Lawry’s The Prime Rib ♥♥♥
พอรู้ว่าเป็นร้านอาหารอเมริกัน ฉันก็พักความอยากไว้บนหิ้งค่ะ
ชื่อเสียงความอร่อยของอาหารประเทศนี้ มักมาพร้อมปริมาณที่พูนจาน แคลลอรี่เกินหมื่น หรือเนื้อวัวไซส์ XL ซึ่งฉันเลี่ยงกินมากว่า 25 ปี!!!
แต่ … สักครั้งในชีวิต กับร้านสเต็กดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก คงเป็นข้อยกเว้นได้ดี
Lawry’s The Prime Rib เป็นร้านอาหารอเมริกันที่ยกระดับได้ห่างไกลจากภาพของไดเนอร์ ในแวนตู้สีเงิน กรรมวิธี การปรุงอาหารก็พิถีพิถันต่างจาก Fast Food ชื่อดังของประเทศนี้
ปัจจุบัน Lawry’s กลายเป็นร้านอาหารอเมริกันที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และมีสาขาอยู่ทั่วโป โดยเฉพาะ เอเชีย ซึ่งมีที่โตเกียว โอซาก้า ไทเป ฮ่องกง เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ค่ะ
ฉันจองโต๊ะของร้านนี้ในเที่ยงวันเสาร์ เพราะคติประจำใจของฉันคือ Healthy Breakfast, Heavy Lunch และ Lite Dinner ดังนั้นมื้อหนักของแต่ละวัน ฉันจึงเลือกกินตอนเที่ยงมากกว่าตอนเย็นเสมอ
บรรยากาศของร้านดูขรึมและจริงจัง บาร์ไม้สีเข้ม แก้วไวน์วิ้งว้าบ เก้าอี้บุผ้าสวยงาม โคมไฟระย้า หรูหราสมฐานะ
เมนูอาหารกลางวันของร้าน เราสั่ง Lunch Set : The Lawry’s Cut ซิกเนเจอร์ของที่นี่ และ White Cod & Hokkaido Scallop จานพิเศษสำหรับเดือนนี้ คู่กับ Atlantic Lobster Tail เป็นจานรองท้อง
ขนมปังร้อนๆ และเนยสด อุ่นเครื่องก่อนมื้อใหญ่ เนยหอม มันและเค็มกำลังดีค่ะ
The Lawry’s Cut (Lunch Set : 108 เหรียญ รวม Spinning Salad และ Yorkshire Pudding)
เนื้อทุกชิ้นของ Lawry’s ใช้เนื้อ USDA Prime Rib ชั้นเลิศ ชิ้นละประมาณ 285 กรัม ทุกชิ้นผ่านการหมัก อย่างพิถีพิถันถึง 21 วัน ก่อนที่จะอบอย่างดี และเสริฟ์ให้กับลูกค้า
ทันทีที่รถเข็นสีเทาถูกเข็นมาอยู่ข้างๆโต๊ะ สัญญานความอร่อยก็เริ่มขึ้นค่ะ
ยกที่ 1 : เชฟผู้ชำนาญงาน จะขมักเขม้น หั่นเนื้อเป็นชิ้นจากก้อนใหญ่บิ๊กเบิ้มให้พอดีจาน อบด้วยเปลวไฟอีกครั้ง ก่อนจะลาดด้วยน้ำซอสหลากหลายชนิด เพื่อให้ได้เนื้อย่างสีน้ำตาลอมแดง หรือ Medium Well ที่เราสั่งค่ะ
ยกที่ 2 : Yorkshier Pudding ถาดปานกลาง จะถูกเสริฟ์ พร้อมกับพนักงานที่หั่นออกเป็น 4 ชิ้นใหญ่ๆ กินคู่กับเนื้อ และมันบด จิ้มน้ำซอส อร่อยและหอมมันที่สุด
และนอกจากตัวประกอบทั้งสอง เนื้อชิ้นนี้ยังมีน้ำจิ้มเป็น Whipped Cream Horseradish เพิ่มความเผ็ด คล้าย วาซาบิ หรือจะเป็นพริกไทยดำ และเกลือสูตรของ Lawry’s ก็ไม่เลวเลย
ถามถึงรสชาติของสเต็ก? บอกเลยว่าอร่อยสมชื่อค่ะ เนื้อนุ่มและชุ่มฉ่ำมาก กลิ่นเนื้อหอมฟุ้ง เคี้ยวแล้วสุขใจ ทำเอาฉันที่เลี่ยงเนื้อมา 25 ปี ยังตัดกินอยู่หลายชิ้นเลยค่ะ … ไม่ผิดหวังจริงๆ
Original Spinning Bowl Salad (รวมอยู่ใน Lunch Set : The Lawry’s Cut)
อีกจานไฮไลท์ของร้าน ที่เรียกรอยยิ้มได้จากทุกโต๊ะ … จานนี้มาพร้อมกับโชว์ปั่นสลัด หรือ Spinning Bowl ซึ่งพนักงานสาวในยูนิฟอร์มสาวใช้ฝรั่งเศส จะคลุกผักสลัดที่ปั่นในชามสีเงินให้เราชมกันที่โต๊ะ
ชามสีเงินใบใหญ่ปั่นอยู่บนน้ำแข็ง ซึ่งความเย็นจะช่วยให้ผักกรอบกริบ ก่อนจะราดด้วยเดรสซิ่ง ซึ่งต้องเทอย่าง มีศิลปะ ยกถ้วยให้สูง เพื่อให้เห็นน้ำซอสไหลย้อยเป็นเส้นลงมา ว่าไปแล้วเทคนิคก็เหมือนวิธีชงชาชักเหมือนกันค่ะ
พนักงานจะคลุกผักต่างๆให้เข้ากัน มะเขือเทศ ผักกาด ผักโขม บีทรู๊ต ไข่ต้ม ให้เข้ากับน้ำสลัดสูตรพิเศษของร้าน หรือ Lawry’s Vintage Dressing ที่สีส้มคล้ายๆกับ Thousand Island แต่รสชาติเปรี้ยวกว่า ก่อนจะเหยาะด้วย พริกไทยดำป่น เผ็ดๆ หอมๆ สูตรพิเศษของร้านอีกเช่นกัน จานนี้ต้องกินด้วยส้อมเย็นจัด ซึ่งพนักงานจะยื่นให้เมื่อเสริฟ์สลัดให้เราแล้ว เป็นอันเสร็จพิธีการ
ส่วนตัวฉันชอบ Croutons หรือขนมปังก้อนเล็กๆในสลัดค่ะ ขนมปังทั้งหอมเนย และมันส์กรอบจริงๆ ผู้จัดการของ ร้านบอกว่าเป็นสูตรพิเศษ ซึ่งนำไปทอด deep fried อีกหลายครั้ง และแขกชอบกันมาก แล้วก็หันมาถามฉันว่า “ยูว์จะเอาไหม จะแบ่งใส่ชามเล็กๆมาให้กินเล่นๆ” … ฉันยิ้มขอบคุณในความมีน้ำใจ แต่ปฏิเสธไม่รับค่ะ แค่นี้ก็อ้วนจะตายอยู่แล้ว!!! ขืนกินทั้งชามอิ่มก่อน Main Course แน่นอน!!!
Atlantic Lobster’s Tail (ราคา 19 เหรียญ ถ้าสั่งพร้อมกับ Main Course แต่ถ้าสั่งแยก ราคาตั้งแต่ 27 – 58 เหรียญตามจำนวนของหาง)
สีสันของหางล็อปสเตอร์สวยจัดจ้าน สะดุดตา เนื้อถูกแงะออกมาและวางอยู่บนเปลือกของหาง เคียงคู่กันเป็นน้ำมันเนย ตัดกินชิ้นเล็กๆ จิ้มกับน้ำมันเนย อร่อยมว๊ากส์ อยากกินอีกสัก 3 หางเลยค่ะ
White Cod & Hokkaido Scallop (58 เหรียญ)
ซีฟู๊ดเป็นอีกเมนูชื่อดังของร้านนี้ ฉันจึงเลือกสั่งปลาค๊อดมากิน หน้าตาของจาน ตกแต่งงดงามเหมือน ร้านมิชลินทั่วไป รสชาติติดเค็ม แต่ก็แต้มด้วยความหวานในซอสอื่นๆที่วาดใส่ในจานนี้ รสชาติให้ผ่านเกณฑ์ค่ะ ไม่ฮือฮาเท่ากับจานเนื้อซึ่งเป็นเมนูเด็ดของร้านแน่นอน
หลังจาก 3 จานนี้ เราอิ่มกันมากค่ะ น่าจะเพราะไม่ได้ทานเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้มาหลายสิบปี ระบบการย่อยจึงต้อง reset ตัวใหม่ เลยไม่ได้ลองขนมหวานเครปซูเซ็ต์ชื่อดัง และนอกจากขนมหวานแล้ว ที่นี่ยังมี Wine Paring กินเคล้ากับเนื้อนุ่ม ซึ่งน่าจะเพิ่มรสชาติความโอชาได้อีกโขค่ะ
บทสรุปของร้านนี้ ฉันให้ใจไป 3.5/5 ดวงค่ะ เนื้อของ Lawry’s ไม่สร้างความผิดหวัง และสมกับที่ยอมกินเนื้อ ส่วน Lobster’s Tail ก็อร่อยมาก จะติดก็เมนูซีฟู๊ดที่ยังไม่ถูกปาก เช่นเดียวกับสลัดที่เทคนิกชนะเลิศ แต่รสชาติปานกลางค่ะ
ที่ตั้ง #04-01/31 Mandarin Gallery, 333A Orchard Road
สถานี Somerset และเดินไปที่ Mandarin Gallery
เปิด ปิด วันอาทิตย์ – วันพฤหัสบดี 11.30 – 22.00 น. วันศุกร์ – วันเสาร์ 11.30 – 22.30 น.
โทรศัพท์ +65 6836 3333
ราคาเฉลี่ยคนละ 120 – 200 เหรียญ
29 Mar 2016
0 Comments
Lawry’s The Prime Rib ราชาสเต็กแห่งอเมริกา – สิงคโปร์, ฮ่องกง, โตเกียว, เกาหลีใต้
Lawry’s The Prime Rib ♥♥♥
พอรู้ว่าเป็นร้านอาหารอเมริกัน ฉันก็พักความอยากไว้บนหิ้งค่ะ
ชื่อเสียงความอร่อยของอาหารประเทศนี้ มักมาพร้อมปริมาณที่พูนจาน แคลลอรี่เกินหมื่น หรือเนื้อวัวไซส์ XL ซึ่งฉันเลี่ยงกินมากว่า 25 ปี!!!
แต่ … สักครั้งในชีวิต กับร้านสเต็กดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก คงเป็นข้อยกเว้นได้ดี
Lawry’s The Prime Rib เป็นร้านอาหารอเมริกันที่ยกระดับได้ห่างไกลจากภาพของไดเนอร์ ในแวนตู้สีเงิน กรรมวิธี การปรุงอาหารก็พิถีพิถันต่างจาก Fast Food ชื่อดังของประเทศนี้
ปัจจุบัน Lawry’s กลายเป็นร้านอาหารอเมริกันที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และมีสาขาอยู่ทั่วโป โดยเฉพาะ เอเชีย ซึ่งมีที่โตเกียว โอซาก้า ไทเป ฮ่องกง เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ค่ะ
ฉันจองโต๊ะของร้านนี้ในเที่ยงวันเสาร์ เพราะคติประจำใจของฉันคือ Healthy Breakfast, Heavy Lunch และ Lite Dinner ดังนั้นมื้อหนักของแต่ละวัน ฉันจึงเลือกกินตอนเที่ยงมากกว่าตอนเย็นเสมอ
บรรยากาศของร้านดูขรึมและจริงจัง บาร์ไม้สีเข้ม แก้วไวน์วิ้งว้าบ เก้าอี้บุผ้าสวยงาม โคมไฟระย้า หรูหราสมฐานะ
เมนูอาหารกลางวันของร้าน เราสั่ง Lunch Set : The Lawry’s Cut ซิกเนเจอร์ของที่นี่ และ White Cod & Hokkaido Scallop จานพิเศษสำหรับเดือนนี้ คู่กับ Atlantic Lobster Tail เป็นจานรองท้อง
ขนมปังร้อนๆ และเนยสด อุ่นเครื่องก่อนมื้อใหญ่ เนยหอม มันและเค็มกำลังดีค่ะ
The Lawry’s Cut (Lunch Set : 108 เหรียญ รวม Spinning Salad และ Yorkshire Pudding)
เนื้อทุกชิ้นของ Lawry’s ใช้เนื้อ USDA Prime Rib ชั้นเลิศ ชิ้นละประมาณ 285 กรัม ทุกชิ้นผ่านการหมัก อย่างพิถีพิถันถึง 21 วัน ก่อนที่จะอบอย่างดี และเสริฟ์ให้กับลูกค้า
ทันทีที่รถเข็นสีเทาถูกเข็นมาอยู่ข้างๆโต๊ะ สัญญานความอร่อยก็เริ่มขึ้นค่ะ
ยกที่ 1 : เชฟผู้ชำนาญงาน จะขมักเขม้น หั่นเนื้อเป็นชิ้นจากก้อนใหญ่บิ๊กเบิ้มให้พอดีจาน อบด้วยเปลวไฟอีกครั้ง ก่อนจะลาดด้วยน้ำซอสหลากหลายชนิด เพื่อให้ได้เนื้อย่างสีน้ำตาลอมแดง หรือ Medium Well ที่เราสั่งค่ะ
ยกที่ 2 : Yorkshier Pudding ถาดปานกลาง จะถูกเสริฟ์ พร้อมกับพนักงานที่หั่นออกเป็น 4 ชิ้นใหญ่ๆ กินคู่กับเนื้อ และมันบด จิ้มน้ำซอส อร่อยและหอมมันที่สุด
และนอกจากตัวประกอบทั้งสอง เนื้อชิ้นนี้ยังมีน้ำจิ้มเป็น Whipped Cream Horseradish เพิ่มความเผ็ด คล้าย วาซาบิ หรือจะเป็นพริกไทยดำ และเกลือสูตรของ Lawry’s ก็ไม่เลวเลย
ถามถึงรสชาติของสเต็ก? บอกเลยว่าอร่อยสมชื่อค่ะ เนื้อนุ่มและชุ่มฉ่ำมาก กลิ่นเนื้อหอมฟุ้ง เคี้ยวแล้วสุขใจ ทำเอาฉันที่เลี่ยงเนื้อมา 25 ปี ยังตัดกินอยู่หลายชิ้นเลยค่ะ … ไม่ผิดหวังจริงๆ
Original Spinning Bowl Salad (รวมอยู่ใน Lunch Set : The Lawry’s Cut)
อีกจานไฮไลท์ของร้าน ที่เรียกรอยยิ้มได้จากทุกโต๊ะ … จานนี้มาพร้อมกับโชว์ปั่นสลัด หรือ Spinning Bowl ซึ่งพนักงานสาวในยูนิฟอร์มสาวใช้ฝรั่งเศส จะคลุกผักสลัดที่ปั่นในชามสีเงินให้เราชมกันที่โต๊ะ
ชามสีเงินใบใหญ่ปั่นอยู่บนน้ำแข็ง ซึ่งความเย็นจะช่วยให้ผักกรอบกริบ ก่อนจะราดด้วยเดรสซิ่ง ซึ่งต้องเทอย่าง มีศิลปะ ยกถ้วยให้สูง เพื่อให้เห็นน้ำซอสไหลย้อยเป็นเส้นลงมา ว่าไปแล้วเทคนิคก็เหมือนวิธีชงชาชักเหมือนกันค่ะ
พนักงานจะคลุกผักต่างๆให้เข้ากัน มะเขือเทศ ผักกาด ผักโขม บีทรู๊ต ไข่ต้ม ให้เข้ากับน้ำสลัดสูตรพิเศษของร้าน หรือ Lawry’s Vintage Dressing ที่สีส้มคล้ายๆกับ Thousand Island แต่รสชาติเปรี้ยวกว่า ก่อนจะเหยาะด้วย พริกไทยดำป่น เผ็ดๆ หอมๆ สูตรพิเศษของร้านอีกเช่นกัน จานนี้ต้องกินด้วยส้อมเย็นจัด ซึ่งพนักงานจะยื่นให้เมื่อเสริฟ์สลัดให้เราแล้ว เป็นอันเสร็จพิธีการ
ส่วนตัวฉันชอบ Croutons หรือขนมปังก้อนเล็กๆในสลัดค่ะ ขนมปังทั้งหอมเนย และมันส์กรอบจริงๆ ผู้จัดการของ ร้านบอกว่าเป็นสูตรพิเศษ ซึ่งนำไปทอด deep fried อีกหลายครั้ง และแขกชอบกันมาก แล้วก็หันมาถามฉันว่า “ยูว์จะเอาไหม จะแบ่งใส่ชามเล็กๆมาให้กินเล่นๆ” … ฉันยิ้มขอบคุณในความมีน้ำใจ แต่ปฏิเสธไม่รับค่ะ แค่นี้ก็อ้วนจะตายอยู่แล้ว!!! ขืนกินทั้งชามอิ่มก่อน Main Course แน่นอน!!!
Atlantic Lobster’s Tail (ราคา 19 เหรียญ ถ้าสั่งพร้อมกับ Main Course แต่ถ้าสั่งแยก ราคาตั้งแต่ 27 – 58 เหรียญตามจำนวนของหาง)
สีสันของหางล็อปสเตอร์สวยจัดจ้าน สะดุดตา เนื้อถูกแงะออกมาและวางอยู่บนเปลือกของหาง เคียงคู่กันเป็นน้ำมันเนย ตัดกินชิ้นเล็กๆ จิ้มกับน้ำมันเนย อร่อยมว๊ากส์ อยากกินอีกสัก 3 หางเลยค่ะ
White Cod & Hokkaido Scallop (58 เหรียญ)
ซีฟู๊ดเป็นอีกเมนูชื่อดังของร้านนี้ ฉันจึงเลือกสั่งปลาค๊อดมากิน หน้าตาของจาน ตกแต่งงดงามเหมือน ร้านมิชลินทั่วไป รสชาติติดเค็ม แต่ก็แต้มด้วยความหวานในซอสอื่นๆที่วาดใส่ในจานนี้ รสชาติให้ผ่านเกณฑ์ค่ะ ไม่ฮือฮาเท่ากับจานเนื้อซึ่งเป็นเมนูเด็ดของร้านแน่นอน
หลังจาก 3 จานนี้ เราอิ่มกันมากค่ะ น่าจะเพราะไม่ได้ทานเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้มาหลายสิบปี ระบบการย่อยจึงต้อง reset ตัวใหม่ เลยไม่ได้ลองขนมหวานเครปซูเซ็ต์ชื่อดัง และนอกจากขนมหวานแล้ว ที่นี่ยังมี Wine Paring กินเคล้ากับเนื้อนุ่ม ซึ่งน่าจะเพิ่มรสชาติความโอชาได้อีกโขค่ะ
บทสรุปของร้านนี้ ฉันให้ใจไป 3.5/5 ดวงค่ะ เนื้อของ Lawry’s ไม่สร้างความผิดหวัง และสมกับที่ยอมกินเนื้อ ส่วน Lobster’s Tail ก็อร่อยมาก จะติดก็เมนูซีฟู๊ดที่ยังไม่ถูกปาก เช่นเดียวกับสลัดที่เทคนิกชนะเลิศ แต่รสชาติปานกลางค่ะ
ที่ตั้ง #04-01/31 Mandarin Gallery, 333A Orchard Road
สถานี Somerset และเดินไปที่ Mandarin Gallery
เปิด ปิด วันอาทิตย์ – วันพฤหัสบดี 11.30 – 22.00 น. วันศุกร์ – วันเสาร์ 11.30 – 22.30 น.
โทรศัพท์ +65 6836 3333
ราคาเฉลี่ยคนละ 120 – 200 เหรียญ
Related Posts: