บ่ายวันหนึ่งที่อากาศอบอุ่นของลอนดอน ฉันหยิบโทรศัพท์โทรหาสำนักงานการบินไทย เลื่อนตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพไปอีกหนึ่งอาทิตย์ และหลังจากวางสาย ฉันก็เริ่มกระบวนการจองตั๋วและหาที่พักในเมืองหลวงแห่งสกอตแลนด์ เมืองใหญ่อันดับ 6 ของสหราชอาณาจักร “เอดินบะระ” Here I come …
เพียง 1 ชั่วโมง 20 นาที ฉันและหลานสาวก็มาถึงเอดินบะระโดยสวัสดิภาพด้วยสายการบิน Easy Jet สายการบินต้นทุนต่ำของ British Airways ที่หลานสาวบอกว่า เชื่อใจได้น้า … ปลอดภัย และนักเรียนไทยใช้กันเยอะ
รูปภาพจากอินเตอร์เน็ต
ฉันเดินทางเข้าเมืองด้วยรถรางไฟฟ้า (Tram) ที่จอดสงบนิ่งรอผู้โดยสารอยู่ด้านสนามบิน …
รถรางไฟฟ้าสายนี้วิ่งไปกลับอย่างขยันขันแข็ง พาผู้โดยสารจากสนามบินนานาชาติเอดินบะระเข้าสู่เมืองหลวงของสกอตแลนด์ภายในเวลา 25 นาที ในราคาเพียง 8 ปอนด์ต่อคนเท่านั้นค่ะ (ตั๋วไป-กลับ)
รูปจากอินเตอร์เน็ต
เอดินบะระ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของประเทศสกอตแลนด์ มีชายฝั่งติดกับทะลเหนือ ซึ่งวิวของท้องทะเลสีฟ้าคราม มองเห็นได้จากเนินเขาภายในเมือง ^^
รูปจากอินเตอร์เน็ต
ก่อนมาเอดินบะระ ฉันวาดภาพเมืองหลวงและเมืองมรดกโลกแห่งนี้ว่า … คงเต็มไปด้วยแสงสีตระการตา ใกล้เคียงกับเมืองพี่ ลอนดอน … ซึ่งบอกเลยว่า ฉันคิดผิดค่ะ
ศูนย์กลางของเอดินบะระแบ่งออกเป็นเมืองเก่า (Old Town) และ เมืองใหม่ (New Town)
บรรยากาศของเมืองเก่าดูมืดดำ ตึกอาคารสีทมึนเหมือนไม่ได้ขัดล้างมาหลายร้อยปี อารมณ์ของเมืองดูขลังไปด้วยพลังลึกลับ จนทัวร์ผี ไกด์ผี (คนที่แต่งตัวเป็นผี ไม่ใช่ไกด์เถื่อนนะคะ 555) เดินกันพล่านเมือง กลายเป็นกิจกรรมสนุกให้กับท่องเที่ยว
ต่างจากเมืองใหม่ (New Town) ที่สร้างขึ้นในภายหลังเพื่อรองรับประชากรที่ขยายตัวมากขึ้น การวางผังเมืองของย่านนี้ออกแบบมาเป็นอย่างดี พื้นที่ถูกตีเป็นตารางหมากรุกสี่เหลี่ยม จึงเดินง่ายและไม่หลงเลยค่ะ
ถึงแม้อารมณ์ของทั้งสองย่านจะต่างกัน แต่เมื่อรวมกันแล้ว เวลาของที่นี่จะเดินช้ากว่าลอนดอน เอดินบะระจึงน่าจะเป็นเมืองหลวงที่ Slow life ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกค่ะ
พื้นที่สีเทาเป็นย่านเมืองใหม่ ที่ถนนตัดแบ่งอย่างเป็นระเบียบ และพื้นที่สีเขียวเป็นย่านเมืองเก่า ถนนคดเคี้ยวตามเนินเขา
www.map-of-europe.net
Ballantrae Hotel เป็นโรงแรมที่เราจะฝากชีวิตด้วยกันสามคืน โรงแรมนี้ตั้งอยู่ในย่านเมืองใหม่ เป็นโรงแรมสามดาวที่ราคาสี่ดาว เพราะเราจองกันกะทันหันไฟลนก้นก่อนเดินทางมาได้ไม่กี่วัน (คืนละ 6,000-7,000 บาท)
โลเคชั่นเป็นข้อบวกของโรงแรมนี้ … ด้านหน้าโรงแรมมีสถานีจอดรถประจำทาง เช่นเดียวสถานีปลายทางของรถรางไฟฟ้าจากสนามบิน … เพียง 7 นาทีเท่านั้น ฉันก็เดินไปถึงถนนช้อปปิ้งหลัก Princess Street ของย่านเมืองใหม่
โรงแรมเราอยู่ที่สถานี York Place สถานีสุดท้าย
รูปจากอินเตอร์เน็ต
ข้อลบของ Ballantrae Hotel คือห้องพักที่ติดริมถนน จะได้ยินเสียงรถราและผู้คนตอนกลางคืนเป็นระยะ แม้เสียงรบกวนจะไม่ดังสนั่น แต่ในช่วงฤดูร้อนที่ต้องแง้มหน้าต่างรับลมเย็น เพราะที่นี่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เสียงพูดคุยของคนเดินถนน ก็ทำให้ตื่นได้ และอีกข้อเสียของที่นี่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของโรงแรมที่ปรับจากตึกเก่ามาเป็นที่พัก ก็คือ ไม่มีลิฟท์ค่ะ!!! ดังนั้นฉันจึงต้องขนกระเป๋าขึ้นมาเองจากชั้นล่างถึงชั้น 4 ที่เป็นห้องพัก … เล่นเอาหอบแฮ็กๆอยู่เหมือนกัน
Day 1
วันแรกในเมืองหลวงของสกอตแลนด์ ฉันจะพาไปท่องเมืองใหม่ (New Town) กันค่ะ
แผนผังของเมืองใหม่นั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่เกริ่นไว้ มีถนนสายยาวสำคัญๆอยู่ 3 เส้น Princess Street, Rose Street และ George Street … (พื้นที่ระบายสีเทาค่ะ)
ย่านนี้เป็นที่ตั้งของความบันเทิง ร้านอาหาร ผับและบาร์ รวมถึงแหล่งช้อปปิ้งแบรนด์ดังของอังกฤษ ห้างสรรพสินค้า … เปรียบได้ดัง Oxford Street ของลอนดอน ทว่าความพลุกพล่านและความแออัดน้อยกว่ากันหลายเท่าตัวค่ะ
Scott Monument เป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองใหม่ อนุสาวรีย์สีดำทมึนปลายแหลมนี้ เป็นสถาปัตยกรรมแบบวิคทอเรีย-กอธิค จึงดูหยดย้อยและน่าเกรงขาม ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับนักเขียนชื่อดังชาวสกอต Sir Walter Scott
ใกล้ๆกันกับอนุสาวรีย์แห่งนี้ เป็นลานเขียวขจีของ Princess Gardens สวนสาธารณะที่ชาวเอดินบะระแวะมาผึ่งแดดกันในวันอากาศดี
สวนนี้มีผืนหญ้าสีเขียวชอุ่มตัดกับแนวหน้าผาสีทมึน ดูแล้วสะดุดตามากค่ะ ยิ่งบนหน้าผาสูงนั้น เป็นที่ตั้งของปราสาทเอดินบะระ (Edinburge Castle) ปราสาทต้นแบบของ Hogwart School ยิ่งทำให้เมืองนี้ดูน่าเกรงขามและลึกลับดังเทพนิยายขึ้นอีกเป็นกอง
มื้อเที่ยงของวันนี้ฉันมีร้านอร่อยสไตล์ English Pub มาให้กินกัน The Kenilworth ตั้งอยู่บน Rose Street ถนนสำคัญหนึ่งในสามของเมืองใหม่ อาหารร้านนี้อร่อยถูกใจฉันมากค่ะ (152-154 Rose Street)
Macaroni & Cheese, Signature Steak, พาย และ สลัด ล้วนรสชาติดี เค็มๆ มันๆ ตามสไตล์คนอังกฤษที่ฉันเพิ่งสังเกตุว่ากินอาหารรสเค็มเป็นรสประจำชาติ ยิ่งไปกว่านั้นราคาอาหารยังถูกกว่าลอนดอนประมาณ 30% ปริมาณก็ล้นจาน มื้อเดียวอิ่มพีมีแรงเดินท่องเมืองต่อทันทีค่ะ
อิ่มคาวแล้วก็ต่อหวานกันทันที ^^ Bibi’s Bakery ตั้งอยู่หัวมุมถนน ไม่ไกลจากร้านอาหารกลางวันของเรานัก … สีรุ้งของเค้กที่ทำจากมาการองซึ่งมองเห็นจากถนน ดึงดูดให้ฉันเดินเข้าไปในร้าน โอ้ว … นี่มันสวรรค์เลยนี่นา 555 ภายในร้านมีทั้งเค้ก คัพเค้ก และมาการง ซึ่งหลังจากสอบถามพนักงานสาว เธอแนะนำให้กิน Malteser Slice เค้กสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลอ่อน เคลือบหน้าและสอดไส้ด้วย Malteser ช้อกโกแล็ตลูกกลมๆไส้มอลต์หอมหวาน ชิ้นนี้รสชาติหวานจัด แต่ก็เข้มข้นทุกอณูค่ะ กินแล้วชื่นใจแต่ต้องรีบส่งต่อให้หลานสาวช่วยกันอ้วนในทันที (37 Hanover Street)
ย่านเมืองใหม่ของเอดินบะระยังมีอะไรให้ค้นหาอีกมากมาย ฉันเดินตรงไปเกือบปลาย Princess Street ผ่านร้านค้าและย่านธุรกิจ เช่นเดียวกับสวนสาธารณะ อาคารบ้านเรือน และก็ออฟฟิสใหญ่ของ Bank of Scotland … มาถึงถิ่นทั้งที ก็ต้องขอถ่ายรูปแบงค์สัญชาตินี้ไว้หน่อยใช่ไหมค่ะ
ช่วงบ่ายของวันนี้ ฉันจะพาคุณขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงของเมืองค่ะ เนินเขาลูกนี้ตั้งอยู่ใกล้กับย่านเมืองใหม่ เดินไปถึงได้ภายใน 15-20 นาที และมีชื่อว่า Carlton Hill
ซากเสาโรมันที่ดูคล้ายวิหารพาร์เธอนอนแห่งเอเธนส์ทำให้ฉันนึกว่าที่นี่เป็นเมืองโบราณ แต่ไม่ใช่ค่ะ Carlton Hill เพิ่งจะสร้างวิหารพาร์เธนอนจำลองนี้ในปี 1816 เท่านั้น จุดมุ่งหมายเพื่อระลึกถึงทหารหาญผู้เสียชีวิตในสงครามกับนโปเลียน แต่ด้วยปัจจัยหลายประการ วิหารนี้จึงสร้างไม่เสร็จ ทิ้งเหลือไว้เพียงซากที่เหลือ กลายเป็นแลนด์มาร์คของเนินเขาอย่างในปัจจุบัน
Carlton Hill มีผืนหญ้าเขียวขจีไล่ลงไปตามไหล่เขา ทั้งน่านั่งและนอนเล่น รอบๆเนินยังมีทางเดินเป็นเส้นวงกลม บางมุมเผยให้เห็นวิวของเอดินบะระเกือบทั้งเมือง ดูแล้วเหมือนภาพถ่ายตามโปสการ์ดสวยๆเลยค่ะ
จากมุมนี้เอดินบะระดูเงียบสงบ เป็นเมืองหลวงที่ขนาบด้วยธรรมชาติ ทั้งแผ่นน้ำสีฟ้า แนวเขา และเส้นขอบฟ้าที่เวิ้งว้างอยู่สุดสายตา
เย็นนี้ฉันและหลานสาวกลับไปดินเนอร์กันในเมืองค่ะ คืนนี้เรากินอาหารจีนกันอย่างเอร็ดอร่อย รสชาติอาหารที่เอดินบะระยังไม่ทำให้ผิดหวังเลยสักมื้อ อิ่มแล้วก็เดินกลับโรงแรม เตรียมวางแผนเที่ยวของวันรุ่งขึ้น ก่อนจะหลับฝันดีแม้จะร้อนนิดๆค่ะ
Day 2
พระอาทิตย์ของเอดินบะระขึ้นทางไหนไม่มีใครรู้ ฉันรู้แต่ว่าช่วงวันของฤดูร้อนนั้นยาวนานมาก ฟ้าสางตั้งแต่ตีห้าและตกเกือบสามทุ่ม … มื้อเช้าของวันนี้รวมอยู่ในค่าห้อง ซึ่งเรากินกันจนอิ่มท้องเพราะเช็คลิสต์ที่ยาวเหยียดของวันนี้ค่ะ
เราประเดิมกันที่ Edinburge Castle หรือปราสาทเอดินบะระ ซึ่งตั้งอยู่บนชงอนผา สูงเด่นเหมือนหอคอยแห่งเอดินบะระที่ไม่มีใคร เอื้อมถึง
แฟนๆแฮร์รี่พอตเตอร์คงคุ้นหน้าคุ้นตากันดีเพราะปราสาทแห่งนี้เป็นต้นแบบของ Howgwart School โรงเรียนของพ่อมดน้อยที่เห็นครั้งใดจินตนาการก็ฟุ้งกระจายขึ้นมาทุกครั้งไป และด้วยความป๊อปปูล่าระดับต้นๆของประเทศ คิวซื้อตั๋วในเช้าวันหยุดนี้ จึงยาวเหลือเกิน ตลอด 40 นาทีที่ยืนรอ ฉันก็ต่อว่าตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมไม่จองตั๋วออนไลน์มาก่อนจะได้ไม่เสียเวลาไปเกือบชั่วโมงไปโดยไร้ประสิทธิภาพ
ปราสาทเอดินบะระเดิมทีเป็นป้อมปราการของเมือง มีกำแพงหินล้อมรอบและปืนใหญ่ ปัจจุบันเราเดินรอบกำแพงหินนี้ได้เพื่อชมวิวของเมืองค่ะ
ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากล้นในวันนั้น ฉันหงุดหงิดพอสมควร … พยายามแทรกตัวเข้าไปดูโบส์ถสำคัญ St. Magaret’s Chapel และอีกหลายสถานที่ แต่ก็เที่ยวไม่สนุกเลยค่ะ ดูอะไรก็ไม่ซึมซับเข้าสมอง จึงตัดใจเดินออกมา ไปสำรวจเมืองเก่าแทน
หน้าปราสาทมีร้านขายของที่ระลึกหลายร้าน โปสการ์ดสวยของเมือง และไอศกรีมสกอตแลนด์ที่น่าเสียดาย ฉันไม่ได้ชิมเพราะยังอิ่มอยู่ค่ะ
ถนนสายที่เรากำลังเตร็ดเตร่กันอยู่นี้ มีความสำคัญทั้งในอดีตและปัจจุบัน เป็นถนนที่เชื่อมปราสาทเอดินบะระเข้ากับ พระราชวังฮอรีรูด (Palace of Holyroodhouse) มีชื่อเรียกกันว่า Royal Mile ซึ่งเป็นการรวมถนนสาย Lawn Market, High Street และ Canongate เข้าไว้ด้วยกัน
ชีวิตในย่านเมืองเก่าต่างจากเมืองใหม่อย่างเห็นได้ชัด จำนวนรถยนต์ที่บางตาเพราะถนนสร้างให้คนเดินและให้รถม้าในอดีต … ตึกอาคารสีทึมๆคราบฝุ่นเกาะตามหินเป็นสีดำ ถนนหนทางที่คดเคี้ยว ขึ้นลงเนินเขาชวนให้หลงกันได้ง่ายๆ
เอดินบะระในบริบทนี้ไม่ได้สวยงามและน่ารักเหมือนเมืองเล็กๆในยุโรป แต่ในทางกลับกันกลับดูลึกลับและขลัง อาจด้วยเพราะบรรยากาศที่มืดครึ้มอยู่เป็นนิจด้วยค่ะ
ระหว่างทางฉันเห็นทัวร์ผี ร้านอาหารแฟรงเก็นสไตน์ และรถบัสผีด้วยค่ะ … แน่สิ เมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน บรรยากาศน่ากลัว และเรื่องราวของวิญญานในเมืองใต้ดิน ใครๆก็อยากเอามาเป็นจุดขายกันทั้งนั้นนั่นแหล่ะ
และนั้นเสียงอะไร? แปร็ดปี๊ดจนแก้วหูสั่น … เกือบลืมไปสนิทเลยว่า Scott Piper หรือชายเป่าปีสกอตก็เป็นอีกสัญลักษณ์ของประเทศนี้นี่น่า … นี่ขนาดฉันยืนอยู่ห่างหลายเมตร เสียงยังปั่นขี้หูได้ขนาดนี้ แล้วคนที่เป่านี่ ฉันว่าหูหนวก ไปแล้วค่ะ
ใครอยากถ่ายรูปด้วยก็เข้าไปถ่ายได้นะคะ และช่วยบริจาคสตางค์เล็กๆน้อยๆให้เขาด้วย
และในบางช่วงของ Royal Mile พื้นถนนจะเป็นหินคอบเบิ้ลเหมือนเมืองโบราณทั่วไป ปิดให้เป็นถนนคนเดินอีกด้วยค่ะ
สุนัขพันธุ์ English Cocker Spaniel หรือเจ้าตูบในหนัง Lady and The Tramp ก็มีให้เห็นเรื่อยๆ น่าเสียดายที่ไม่เห็นพันธุ์สกอตติช เทอร์เรียค่ะ
ร้านนี้สะดุดตาฉันมาก หน้าร้านเขียนว่าเป็นผับเล็กที่สุดของสก็อตแลนด์ หรือ The Smallest Pub in Scotland ซึ่งมีขนาด 17 ฟุต x 14 ฟุต ลูกค้าจุในร้านได้ไม่ถึง 20 คน (24 Fleshmarket Close)
คุ๊กกี้เนย Walkers ในกล่องกระดาษพิมพ์ลายสกอตก็เป็นอีกของฝากน่าซื้อที่หาได้ตามร้านขายของบนถนนเส้นนี้ ความหวานและหอมนมเนยของคุ๊กกี้แบรนด์นี้ติดอยู่ในใจฉันตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อมาถึงถิ่นก็ต้องซื้อสิค่ะ และที่นี่ Walkers มีรูปแกะ และสุนัขพันธุ์สกอตเทอร์เรีย ด้วยนะ แล้วจะไม่หอบกลับไปฝากที่บ้านก็ไม่ใช่ฉันแล้วค่ะ (ประวัติของ Walkers)
และในที่สุดเราก็มาถึงปลายทางของ Royal Mile ซึ่งก็คือพระราชวังฮอรีรูด (Palace of Holyroodhouse) … ฉันรีบวิ่งไปที่ประตูเพื่อไปซื้อตั๋ว เพราะกลัวภาวะแน่นขนัดเหมือนปราสาทเอดินบะระ
อ้าดีใจจังค่ะ ที่นี่ไร้ผู้คนเลย แต่เอ๊ะประตูปิด และมีใบติดไว้ด้านหน้าด้วย … กรี๊ด!!! เจ้าฟ้าชายชาลล์มาประทับในช่วงนี้ พระราชวังจึงปิดและไม่เปิดให้เข้าชมมมมมม
โอ๊ย … เห็นแล้วอยากจะร้องไห้ให้ท่านได้ยินค่ะ เผื่อจะส่งทหารมาปล่อยให้กะเหรี่ยงสองคนจากไทยแลนด์เข้าไปเป็นกรณีพิเศษ
พระราชวังฮอลีรูปมีความหมายว่า “กางเขนศักดิ์สิทธิ์” พระราชวงศ์ของอังกฤษยังคงมาประทับที่นี่เป็นระยะๆ โดยเฉพาะในฤดูร้อน … ซึ่งก็คือช่วงวันที่ฉันไปเที่ยวนั่นเอง … ทำไมซื้อลอตเตอร์รี่มันไม่ถูกอย่างนี้บ้างนะ
เที่ยงนี้ฉันมากินที่ Pizza Express ร้านพิซซ่าฟาส์ฟู้ตที่ฉันติดอกติดใจรสชาติมาหลายปี ร้านนี้มีหลายสาขาทั้งที่ลอนดอน สกอตแลน์ และทั่วประเทศอังกฤษค่ะ
หลังจากนั้นฉันก็ไปจิบกาแฟกันต่อที่ The Elephant House คาฟ่ที่กลายเป็นฮ็อตสปอตของเมืองเพราะนวนิยายเด็ก Harry Potter
หน้าร้านมีป้ายใหญ่โตเขียนว่า “ที่นี่เป็นจุดกำเนิดของแฮร์รี่ พอตเตอร์” ในภาษาจีนด้วยค่ะ … โชคดีที่บ่ายวันนั้น คนไม่แน่นนัก ฉันจึงได้โต๊ะในห้องด้านหลัง
บรรยากาศของร้านอบอุ่นเช่นเดียวกับอุณหภูมิภายในร้านค่ะ รูปภาพของ J.K. Rowling ที่มาแจกลายเซ็นต์ติดไว้ที่ผนังทางเดิน
ห้องน้ำที่แฟนๆขีดเขียน หรือวาดรูปพ่อมดน้อย และที่สำคัญหน้าต่างบานใหญ่ที่เห็นวิวของปราสาทเอดินบะระ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ Hogwart School …
ฉันดีใจค่ะที่ร้านนี้ยังคงสภาพเดิมไว้ได้ กาแฟ ชา เค้ก และคุ๊กกี้เนยรูปช้างยังอร่อยอีกด้วย
อีกหนึ่งแลนด์มาร์คสุดท้ายในย่านเมืองเก่าของวันนี้คืออนุสาวรีย์เจ้าหมาตัวนี้ค่ะ … เรื่องราวของบ๊อบบี้ สุนัขที่ภักดีย้อนกลับไปเมื่อ 165 ปีที่แล้ว เจ้าหมาตัวนี้ไม่ยอมทิ้งเจ้าของถึงแม้ในวันที่เขาจะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม (อ่านเรื่องราวของบ๊อบบี้ หัวใจที่ภักดีแห่งเอดินบะระ)
Day 3
เช้าวันกลับมักอากาศดีเสมอ … ใครบางคนพูดไว้
ฟ้าใสกิ๊ก แดดจ้า แต่ไม่ร้อนนะคะ อากาศกำลังดีอยู่ที่ยี่สิบต้นๆ
ตารางเที่ยววันสุดท้ายมีแห่งเดียวค่ะ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ฉันอยากไปมากที่สุด ทำไมนะเหรอ? ก็เพราะมันเป็นจุดที่ควีนอลิซาเบทยังต้องเช็ดน้ำตานะสิค่ะ
Royal Yatch Britannia เปรียบได้ดังบ้านหลังที่สองของท่าน เรือลำนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อควีนอลิซาเบธ และอยู่คู่กับท่านมาเกือบตลอดระยะเวลาการครองราชย์ เรือลำนี้มีความผูกพันกับราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์หลายพระองค์ฮันนีมูนบนเรือลำนี้ รวมทั้งวันดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเจ้าฟ้าชายชาลล์และเจ้าหญิงไดอาน่า
รูปจากอินเตอร์เน็ต
กว่า 44 ปีที่ปฏิบัติหน้าที่ Royal Yatch Britannia สง่างาม และแสดงอำนาจของสหราชอาณาจักรให้ทั่วโลกได้เห็น เป็นความภาคภูมิใจของควีนอย่างที่สุด (รายละเอียดเพิ่มเติมของเรือลำนี้ ภาพถ่ายการตกแต่างข้างในของเรือ รวมถึงสาเหตุของการ ปลดประจำการณ์ อ่านกันได้ในบทความที่ฉันเขียน Royal Yatch Britannia ค่ะ)
กว่าจะชมเรือเสร็จ ก็เป็นเวลาใกล้เที่ยง … เรานั่งรถบัสกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม หยิบตั๋วรถแทรมที่เหลืออยู่ออกมายื่นให้กับพนักงานตรวจตั๋ว และเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติเอดินบะระเพื่อกลับลอนดอนด้วยความอิ่มเอมใจ
ขอบใจนะ เอดินบะระ ที่ดูแลกันอย่างดี ^^
ข้อมูลเพิ่มเติม
- วีซ่าอังกฤษ รวมสกอตแลนด์ด้วยค่ะ ไม่ต้องขอวีซ่าใหม่
- สกุลเงินเหมือนอังกฤษ ใช้เงินปอนด์
- การเดินทางในเอดินบะระระหว่างเมืองใหม่ และเมืองเก่า เดินถึงกันได้ แต่ถ้าไกลออกไป ให้นั่งรถประจำทาง
1 Feb 2016
0 Comments
Edinburgh Guide … ท่องไปในเอดินบะระ
บ่ายวันหนึ่งที่อากาศอบอุ่นของลอนดอน ฉันหยิบโทรศัพท์โทรหาสำนักงานการบินไทย เลื่อนตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพไปอีกหนึ่งอาทิตย์ และหลังจากวางสาย ฉันก็เริ่มกระบวนการจองตั๋วและหาที่พักในเมืองหลวงแห่งสกอตแลนด์ เมืองใหญ่อันดับ 6 ของสหราชอาณาจักร “เอดินบะระ” Here I come …
เพียง 1 ชั่วโมง 20 นาที ฉันและหลานสาวก็มาถึงเอดินบะระโดยสวัสดิภาพด้วยสายการบิน Easy Jet สายการบินต้นทุนต่ำของ British Airways ที่หลานสาวบอกว่า เชื่อใจได้น้า … ปลอดภัย และนักเรียนไทยใช้กันเยอะ
รูปภาพจากอินเตอร์เน็ต
ฉันเดินทางเข้าเมืองด้วยรถรางไฟฟ้า (Tram) ที่จอดสงบนิ่งรอผู้โดยสารอยู่ด้านสนามบิน …
รถรางไฟฟ้าสายนี้วิ่งไปกลับอย่างขยันขันแข็ง พาผู้โดยสารจากสนามบินนานาชาติเอดินบะระเข้าสู่เมืองหลวงของสกอตแลนด์ภายในเวลา 25 นาที ในราคาเพียง 8 ปอนด์ต่อคนเท่านั้นค่ะ (ตั๋วไป-กลับ)
รูปจากอินเตอร์เน็ต
เอดินบะระ ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของประเทศสกอตแลนด์ มีชายฝั่งติดกับทะลเหนือ ซึ่งวิวของท้องทะเลสีฟ้าคราม มองเห็นได้จากเนินเขาภายในเมือง ^^
รูปจากอินเตอร์เน็ต
ก่อนมาเอดินบะระ ฉันวาดภาพเมืองหลวงและเมืองมรดกโลกแห่งนี้ว่า … คงเต็มไปด้วยแสงสีตระการตา ใกล้เคียงกับเมืองพี่ ลอนดอน … ซึ่งบอกเลยว่า ฉันคิดผิดค่ะ
ศูนย์กลางของเอดินบะระแบ่งออกเป็นเมืองเก่า (Old Town) และ เมืองใหม่ (New Town)
บรรยากาศของเมืองเก่าดูมืดดำ ตึกอาคารสีทมึนเหมือนไม่ได้ขัดล้างมาหลายร้อยปี อารมณ์ของเมืองดูขลังไปด้วยพลังลึกลับ จนทัวร์ผี ไกด์ผี (คนที่แต่งตัวเป็นผี ไม่ใช่ไกด์เถื่อนนะคะ 555) เดินกันพล่านเมือง กลายเป็นกิจกรรมสนุกให้กับท่องเที่ยว
ต่างจากเมืองใหม่ (New Town) ที่สร้างขึ้นในภายหลังเพื่อรองรับประชากรที่ขยายตัวมากขึ้น การวางผังเมืองของย่านนี้ออกแบบมาเป็นอย่างดี พื้นที่ถูกตีเป็นตารางหมากรุกสี่เหลี่ยม จึงเดินง่ายและไม่หลงเลยค่ะ
ถึงแม้อารมณ์ของทั้งสองย่านจะต่างกัน แต่เมื่อรวมกันแล้ว เวลาของที่นี่จะเดินช้ากว่าลอนดอน เอดินบะระจึงน่าจะเป็นเมืองหลวงที่ Slow life ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกค่ะ
พื้นที่สีเทาเป็นย่านเมืองใหม่ ที่ถนนตัดแบ่งอย่างเป็นระเบียบ และพื้นที่สีเขียวเป็นย่านเมืองเก่า ถนนคดเคี้ยวตามเนินเขา
www.map-of-europe.net
Ballantrae Hotel เป็นโรงแรมที่เราจะฝากชีวิตด้วยกันสามคืน โรงแรมนี้ตั้งอยู่ในย่านเมืองใหม่ เป็นโรงแรมสามดาวที่ราคาสี่ดาว เพราะเราจองกันกะทันหันไฟลนก้นก่อนเดินทางมาได้ไม่กี่วัน (คืนละ 6,000-7,000 บาท)
โลเคชั่นเป็นข้อบวกของโรงแรมนี้ … ด้านหน้าโรงแรมมีสถานีจอดรถประจำทาง เช่นเดียวสถานีปลายทางของรถรางไฟฟ้าจากสนามบิน … เพียง 7 นาทีเท่านั้น ฉันก็เดินไปถึงถนนช้อปปิ้งหลัก Princess Street ของย่านเมืองใหม่
โรงแรมเราอยู่ที่สถานี York Place สถานีสุดท้าย
รูปจากอินเตอร์เน็ต
ข้อลบของ Ballantrae Hotel คือห้องพักที่ติดริมถนน จะได้ยินเสียงรถราและผู้คนตอนกลางคืนเป็นระยะ แม้เสียงรบกวนจะไม่ดังสนั่น แต่ในช่วงฤดูร้อนที่ต้องแง้มหน้าต่างรับลมเย็น เพราะที่นี่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เสียงพูดคุยของคนเดินถนน ก็ทำให้ตื่นได้ และอีกข้อเสียของที่นี่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของโรงแรมที่ปรับจากตึกเก่ามาเป็นที่พัก ก็คือ ไม่มีลิฟท์ค่ะ!!! ดังนั้นฉันจึงต้องขนกระเป๋าขึ้นมาเองจากชั้นล่างถึงชั้น 4 ที่เป็นห้องพัก … เล่นเอาหอบแฮ็กๆอยู่เหมือนกัน
Day 1
วันแรกในเมืองหลวงของสกอตแลนด์ ฉันจะพาไปท่องเมืองใหม่ (New Town) กันค่ะ
แผนผังของเมืองใหม่นั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่เกริ่นไว้ มีถนนสายยาวสำคัญๆอยู่ 3 เส้น Princess Street, Rose Street และ George Street … (พื้นที่ระบายสีเทาค่ะ)
ย่านนี้เป็นที่ตั้งของความบันเทิง ร้านอาหาร ผับและบาร์ รวมถึงแหล่งช้อปปิ้งแบรนด์ดังของอังกฤษ ห้างสรรพสินค้า … เปรียบได้ดัง Oxford Street ของลอนดอน ทว่าความพลุกพล่านและความแออัดน้อยกว่ากันหลายเท่าตัวค่ะ
Scott Monument เป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองใหม่ อนุสาวรีย์สีดำทมึนปลายแหลมนี้ เป็นสถาปัตยกรรมแบบวิคทอเรีย-กอธิค จึงดูหยดย้อยและน่าเกรงขาม ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับนักเขียนชื่อดังชาวสกอต Sir Walter Scott
ใกล้ๆกันกับอนุสาวรีย์แห่งนี้ เป็นลานเขียวขจีของ Princess Gardens สวนสาธารณะที่ชาวเอดินบะระแวะมาผึ่งแดดกันในวันอากาศดี
สวนนี้มีผืนหญ้าสีเขียวชอุ่มตัดกับแนวหน้าผาสีทมึน ดูแล้วสะดุดตามากค่ะ ยิ่งบนหน้าผาสูงนั้น เป็นที่ตั้งของปราสาทเอดินบะระ (Edinburge Castle) ปราสาทต้นแบบของ Hogwart School ยิ่งทำให้เมืองนี้ดูน่าเกรงขามและลึกลับดังเทพนิยายขึ้นอีกเป็นกอง
มื้อเที่ยงของวันนี้ฉันมีร้านอร่อยสไตล์ English Pub มาให้กินกัน The Kenilworth ตั้งอยู่บน Rose Street ถนนสำคัญหนึ่งในสามของเมืองใหม่ อาหารร้านนี้อร่อยถูกใจฉันมากค่ะ (152-154 Rose Street)
Macaroni & Cheese, Signature Steak, พาย และ สลัด ล้วนรสชาติดี เค็มๆ มันๆ ตามสไตล์คนอังกฤษที่ฉันเพิ่งสังเกตุว่ากินอาหารรสเค็มเป็นรสประจำชาติ ยิ่งไปกว่านั้นราคาอาหารยังถูกกว่าลอนดอนประมาณ 30% ปริมาณก็ล้นจาน มื้อเดียวอิ่มพีมีแรงเดินท่องเมืองต่อทันทีค่ะ
อิ่มคาวแล้วก็ต่อหวานกันทันที ^^ Bibi’s Bakery ตั้งอยู่หัวมุมถนน ไม่ไกลจากร้านอาหารกลางวันของเรานัก … สีรุ้งของเค้กที่ทำจากมาการองซึ่งมองเห็นจากถนน ดึงดูดให้ฉันเดินเข้าไปในร้าน โอ้ว … นี่มันสวรรค์เลยนี่นา 555 ภายในร้านมีทั้งเค้ก คัพเค้ก และมาการง ซึ่งหลังจากสอบถามพนักงานสาว เธอแนะนำให้กิน Malteser Slice เค้กสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลอ่อน เคลือบหน้าและสอดไส้ด้วย Malteser ช้อกโกแล็ตลูกกลมๆไส้มอลต์หอมหวาน ชิ้นนี้รสชาติหวานจัด แต่ก็เข้มข้นทุกอณูค่ะ กินแล้วชื่นใจแต่ต้องรีบส่งต่อให้หลานสาวช่วยกันอ้วนในทันที (37 Hanover Street)
ย่านเมืองใหม่ของเอดินบะระยังมีอะไรให้ค้นหาอีกมากมาย ฉันเดินตรงไปเกือบปลาย Princess Street ผ่านร้านค้าและย่านธุรกิจ เช่นเดียวกับสวนสาธารณะ อาคารบ้านเรือน และก็ออฟฟิสใหญ่ของ Bank of Scotland … มาถึงถิ่นทั้งที ก็ต้องขอถ่ายรูปแบงค์สัญชาตินี้ไว้หน่อยใช่ไหมค่ะ
ช่วงบ่ายของวันนี้ ฉันจะพาคุณขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงของเมืองค่ะ เนินเขาลูกนี้ตั้งอยู่ใกล้กับย่านเมืองใหม่ เดินไปถึงได้ภายใน 15-20 นาที และมีชื่อว่า Carlton Hill
ซากเสาโรมันที่ดูคล้ายวิหารพาร์เธอนอนแห่งเอเธนส์ทำให้ฉันนึกว่าที่นี่เป็นเมืองโบราณ แต่ไม่ใช่ค่ะ Carlton Hill เพิ่งจะสร้างวิหารพาร์เธนอนจำลองนี้ในปี 1816 เท่านั้น จุดมุ่งหมายเพื่อระลึกถึงทหารหาญผู้เสียชีวิตในสงครามกับนโปเลียน แต่ด้วยปัจจัยหลายประการ วิหารนี้จึงสร้างไม่เสร็จ ทิ้งเหลือไว้เพียงซากที่เหลือ กลายเป็นแลนด์มาร์คของเนินเขาอย่างในปัจจุบัน
Carlton Hill มีผืนหญ้าเขียวขจีไล่ลงไปตามไหล่เขา ทั้งน่านั่งและนอนเล่น รอบๆเนินยังมีทางเดินเป็นเส้นวงกลม บางมุมเผยให้เห็นวิวของเอดินบะระเกือบทั้งเมือง ดูแล้วเหมือนภาพถ่ายตามโปสการ์ดสวยๆเลยค่ะ
จากมุมนี้เอดินบะระดูเงียบสงบ เป็นเมืองหลวงที่ขนาบด้วยธรรมชาติ ทั้งแผ่นน้ำสีฟ้า แนวเขา และเส้นขอบฟ้าที่เวิ้งว้างอยู่สุดสายตา
เย็นนี้ฉันและหลานสาวกลับไปดินเนอร์กันในเมืองค่ะ คืนนี้เรากินอาหารจีนกันอย่างเอร็ดอร่อย รสชาติอาหารที่เอดินบะระยังไม่ทำให้ผิดหวังเลยสักมื้อ อิ่มแล้วก็เดินกลับโรงแรม เตรียมวางแผนเที่ยวของวันรุ่งขึ้น ก่อนจะหลับฝันดีแม้จะร้อนนิดๆค่ะ
Day 2
พระอาทิตย์ของเอดินบะระขึ้นทางไหนไม่มีใครรู้ ฉันรู้แต่ว่าช่วงวันของฤดูร้อนนั้นยาวนานมาก ฟ้าสางตั้งแต่ตีห้าและตกเกือบสามทุ่ม … มื้อเช้าของวันนี้รวมอยู่ในค่าห้อง ซึ่งเรากินกันจนอิ่มท้องเพราะเช็คลิสต์ที่ยาวเหยียดของวันนี้ค่ะ
เราประเดิมกันที่ Edinburge Castle หรือปราสาทเอดินบะระ ซึ่งตั้งอยู่บนชงอนผา สูงเด่นเหมือนหอคอยแห่งเอดินบะระที่ไม่มีใคร เอื้อมถึง
แฟนๆแฮร์รี่พอตเตอร์คงคุ้นหน้าคุ้นตากันดีเพราะปราสาทแห่งนี้เป็นต้นแบบของ Howgwart School โรงเรียนของพ่อมดน้อยที่เห็นครั้งใดจินตนาการก็ฟุ้งกระจายขึ้นมาทุกครั้งไป และด้วยความป๊อปปูล่าระดับต้นๆของประเทศ คิวซื้อตั๋วในเช้าวันหยุดนี้ จึงยาวเหลือเกิน ตลอด 40 นาทีที่ยืนรอ ฉันก็ต่อว่าตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมไม่จองตั๋วออนไลน์มาก่อนจะได้ไม่เสียเวลาไปเกือบชั่วโมงไปโดยไร้ประสิทธิภาพ
ปราสาทเอดินบะระเดิมทีเป็นป้อมปราการของเมือง มีกำแพงหินล้อมรอบและปืนใหญ่ ปัจจุบันเราเดินรอบกำแพงหินนี้ได้เพื่อชมวิวของเมืองค่ะ
ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากล้นในวันนั้น ฉันหงุดหงิดพอสมควร … พยายามแทรกตัวเข้าไปดูโบส์ถสำคัญ St. Magaret’s Chapel และอีกหลายสถานที่ แต่ก็เที่ยวไม่สนุกเลยค่ะ ดูอะไรก็ไม่ซึมซับเข้าสมอง จึงตัดใจเดินออกมา ไปสำรวจเมืองเก่าแทน
หน้าปราสาทมีร้านขายของที่ระลึกหลายร้าน โปสการ์ดสวยของเมือง และไอศกรีมสกอตแลนด์ที่น่าเสียดาย ฉันไม่ได้ชิมเพราะยังอิ่มอยู่ค่ะ
ถนนสายที่เรากำลังเตร็ดเตร่กันอยู่นี้ มีความสำคัญทั้งในอดีตและปัจจุบัน เป็นถนนที่เชื่อมปราสาทเอดินบะระเข้ากับ พระราชวังฮอรีรูด (Palace of Holyroodhouse) มีชื่อเรียกกันว่า Royal Mile ซึ่งเป็นการรวมถนนสาย Lawn Market, High Street และ Canongate เข้าไว้ด้วยกัน
ชีวิตในย่านเมืองเก่าต่างจากเมืองใหม่อย่างเห็นได้ชัด จำนวนรถยนต์ที่บางตาเพราะถนนสร้างให้คนเดินและให้รถม้าในอดีต … ตึกอาคารสีทึมๆคราบฝุ่นเกาะตามหินเป็นสีดำ ถนนหนทางที่คดเคี้ยว ขึ้นลงเนินเขาชวนให้หลงกันได้ง่ายๆ
เอดินบะระในบริบทนี้ไม่ได้สวยงามและน่ารักเหมือนเมืองเล็กๆในยุโรป แต่ในทางกลับกันกลับดูลึกลับและขลัง อาจด้วยเพราะบรรยากาศที่มืดครึ้มอยู่เป็นนิจด้วยค่ะ
ระหว่างทางฉันเห็นทัวร์ผี ร้านอาหารแฟรงเก็นสไตน์ และรถบัสผีด้วยค่ะ … แน่สิ เมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน บรรยากาศน่ากลัว และเรื่องราวของวิญญานในเมืองใต้ดิน ใครๆก็อยากเอามาเป็นจุดขายกันทั้งนั้นนั่นแหล่ะ
และนั้นเสียงอะไร? แปร็ดปี๊ดจนแก้วหูสั่น … เกือบลืมไปสนิทเลยว่า Scott Piper หรือชายเป่าปีสกอตก็เป็นอีกสัญลักษณ์ของประเทศนี้นี่น่า … นี่ขนาดฉันยืนอยู่ห่างหลายเมตร เสียงยังปั่นขี้หูได้ขนาดนี้ แล้วคนที่เป่านี่ ฉันว่าหูหนวก ไปแล้วค่ะ
ใครอยากถ่ายรูปด้วยก็เข้าไปถ่ายได้นะคะ และช่วยบริจาคสตางค์เล็กๆน้อยๆให้เขาด้วย
และในบางช่วงของ Royal Mile พื้นถนนจะเป็นหินคอบเบิ้ลเหมือนเมืองโบราณทั่วไป ปิดให้เป็นถนนคนเดินอีกด้วยค่ะ
สุนัขพันธุ์ English Cocker Spaniel หรือเจ้าตูบในหนัง Lady and The Tramp ก็มีให้เห็นเรื่อยๆ น่าเสียดายที่ไม่เห็นพันธุ์สกอตติช เทอร์เรียค่ะ
ร้านนี้สะดุดตาฉันมาก หน้าร้านเขียนว่าเป็นผับเล็กที่สุดของสก็อตแลนด์ หรือ The Smallest Pub in Scotland ซึ่งมีขนาด 17 ฟุต x 14 ฟุต ลูกค้าจุในร้านได้ไม่ถึง 20 คน (24 Fleshmarket Close)
คุ๊กกี้เนย Walkers ในกล่องกระดาษพิมพ์ลายสกอตก็เป็นอีกของฝากน่าซื้อที่หาได้ตามร้านขายของบนถนนเส้นนี้ ความหวานและหอมนมเนยของคุ๊กกี้แบรนด์นี้ติดอยู่ในใจฉันตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อมาถึงถิ่นก็ต้องซื้อสิค่ะ และที่นี่ Walkers มีรูปแกะ และสุนัขพันธุ์สกอตเทอร์เรีย ด้วยนะ แล้วจะไม่หอบกลับไปฝากที่บ้านก็ไม่ใช่ฉันแล้วค่ะ (ประวัติของ Walkers)
และในที่สุดเราก็มาถึงปลายทางของ Royal Mile ซึ่งก็คือพระราชวังฮอรีรูด (Palace of Holyroodhouse) … ฉันรีบวิ่งไปที่ประตูเพื่อไปซื้อตั๋ว เพราะกลัวภาวะแน่นขนัดเหมือนปราสาทเอดินบะระ
อ้าดีใจจังค่ะ ที่นี่ไร้ผู้คนเลย แต่เอ๊ะประตูปิด และมีใบติดไว้ด้านหน้าด้วย … กรี๊ด!!! เจ้าฟ้าชายชาลล์มาประทับในช่วงนี้ พระราชวังจึงปิดและไม่เปิดให้เข้าชมมมมมม
โอ๊ย … เห็นแล้วอยากจะร้องไห้ให้ท่านได้ยินค่ะ เผื่อจะส่งทหารมาปล่อยให้กะเหรี่ยงสองคนจากไทยแลนด์เข้าไปเป็นกรณีพิเศษ
พระราชวังฮอลีรูปมีความหมายว่า “กางเขนศักดิ์สิทธิ์” พระราชวงศ์ของอังกฤษยังคงมาประทับที่นี่เป็นระยะๆ โดยเฉพาะในฤดูร้อน … ซึ่งก็คือช่วงวันที่ฉันไปเที่ยวนั่นเอง … ทำไมซื้อลอตเตอร์รี่มันไม่ถูกอย่างนี้บ้างนะ
เที่ยงนี้ฉันมากินที่ Pizza Express ร้านพิซซ่าฟาส์ฟู้ตที่ฉันติดอกติดใจรสชาติมาหลายปี ร้านนี้มีหลายสาขาทั้งที่ลอนดอน สกอตแลน์ และทั่วประเทศอังกฤษค่ะ
หลังจากนั้นฉันก็ไปจิบกาแฟกันต่อที่ The Elephant House คาฟ่ที่กลายเป็นฮ็อตสปอตของเมืองเพราะนวนิยายเด็ก Harry Potter
หน้าร้านมีป้ายใหญ่โตเขียนว่า “ที่นี่เป็นจุดกำเนิดของแฮร์รี่ พอตเตอร์” ในภาษาจีนด้วยค่ะ … โชคดีที่บ่ายวันนั้น คนไม่แน่นนัก ฉันจึงได้โต๊ะในห้องด้านหลัง
บรรยากาศของร้านอบอุ่นเช่นเดียวกับอุณหภูมิภายในร้านค่ะ รูปภาพของ J.K. Rowling ที่มาแจกลายเซ็นต์ติดไว้ที่ผนังทางเดิน
ห้องน้ำที่แฟนๆขีดเขียน หรือวาดรูปพ่อมดน้อย และที่สำคัญหน้าต่างบานใหญ่ที่เห็นวิวของปราสาทเอดินบะระ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ Hogwart School …
ฉันดีใจค่ะที่ร้านนี้ยังคงสภาพเดิมไว้ได้ กาแฟ ชา เค้ก และคุ๊กกี้เนยรูปช้างยังอร่อยอีกด้วย
อีกหนึ่งแลนด์มาร์คสุดท้ายในย่านเมืองเก่าของวันนี้คืออนุสาวรีย์เจ้าหมาตัวนี้ค่ะ … เรื่องราวของบ๊อบบี้ สุนัขที่ภักดีย้อนกลับไปเมื่อ 165 ปีที่แล้ว เจ้าหมาตัวนี้ไม่ยอมทิ้งเจ้าของถึงแม้ในวันที่เขาจะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม (อ่านเรื่องราวของบ๊อบบี้ หัวใจที่ภักดีแห่งเอดินบะระ)
Day 3
เช้าวันกลับมักอากาศดีเสมอ … ใครบางคนพูดไว้
ฟ้าใสกิ๊ก แดดจ้า แต่ไม่ร้อนนะคะ อากาศกำลังดีอยู่ที่ยี่สิบต้นๆ
ตารางเที่ยววันสุดท้ายมีแห่งเดียวค่ะ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ฉันอยากไปมากที่สุด ทำไมนะเหรอ? ก็เพราะมันเป็นจุดที่ควีนอลิซาเบทยังต้องเช็ดน้ำตานะสิค่ะ
Royal Yatch Britannia เปรียบได้ดังบ้านหลังที่สองของท่าน เรือลำนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อควีนอลิซาเบธ และอยู่คู่กับท่านมาเกือบตลอดระยะเวลาการครองราชย์ เรือลำนี้มีความผูกพันกับราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์หลายพระองค์ฮันนีมูนบนเรือลำนี้ รวมทั้งวันดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเจ้าฟ้าชายชาลล์และเจ้าหญิงไดอาน่า
รูปจากอินเตอร์เน็ต
กว่า 44 ปีที่ปฏิบัติหน้าที่ Royal Yatch Britannia สง่างาม และแสดงอำนาจของสหราชอาณาจักรให้ทั่วโลกได้เห็น เป็นความภาคภูมิใจของควีนอย่างที่สุด (รายละเอียดเพิ่มเติมของเรือลำนี้ ภาพถ่ายการตกแต่างข้างในของเรือ รวมถึงสาเหตุของการ ปลดประจำการณ์ อ่านกันได้ในบทความที่ฉันเขียน Royal Yatch Britannia ค่ะ)
กว่าจะชมเรือเสร็จ ก็เป็นเวลาใกล้เที่ยง … เรานั่งรถบัสกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม หยิบตั๋วรถแทรมที่เหลืออยู่ออกมายื่นให้กับพนักงานตรวจตั๋ว และเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติเอดินบะระเพื่อกลับลอนดอนด้วยความอิ่มเอมใจ
ขอบใจนะ เอดินบะระ ที่ดูแลกันอย่างดี ^^
ข้อมูลเพิ่มเติม
Related Posts: