พลังของธรรมชาติช่วยปรับสมดุลของร่างกายอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆค่ะ หนึ่งคืนที่พักร่างในรีสอร์ตออนเซน Lake Shikotsu Tsuruga Resorts & Spa พลังชีวิตถูกชุปขึ้นมาเต็มอัตรา
วันนี้เราขับรถอ้อมภูเขาสีเขียว เลียบริมทะเลสาบในช่วงแรก เพื่อไปยัง Otaru เมืองเล็กที่ใครๆก็บอกว่าน่ารัก พร้อมกับ 6 กิจกรรมสนุกๆที่สูงวัยทั้งสองก็ยังครึ้กครื้นกับเราได้
แอ๊คท่าถ่ายรูปริมคลองโอตารุ คลองวินเทจที่สุดของญี่ปุ่น
ใครมาโอตารุและไม่ได้ถ่ายรูปกับคลองนี่เรียกว่าพลาดอย่างแรงส์ เหมือนไปไอสแลนด์และไม่ได้ชมแสงเหนือ หรือไปปารีสและไม่เห็นหอไอเฟล … แต่ถ้าถ่ายรูปแล้ว และไม่รู้ที่มาก็ถือว่าสอบตกเช่นกันค่ะ
คลองโอตารุแท้จริง เป็นคลองที่เกิดจากการถมทะเลขึ้นมา มิใช่คลองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ในอดีตเขาใช้คลองนี้ในการขนส่งสินค้าเข้าเมืองยามที่ธุรกิจปลาเฮอร์ริ่งยังรุ่งโรจน์
เสน่ห์ของคลองโอตารุไม่ได้อยู่แค่โค้งน้ำที่นิ่งสงบ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นคลองแสนแสบบ้านเราก็คงจะดังระเบิดไปแล้ว แต่บรรยากาศโดยรวมตั้งแต่หัวจรดเท้านี่แหล่ะค่ะที่ทำให้ Otaru Canal มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
เริ่มจากโกดังเก่าที่ถูกอนุรักษ์เป็นอย่างดี สร้างเรียงรายริมคลองสายยาว ไปจนถึงกำแพงหินที่ก่อขึ้นมาสองข้างของคลอง กระถางต้นไม้และดอกไม้สวยงาม ทางเท้ากว้างสองเมตรที่ให้คนเดินปล่อยอารมณ์ชิลๆ รวมไปถึงเสาไฟที่ให้ความสว่างยามค่ำคืน ล้วนส่งให้คลองโอตารุเป็นคลองเก่าที่ได้รับการดูแลอย่างดีและวินเทจที่สุดของญี่ปุ่นเลย
และที่ลานกว้างต้นคลอง ซึ่งมีสะพาน Asakusa อยู่นั้น ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวอีกด้วย ใครอยากรู้อะไรก็เข้าไปถามได้ ขอแผนที่ท่องโอตารุก็ได้เช่นกัน
หรือถ้าเดินข้ามถนนมายับฝั่งตรงข้ามก็จะมีศูนย์อาหาร Denuki Koji ซึ่งโดดเด่นด้วยประภาคารสูง สร้างย้อนยุคไปยัง สมัยเอโดะ ภายในศูนย์อาหารนี้ มีพี่น้องชาวไทยแวะเวียนมากินกันมากหน้าหลายตา ข้อความว่า “อร่อยมาก” “เด็ดที่สุด” เป็นคำโฆษณาที่ร้านอาหารติดไว้ด้านหน้าเพื่อดึงแขกสัญชาติเดียวกัน
อีกกิจกรรมเที่ยวคลองโอตารุ ก็คือการล่องเรือ หรือ Otaru Canal Cruise ซึ่งเปิดเฉพาะฤดูร้อน หรือเดือนมีนาคม – ธันวาคม ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีเท่านั้น เรือแล่นช้าๆ ให้เราได้ถ่ายรูปบรรยากาศของคลองในมุมต่างๆ ใครสนใจลงเรือได้ที่ท่าเรือข้างโรงแรม Nord หรือสอบถามที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (มีค่าใช้จ่ายค่ะ)
นั่งรถลากกับน้องทาเคชิสุดหล่อ สาวๆตะลึง
สาวๆที่ว่านั่นไม่ใช่ใครหรอกค่ะ เป็นสาวที่เหลือน้อยแล้วอย่างฉันนั่นเอง …
ก่อนจะเข้าเรื่องน้องทาเคชิ ฉันมีข้อมูลมาบอกว่า รถลากที่โอตารุนี่เขาทำกันเป็นระบบระเบียบนะคะ
หนึ่ง … คนลากควรพูดภาษาอังกฤษสื่อสารกับคนนั่งได้บ้าง และสอง … เขาจะแนะนำร้านอาหาร หรือร้านขนมอร่อยให้ด้วย ส่วนข้อสุดท้ายเป็นของแถม ที่เขาจะช่วยเป็นตากล้องถ่ายรูปที่ระลึกของเราบนรถลากพร้อมกับวิวงามๆของโอตารุให้เป็นของฝากกลับบ้าน และเมื่อลากเสร็จเขาจะยื่นใบเสร็จ เก็บเงิน 4,000 เยน หรือประมาณ 1,300 บาท พร้อมกับให้สติกเกอร์เป็นของแถมติดไว้กับตัวเป็นที่ระลึก
ระยะเวลาที่ลากก็ประมาณ 20-30 นาทีค่ะ ฉันเลือกขึ้นรถลากที่ต้นถนน Sakaimachi (ซาไกมาชิ) ระยะทาง 1 กิโลเมตร วิ่งมาที่ปลายทางให้สูงวัยได้พักขา ก่อนจะเดินย้อนกลับไปท่องถนนสายนี้
รูปสุดท้ายที่ Marchen Square จตุรัสที่มีประภาคารอยู่ตรงหัวมุม และฉากหลังเป็นหอนาฬิกาของพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี
วกกลับมาที่น้องทาเคชิ ซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริป น้องเป็นเด็กโอตารุค่ะ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ซึ่งสำเนียงเรียกว่าดีเลยเชียว น้องชอบเจอคนใหม่ๆเลยมาเป็นคนลากรถให้กับนักท่องเที่ยว และวันนี้น้องแต่งตัวได้เปรี้ยวถูกใจป้าๆ ใส่กางเกงรัดรูป ซึ่งฉันไม่ได้สังเกตุจนมาเห็นเมื่อเพื่อนๆล้อกันในเฟสบุ๊ค …
และเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อนสาวที่ไปโอตารุก็บอกว่า “ฉันเจอน้องด้วยนะ” แต่คราวนี้น้องใส่กางเกงขายาวไม่โชว์หุ่นโชว์กล้ามแล้วค่ะ
เที่ยวพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีไซส์มหึมา
ก่อนจะไปโอตารุ ฉันจินตนาการพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีชื่อดังแห่งนี้ว่าคงเป็นเพียงร้านค้าขนาดเล็ก ขายแต่สินค้าหลอกล่อนักท่องเที่ยว ซึ่งฉันคิดผิดค่ะ
Otaru Orgel Museum หรือพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีของโอตารุทำกันเป็นล่ำเป็นสัน มีขนาดใหญ่กว่าที่คิดหลายเท่า ขนาดของร้าน เกือบเท่ากับห้องประชุมจุคนได้เป็นร้อยๆ แถมกล่องดนตรีที่วางขายยังมีให้เลือกหลายสไตล์ คือ ผลิตกันจริงๆจังๆ ทั้งรูปแบบและเสียงเพลง ไม่ใช่แค่เพียงนักท่องเที่ยวที่ต้องมา แต่นักสะสมกล่องดนตรีก็ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ
ตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์สร้างจากอิฐสีแดง ตั้งแต่ปี 1912 แต่เดิมเป็นที่ทำการของผู้ค้าข้าวและธัญพืชใหญ่ที่สุดของเกาะฮอกไกโด ข้างในมีด้วยกัน 3 ชั้น จึงบัญญัติให้เป็นอาณาจักรกล่องดนตรีใหญ่ที่สุดที่เคยเห็นมาเลยค่ะ
เปิด ปิด 9.00 – 18.00 น. ทุกวัน และปิด 19.00 น. ในวันศุกร์ และเสาร์
ทอดน่องบนถนนซาไกมาชิ ถนนมดไต่ ผึ้งตอมแห่งโอตารุ
ถนนซาไกมาชิเปรียบได้ดังฮาราจุกุแห่งโตเกียว เพียงแต่ไม่เฟี้ยวฟ้าวเท่าเพราะเขาอนุรักษณ์บ้านเรือนเก่า ทำนุบำรุงให้ใหม่สะอาดตา หยอดความน่าสนใจด้วยร้านขายของ ร้านขายเครื่องแก้วสารพัน และความน่ารักด้วยผู้คน อาหารทะเล ผลไม้น่ากิน และความหวานของร้านขนมนับสิบ จนกลายเป็นถนนที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงที่สุดของญี่ปุ่นเลย …
บรรยากาศของถนนซาไกมาชิ ถนนเส้นสำคัญของโอตารุ ที่มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร
ร้านขายปลาหมึกอร่อยๆ
ร้านขายเมล่อน และข้าวโพดสดๆ
คนขายใจดีให้ชิมฟรี ไม่ซื้อไม่ว่ากัน ยังยิ้มกลับอีกต่างหาก
Kitakaro ร้านขนมเจ้าดังสนั่นของเมือง ชูว์ครีมไส้คัสตาร์ด รสชาติเหมือนเอแคลร์ยักษ์ แต่ที่ชอบเป็น Baumkuchen (บามคูเฮง) หรือเค้กต้นไม้ ขดกลมนั่นแหล่ะค่ะ อร่อย หวานกำลังดี ฉ่ำเนยนิดๆ
Le TAO อีกร้านขนมที่ดังมาก จนมาเปิดสาขาที่สยามพารากอน ร้านหลักของ Le TAO ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน มีเค้กให้เลือกมากมาย จุคนได้เป็นร้อย ใครมาและอยากซื้อกลับ ไม่ต้องหิ้วจากเมืองนี้ให้หนักกระเป๋านะคะ เพราะที่สนามบินมีขายแน่นอน เจ้าชีสเค้กทั้งหลายนี้ พร้อมแพ็คขึ้นเครื่องให้อีกด้วย
Le TAO Chocolate อีกสาขาของ Le TAO ซึ่งอยู่กลางถนนซาไกมาชิ เน้นขายเฉพาะช็อกโกแล็ตค่ะ
จิบโอตารุเบียร์ให้ฉ่ำใจ
หนึ่งในเป้าหมายของทริปนี้ คือ การพิชิตเบียร์ญี่ปุ่นให้ครบในแต่ละเมือง ซึ่งโอตารุเอง ก็มีเบียร์ของเมือง ที่หมักและกลั่นกันสดๆที่โรงเบียร์แห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ในโกดังเก่าริมคลองโอตารุค่ะ
ก่อนมื้อค่ำของคืนนั้น เราแวะไปนั่งจิบเบียร์สดของ Otaru Beer Hall ภายในบรรยากาศของโรงเบียร์ ก่อนจะอิ่มอกอิ่มใจเดินออกมาเพื่อไปกินดินเนอร์อร่อยบนถนนซาไกมาชิ
ที่ตั้ง 5-4 Minatomachi, Otaru 047-0007
เปิด ปิด 11.00 – 23.00 น. ทุกวัน
กระดกวิสกี้ที่ Nikka Whisky Distilleries
โรงงานวิสกี้แห่งนี้ ตั้งอยู่ไม่ห่างจากโอตารุ หรืออยู่ที่เมือง Yoiichi ข้างๆกัน … เราขับรถจากโอตารุไปเพียง 30-40 นาทีเท่านั้นก็ถึงแหล่งผลิตวิสกี้ชั้นนำของญี่ปุ่น
คุณสามีหมายตาโรงงานแห่งนี้ตั้งแต่ก่อนเดินทางมาญี่ปุ่นแล้ว คุณเขาบอกว่า Nikka เป็นหนึ่งในผู้ผลิตวิสกี้ ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลย และมีอยู่หลายขวดที่อยากจะซื้อมาเก็บไว้เป็นขวัญใจประดับชั้นแอลกอฮอล์ของตัวเองด้วย
Nikka Whisky Distilleries ถือกำเนิดเมื่อปี 1934 โดยชายญี่ปุ่น Taketsuru Masataka ผู้ที่ร่ำเรียนวิชาวิสกี้ จากสก็อตแลนด์ดินแดนแหล่งวิสกี้ระดับโลก
หลังจากจอดรถ และส่งตัวคุณสามีให้ไปเดินดูกรรมวิธีการผลิตวิสกี้แล้ว … ฉันและคุณพ่อคุณแม่ก็มานั่งพักขากันที่ชั้น สองของโรงงาน
ชั้นนี้เป็นที่ตั้งของ Whisky Tasting และร้านอาหาร พร้อมกับมีวิสกี้ 4 ชนิดให้เราได้ชิมฟรี แต่กฏระเบียบคือชิมได้คนละแก้วต่อชนิดเท่านั้น และถ้าชอบใจขวดไหน ก็ไปหาซื้อได้ที่ร้านขายของซึ่งอยู่ในอีกตึกใกล้ๆกัน
ป.ล. วิสกี้ที่อยากได้รุ่นที่อยากได้ ไม่มีขายที่ร้านค่ะ รุ่นนี้หมดแทบจะทั่วประเทศญี่ปุ่นเลย
ที่ตั้ง Yoichigun Yoichimachi Kurokawacho 7-6
เปิด ปิด 9.00 – 17.00 น. ทุกวัน
www.nikka.com/eng/
การเดินทางมายังโอตารุ : นั่งรถไฟจากซัปโปโร JR สถานี Sapporo ลงสถานี Otaru ใช้เวลาประมาณ 30 – 40 oาที รถออกทุกๆ 15 – 30 นาที (รถไฟมีสองขบวน Local หรือ Rapid Airport ซึ่งนั่งได้ทั้งสองขวบน) และแนะนำให้ซื้อ Otaru Welcome Pass ของนักท่องเที่ยวเท่านั้นในราคา 1,500 เยน รวม ตั๋วรถไฟ JR หนึ่งวัน และตั๋วรถไฟใต้ดิน ของซัปโปโรหนึ่งวัน ตอนซื้อต้องแสดงหนังสือเดินทาง
3 Aug 2016
0 Comments
6 กิจกรรมสนุกที่ “โอตารุ น่ารัก” – โอตารุ ฮอกไกโด
พลังของธรรมชาติช่วยปรับสมดุลของร่างกายอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆค่ะ หนึ่งคืนที่พักร่างในรีสอร์ตออนเซน Lake Shikotsu Tsuruga Resorts & Spa พลังชีวิตถูกชุปขึ้นมาเต็มอัตรา
วันนี้เราขับรถอ้อมภูเขาสีเขียว เลียบริมทะเลสาบในช่วงแรก เพื่อไปยัง Otaru เมืองเล็กที่ใครๆก็บอกว่าน่ารัก พร้อมกับ 6 กิจกรรมสนุกๆที่สูงวัยทั้งสองก็ยังครึ้กครื้นกับเราได้
แอ๊คท่าถ่ายรูปริมคลองโอตารุ คลองวินเทจที่สุดของญี่ปุ่น
ใครมาโอตารุและไม่ได้ถ่ายรูปกับคลองนี่เรียกว่าพลาดอย่างแรงส์ เหมือนไปไอสแลนด์และไม่ได้ชมแสงเหนือ หรือไปปารีสและไม่เห็นหอไอเฟล … แต่ถ้าถ่ายรูปแล้ว และไม่รู้ที่มาก็ถือว่าสอบตกเช่นกันค่ะ
คลองโอตารุแท้จริง เป็นคลองที่เกิดจากการถมทะเลขึ้นมา มิใช่คลองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ในอดีตเขาใช้คลองนี้ในการขนส่งสินค้าเข้าเมืองยามที่ธุรกิจปลาเฮอร์ริ่งยังรุ่งโรจน์
เสน่ห์ของคลองโอตารุไม่ได้อยู่แค่โค้งน้ำที่นิ่งสงบ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นคลองแสนแสบบ้านเราก็คงจะดังระเบิดไปแล้ว แต่บรรยากาศโดยรวมตั้งแต่หัวจรดเท้านี่แหล่ะค่ะที่ทำให้ Otaru Canal มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
เริ่มจากโกดังเก่าที่ถูกอนุรักษ์เป็นอย่างดี สร้างเรียงรายริมคลองสายยาว ไปจนถึงกำแพงหินที่ก่อขึ้นมาสองข้างของคลอง กระถางต้นไม้และดอกไม้สวยงาม ทางเท้ากว้างสองเมตรที่ให้คนเดินปล่อยอารมณ์ชิลๆ รวมไปถึงเสาไฟที่ให้ความสว่างยามค่ำคืน ล้วนส่งให้คลองโอตารุเป็นคลองเก่าที่ได้รับการดูแลอย่างดีและวินเทจที่สุดของญี่ปุ่นเลย
และที่ลานกว้างต้นคลอง ซึ่งมีสะพาน Asakusa อยู่นั้น ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวอีกด้วย ใครอยากรู้อะไรก็เข้าไปถามได้ ขอแผนที่ท่องโอตารุก็ได้เช่นกัน
หรือถ้าเดินข้ามถนนมายับฝั่งตรงข้ามก็จะมีศูนย์อาหาร Denuki Koji ซึ่งโดดเด่นด้วยประภาคารสูง สร้างย้อนยุคไปยัง สมัยเอโดะ ภายในศูนย์อาหารนี้ มีพี่น้องชาวไทยแวะเวียนมากินกันมากหน้าหลายตา ข้อความว่า “อร่อยมาก” “เด็ดที่สุด” เป็นคำโฆษณาที่ร้านอาหารติดไว้ด้านหน้าเพื่อดึงแขกสัญชาติเดียวกัน
อีกกิจกรรมเที่ยวคลองโอตารุ ก็คือการล่องเรือ หรือ Otaru Canal Cruise ซึ่งเปิดเฉพาะฤดูร้อน หรือเดือนมีนาคม – ธันวาคม ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีเท่านั้น เรือแล่นช้าๆ ให้เราได้ถ่ายรูปบรรยากาศของคลองในมุมต่างๆ ใครสนใจลงเรือได้ที่ท่าเรือข้างโรงแรม Nord หรือสอบถามที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (มีค่าใช้จ่ายค่ะ)
นั่งรถลากกับน้องทาเคชิสุดหล่อ สาวๆตะลึง
สาวๆที่ว่านั่นไม่ใช่ใครหรอกค่ะ เป็นสาวที่เหลือน้อยแล้วอย่างฉันนั่นเอง …
ก่อนจะเข้าเรื่องน้องทาเคชิ ฉันมีข้อมูลมาบอกว่า รถลากที่โอตารุนี่เขาทำกันเป็นระบบระเบียบนะคะ
หนึ่ง … คนลากควรพูดภาษาอังกฤษสื่อสารกับคนนั่งได้บ้าง และสอง … เขาจะแนะนำร้านอาหาร หรือร้านขนมอร่อยให้ด้วย ส่วนข้อสุดท้ายเป็นของแถม ที่เขาจะช่วยเป็นตากล้องถ่ายรูปที่ระลึกของเราบนรถลากพร้อมกับวิวงามๆของโอตารุให้เป็นของฝากกลับบ้าน และเมื่อลากเสร็จเขาจะยื่นใบเสร็จ เก็บเงิน 4,000 เยน หรือประมาณ 1,300 บาท พร้อมกับให้สติกเกอร์เป็นของแถมติดไว้กับตัวเป็นที่ระลึก
ระยะเวลาที่ลากก็ประมาณ 20-30 นาทีค่ะ ฉันเลือกขึ้นรถลากที่ต้นถนน Sakaimachi (ซาไกมาชิ) ระยะทาง 1 กิโลเมตร วิ่งมาที่ปลายทางให้สูงวัยได้พักขา ก่อนจะเดินย้อนกลับไปท่องถนนสายนี้
รูปสุดท้ายที่ Marchen Square จตุรัสที่มีประภาคารอยู่ตรงหัวมุม และฉากหลังเป็นหอนาฬิกาของพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี
วกกลับมาที่น้องทาเคชิ ซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริป น้องเป็นเด็กโอตารุค่ะ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ซึ่งสำเนียงเรียกว่าดีเลยเชียว น้องชอบเจอคนใหม่ๆเลยมาเป็นคนลากรถให้กับนักท่องเที่ยว และวันนี้น้องแต่งตัวได้เปรี้ยวถูกใจป้าๆ ใส่กางเกงรัดรูป ซึ่งฉันไม่ได้สังเกตุจนมาเห็นเมื่อเพื่อนๆล้อกันในเฟสบุ๊ค …
และเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อนสาวที่ไปโอตารุก็บอกว่า “ฉันเจอน้องด้วยนะ” แต่คราวนี้น้องใส่กางเกงขายาวไม่โชว์หุ่นโชว์กล้ามแล้วค่ะ
เที่ยวพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีไซส์มหึมา
ก่อนจะไปโอตารุ ฉันจินตนาการพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีชื่อดังแห่งนี้ว่าคงเป็นเพียงร้านค้าขนาดเล็ก ขายแต่สินค้าหลอกล่อนักท่องเที่ยว ซึ่งฉันคิดผิดค่ะ
Otaru Orgel Museum หรือพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีของโอตารุทำกันเป็นล่ำเป็นสัน มีขนาดใหญ่กว่าที่คิดหลายเท่า ขนาดของร้าน เกือบเท่ากับห้องประชุมจุคนได้เป็นร้อยๆ แถมกล่องดนตรีที่วางขายยังมีให้เลือกหลายสไตล์ คือ ผลิตกันจริงๆจังๆ ทั้งรูปแบบและเสียงเพลง ไม่ใช่แค่เพียงนักท่องเที่ยวที่ต้องมา แต่นักสะสมกล่องดนตรีก็ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ
ตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์สร้างจากอิฐสีแดง ตั้งแต่ปี 1912 แต่เดิมเป็นที่ทำการของผู้ค้าข้าวและธัญพืชใหญ่ที่สุดของเกาะฮอกไกโด ข้างในมีด้วยกัน 3 ชั้น จึงบัญญัติให้เป็นอาณาจักรกล่องดนตรีใหญ่ที่สุดที่เคยเห็นมาเลยค่ะ
เปิด ปิด 9.00 – 18.00 น. ทุกวัน และปิด 19.00 น. ในวันศุกร์ และเสาร์
ทอดน่องบนถนนซาไกมาชิ ถนนมดไต่ ผึ้งตอมแห่งโอตารุ
ถนนซาไกมาชิเปรียบได้ดังฮาราจุกุแห่งโตเกียว เพียงแต่ไม่เฟี้ยวฟ้าวเท่าเพราะเขาอนุรักษณ์บ้านเรือนเก่า ทำนุบำรุงให้ใหม่สะอาดตา หยอดความน่าสนใจด้วยร้านขายของ ร้านขายเครื่องแก้วสารพัน และความน่ารักด้วยผู้คน อาหารทะเล ผลไม้น่ากิน และความหวานของร้านขนมนับสิบ จนกลายเป็นถนนที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงที่สุดของญี่ปุ่นเลย …
บรรยากาศของถนนซาไกมาชิ ถนนเส้นสำคัญของโอตารุ ที่มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร
ร้านขายปลาหมึกอร่อยๆ
ร้านขายเมล่อน และข้าวโพดสดๆ
คนขายใจดีให้ชิมฟรี ไม่ซื้อไม่ว่ากัน ยังยิ้มกลับอีกต่างหาก
Kitakaro ร้านขนมเจ้าดังสนั่นของเมือง ชูว์ครีมไส้คัสตาร์ด รสชาติเหมือนเอแคลร์ยักษ์ แต่ที่ชอบเป็น Baumkuchen (บามคูเฮง) หรือเค้กต้นไม้ ขดกลมนั่นแหล่ะค่ะ อร่อย หวานกำลังดี ฉ่ำเนยนิดๆ
Le TAO อีกร้านขนมที่ดังมาก จนมาเปิดสาขาที่สยามพารากอน ร้านหลักของ Le TAO ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน มีเค้กให้เลือกมากมาย จุคนได้เป็นร้อย ใครมาและอยากซื้อกลับ ไม่ต้องหิ้วจากเมืองนี้ให้หนักกระเป๋านะคะ เพราะที่สนามบินมีขายแน่นอน เจ้าชีสเค้กทั้งหลายนี้ พร้อมแพ็คขึ้นเครื่องให้อีกด้วย
Le TAO Chocolate อีกสาขาของ Le TAO ซึ่งอยู่กลางถนนซาไกมาชิ เน้นขายเฉพาะช็อกโกแล็ตค่ะ
จิบโอตารุเบียร์ให้ฉ่ำใจ
หนึ่งในเป้าหมายของทริปนี้ คือ การพิชิตเบียร์ญี่ปุ่นให้ครบในแต่ละเมือง ซึ่งโอตารุเอง ก็มีเบียร์ของเมือง ที่หมักและกลั่นกันสดๆที่โรงเบียร์แห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ในโกดังเก่าริมคลองโอตารุค่ะ
ก่อนมื้อค่ำของคืนนั้น เราแวะไปนั่งจิบเบียร์สดของ Otaru Beer Hall ภายในบรรยากาศของโรงเบียร์ ก่อนจะอิ่มอกอิ่มใจเดินออกมาเพื่อไปกินดินเนอร์อร่อยบนถนนซาไกมาชิ
ที่ตั้ง 5-4 Minatomachi, Otaru 047-0007
เปิด ปิด 11.00 – 23.00 น. ทุกวัน
กระดกวิสกี้ที่ Nikka Whisky Distilleries
โรงงานวิสกี้แห่งนี้ ตั้งอยู่ไม่ห่างจากโอตารุ หรืออยู่ที่เมือง Yoiichi ข้างๆกัน … เราขับรถจากโอตารุไปเพียง 30-40 นาทีเท่านั้นก็ถึงแหล่งผลิตวิสกี้ชั้นนำของญี่ปุ่น
คุณสามีหมายตาโรงงานแห่งนี้ตั้งแต่ก่อนเดินทางมาญี่ปุ่นแล้ว คุณเขาบอกว่า Nikka เป็นหนึ่งในผู้ผลิตวิสกี้ ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลย และมีอยู่หลายขวดที่อยากจะซื้อมาเก็บไว้เป็นขวัญใจประดับชั้นแอลกอฮอล์ของตัวเองด้วย
Nikka Whisky Distilleries ถือกำเนิดเมื่อปี 1934 โดยชายญี่ปุ่น Taketsuru Masataka ผู้ที่ร่ำเรียนวิชาวิสกี้ จากสก็อตแลนด์ดินแดนแหล่งวิสกี้ระดับโลก
หลังจากจอดรถ และส่งตัวคุณสามีให้ไปเดินดูกรรมวิธีการผลิตวิสกี้แล้ว … ฉันและคุณพ่อคุณแม่ก็มานั่งพักขากันที่ชั้น สองของโรงงาน
ชั้นนี้เป็นที่ตั้งของ Whisky Tasting และร้านอาหาร พร้อมกับมีวิสกี้ 4 ชนิดให้เราได้ชิมฟรี แต่กฏระเบียบคือชิมได้คนละแก้วต่อชนิดเท่านั้น และถ้าชอบใจขวดไหน ก็ไปหาซื้อได้ที่ร้านขายของซึ่งอยู่ในอีกตึกใกล้ๆกัน
ป.ล. วิสกี้ที่อยากได้รุ่นที่อยากได้ ไม่มีขายที่ร้านค่ะ รุ่นนี้หมดแทบจะทั่วประเทศญี่ปุ่นเลย
ที่ตั้ง Yoichigun Yoichimachi Kurokawacho 7-6
เปิด ปิด 9.00 – 17.00 น. ทุกวัน
www.nikka.com/eng/
การเดินทางมายังโอตารุ : นั่งรถไฟจากซัปโปโร JR สถานี Sapporo ลงสถานี Otaru ใช้เวลาประมาณ 30 – 40 oาที รถออกทุกๆ 15 – 30 นาที (รถไฟมีสองขบวน Local หรือ Rapid Airport ซึ่งนั่งได้ทั้งสองขวบน) และแนะนำให้ซื้อ Otaru Welcome Pass ของนักท่องเที่ยวเท่านั้นในราคา 1,500 เยน รวม ตั๋วรถไฟ JR หนึ่งวัน และตั๋วรถไฟใต้ดิน ของซัปโปโรหนึ่งวัน ตอนซื้อต้องแสดงหนังสือเดินทาง
Related Posts: