร้แล้วค่ะ ปริมาณที่ให้ดูเหมือนน้อย แต่จริงๆเยอะเลยเชียว … ฉันหยิบสโคนแบบธรรมดามากินได้เพียงครึ่งชิ้นเพื่อดูเนื้อแป้ง และรสชาติ และก็ต้องวางลง เพราะเรายังมีเซ็ตขนมหวานที่หมายตาเป็นเซ็ตสุดท้ายอีก
แต่ก่อนจะผ่านไปยังเซ็ตขนมหวาน ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่กลางห้อง … ชายคนนี้เป็นคนที่ยิ้มให้กับเราที่ด้านหน้าห้องนั่นเอง เขาแต่งชุดเสี้อสูทสีแดง ผมสีดอกเลา และใบหน้าใจดี เขากำลังประกาศเสียงดัง บอกเล่าประวัติของห้องนี้ให้กับแขกที่นั่งอยู่ในขณะนั้นฟัง และเขาก็คือ Toastmaster หรือชายผู้คอยประกาศชื่อแขกยามเมื่อเดินเข้างานสำคัญในอดีต และยังทำหน้าที่เป็น Entertainer ของห้องนี้ ที่คอยเดินมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเราอีกด้วยค่ะ
และแล้ว Delicacies & Cake เซ็ตขนมหวานชุดสุดท้ายก็ถูกวางลงตรงหน้า พร้อมกับกระเพาะของฉันที่เหลือที่น้อยลงไปทุกที แต่เพราะทีมของเรามี มิ้ง และโบว์ สองสาวที่เป็นสายแข็งด้านขนมหวาน เธอทั้งสองจึงกินขนมทุกชิ้น ชิมทุกอย่างได้อย่างเอร็ดอร่อย และหันมาบอกกับฉันว่า ขนมที่นี่อร่อยมากค่ะพี่ กินได้ทุกชิ้นไม่มีเหลือเลย ยัม ยัม …
Underground Macaroon ชิ้นเด็ดที่ฉันยอมกินอยู่ชิ้นเดียวในเซ็ตขนมหวานทั้งหมด 555
Spitfire lollipop อมยิ้มสีรุ้ง
Raspberry “Regent” ชิ้นที่น้องๆลงมติว่าอร่อยที่สุด
และอื่นๆอีกมากมายค่ะ
บทสรุปของชุดน้ำชายามบ่ายของ Hotel Café Royal ฉันเทหัวใจให้ 5/5 เต็มค่ะ แซนด์วิชซึ่งเป็นอาหารคาวอร่อย และรสชาติดีทุกชิ้น ขนมหวานก็เยี่ยม (ตามคำบอกเล่าของสองสาว) แถมบริการก็ผู้ดีสุดๆ และยังปฏิบัติถูกต้องตามขนบประเพณีของอังกฤษอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ห้อง Oscar Wilde Bar ก็งดงามไร้ที่ติด แล้วอย่างนี้จะไม่ให้คะแนนเต็มก็กระไรอยู่
ก่อนจบ …. ฝากข้อมูลของ Afternoon Tea จากเมนูของร้านให้อ่านกันเล่นๆค่ะ เผื่อใครสนใจประวัติ และเรื่องราว รวมถึงมารยาทของการจิบน้ำชาแบบผู้ดีอังกฤษอีกด้วย
ที่ตั้ง 68 REGENT STREET, LONDON W1B 4DY
โทรศัพท์ +44 (0)20 7406 3333
ราคาเซ็ตละ 42+ ปอนด์ (Service Charge 12.5%)
เปิด ปิด Afternoon Tea 12.00-17.00 น.
www.hotelcaferoyal.com
Related Posts: