ปีนี้เก็บ Bucket Lists ได้หลายเมืองเลยค่ะ (ดีใจสุด) และเมืองสุดท้ายของปี 2018 ซึ่งเป็นอ่าวมรดกโลกที่อยากมาเห็นกับตานานแล้ว ก็คืออ่าวฮาลอง หรือ Halong Bay ความภาคภูมิใจของชาวเวียดนามแห่งนี้แหล่ะค่ะ
ทริปฮาลองเบย์เป็นทริปต่อจากฮานอย สองเมืองนี้อยู่ใกล้กันเลยถูกจับให้เป็นฝาแฝด คู่เกลอที่ขาดกันไม่ได้ ใครมาเที่ยวฮานอยก็มักจะแวะมาฮาลองเบย์ และด้วยความที่เดินทางสะดวก ถนนดี นั่งรถบัสหวานเย็นเพียง 3-4 ชั่วโมง คุยกันไปมาแป๊ปเดียวก็มาถึงท่าเรือล่องอ่าวกันแล้ว
แต่ก่อนไปลงเรือที่จับจองกันไว้ เจ้าหน้าที่จัดแจงแจกคียร์คาร์ดของห้องพักให้แขก พร้อมกับ wrist band ให้ใส่กันหลงลงเรือผิด เพราะที่ท่าเรือมีเรือของหลายบริษัท ทอดสมอเรียงกันเป็นแพเลยค่ะ
Paradise Elegance เป็นเรือลำใหม่ล่าสุด (ประมาณ 2 ปี) ของกลุ่มบริษัท Paradise Cruise ที่มีชื่อเสียงและได้รับรีวิวห้าดาวจากนักเดินทางหลายพันคนทั่วโลก บ่ายวันนี้ Paradise Elegance จอดอย่างสงบอยู่ริมอ่าว ความสูงของเรือเทียบได้กับตึก 4-5 ชั้น ทาด้วยสีขาวโพลนจึงดูยิ่งใหญ่และทันสมัยจนความกลัวที่จะเมาเรือเพราะคลื่นลมนั้นลดน้อยลงไปเลยค่ะ
หลังจากถ่ายรูปกันจนหนำใจกับเรือ Paradis Elegance ก่อคิวให้แขกคนอื่นต้องยืนรอขึ้นเรือกันแล้ว พวกเราก็รีบสาวเท้าเข้าเรือและพบว่า “เอ๊ะ มีกลีบกุหลาบโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าหรือไร?” หันไปมองอีกที โอ้ว พนักงานต้อนรับนั่นเองที่ทำหน้าที่สุดโรแมนติกนี้ โปรยกลีบกุหลาบแดงกลิ่นหอมลงจากชั้นดาดฟ้า ปะทะหน้าแขกด้านล่างในขณะที่กำลังก้าวเท้าขึ้นเรือ งานนี้คู่รักถึงกับมีเฮ ส่วนกลุ่มเพื่อนอย่างพวกเราก็หัวเราะเบาๆและยิ้มอ่อนเดินเข้าเรือไป
จุดหมายแรกบนเรืออยู่ที่ห้องอาหารหนึ่งเดียวของลำ Le Marin Restaurant และโต๊ะยาวสำหรับ 10 คนของพวกเราก็ตั้งอยู่หลังสุดของห้อง เหมือนกับจะรู้ว่าเสียงผึ้งแตกรังนั้นจะดังเพียงใด
สักพักพนักงานต้อนรับก็ออกมากล่าวคำสวัสดี อธิบายตารางเที่ยวของวันนี้และพรุ่งนี้คร่าวๆ บอกเวลาดินเนอร์และมื้อเช้า พร้อมกับความปลอดภัยบนเรือ ก่อนจะปิดด้วยรำหมวกของสาวเวียดนามพอเป็นพิธี และเปิดฟลอร์สำหรับมื้อเที่ยงแบบบุฟเฟ่ต์ที่รสชาติพอใช้ได้ค่ะ
หลังจากอิ่มท้องและหนังตาเริ่มห้อย เราก็รีบบ่ายหน้ากลับไปตั้งหลักที่ห้องนอน แบ่งมุมกับเพื่อนแนน กางกระเป๋าและเตรียมตัวไปเที่ยวถ้ำหินงอกหินย้อยในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
Paradise Elegance ตกแต่งภายในเรือด้วยเนื้อไม้สีเข้ม ตัดกับโคมไฟและคันประตูสีทองอร่ามดูหรูหราแต่ก็อบอุ่น ทางเดินไปยังห้องนอนปูยาวด้วยพรมนิ่ม ประตูห้องนอนเป็นระบบคียร์คารด์ปลอดภัยดีค่ะ
คืนนี้เรานอนในห้อง Deluxe Balcony Cabin ที่ดูเรียบง่ายแต่คลาสสิก ในห้องมีเตียงนอนแบบ Twin Bed หัวเตียงบุด้วยหนังสีน้ำตาลเข้ม มี walk in closet ขนาดเล็กและบานหน้าต่างเพิ่มความสว่าง ห้องน้ำแต่งด้วยหินอ่อนสีเหลืองสบายตา ขนาดค่อนข้างเล็กแต่ก็ไม่อึดอัดเท่าห้องน้ำเข่าชนกำแพงเหมือนที่ญี่ปุ่น ส่วนระเบียงชมวิวเป็นพื้นไม้ที่มาพร้อมเช็ตเก้าอี้หวายให้ออกมารับลมแบบส่วนตัว …
หากให้เทียบกับความหรูหราของเรือลำนี้กับโรงแรม 5 ดาวนั้น ก็บอกตรงๆว่า ยังไม่ถึงหรอกค่ะ แต่ถ้าวัดกันที่ 4 ดาวนั้นก็ใช่เลย เอาเป็นว่า อยู่สบาย สะอาดสะอ้าน ปลอดภัย และไม่ผิดหวังแน่นอน (ห้องนอนมีทั้งหมด 31 ห้องทั้งลำ ควรจองก่อนสัก 2 เดือนล่วงหน้าค่ะ)
หลังจากเก็บข้าวของเข้าที่เข้าทาง กางเดรสยาวคืนนี้ให้คลายตัวไม่ยับยู่ยี่ เราก็พร้อมไปลุยถ้ำสวรรค์ หินงอกหินย้อยชื่อดังของฮาลองเบย์กันแล้ว ถึงตอนนี้ทีมเพื่อนก็แตกเป็นสองเสียง กลุ่มแรกขออยู่ดริงส์บนเรือชิลๆ ส่วนกลุ่มของฉันก็มุ่งหน้าไปชมถ้ำกันต่อไป
โผล่หน้าไปหลังเรือ เจอกับเรือแจวมาขายของให้ลูกค้า ดูโลเคิล อารมณ์ตลาดน้ำ (ทะเล) ดี เลยเก็บรูปมากฝากกัน
Sung Sot Cave เป็นถ้ำ a must ของฮาลองเบย์ค่ะ แม้จะเป็นบ่ายวันธรรมดาแต่ก็ยังเต็มไปด้วยผู้คน นักท่องเที่ยวจีนกว่า 80% ยืนแออัดขึ้นบันไดเพื่อเข้าไปในถ้ำ สารภาพเลยว่า อารมรณ์ตอนนั้นเซ็งเป็ดจริงๆ คิดในใจว่า ตูไม่น่ามาเล้ยย นั่งจิบค๊อกเทลอย่างคุณนายอยู่บนเรือสบายตัวกว่า แต่พอเราเดินผ่านเข้าไปยังห้องที่ 3 ห้องใหญ่ที่สุดของถ้ำเท่านั้นแหล่ะ ทุกคนก็อ้าปากค้าง ตาโตกันขึ้นมาทันที ไฮไลท์ของทั้งหมดทั้งปวงอยู่ที่ห้องสุดท้ายนี่เอง!!!
ห้องนี้กว้างใหญ่มากกกก+ ขนาดน่าจะประมาณสนามฟุตบอล 2-3 สนามมารวมกัน ทางเดินที่ลาดปูไปรอบๆถ้ำ ก็พาเราเวียนไปชมแต่ละมุมที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม และที่หัวเราะกันท้องแข็งก็เพราะการท่องเที่ยวเวียดนามนี่ขี้เล่นไม่เบา ใส่กิมมิกด้วยการเพิ่มไฟส่องไปบนหินงอกหินย้อย ที่นอกจากจะทำให้น่าชมขึ้นแล้ว บางจุดยังช่วยให้จินตนาการฟุ้งซ่านตามรูปทรงของหิน แต่ไม่มีหินไหนที่ได้รับความนิยมเท่ากับหินนี้อีกแล้วค่ะ รูปนิ้วชี้ (ใช่ไหม ช่วยบอกที !!!) ที่เรียกเสียงคิกคักจากสาวๆ ได้หลายคนอยู่ 555
วิวจากด้านบนของถ้ำที่โชว์ออฟความงามของฮาลองเบย์ในมุมกว้างงงง
กิจกรรมถัดไปหลังจากกลับขึ้นเรือแล้ว ก็ถึงเวลาของชุดอ๋าวหญ่าย (อ๋าวซ๋าย) ในช่วงซันเซ็ต … กิจกรรมนี้ไม่ต้องบรรยายอะไรมาก เพราะแค่เห็นภาพก็คงรู้ถึงความบ้า (ถ่ายรูป) ของพวกป้า ที่ครองดาดฟ้าทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเรือไปกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็ม … ฝรั่งโต๊ะข้างๆคงถูกใจในความแปลกเลยเดินมาของ IG ของกลุ่มแถมยังรอลุ้นว่าดินเนอร์คืนนี้ แก็งส์ป้าจะเปลี่ยนชุดกันอีกไหม?
และก็แน่นอนว่า ไทยแลนด์ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง … ดินเนอร์หรูจึงต้องมาคู่กับเดรสยาวสมดังที่ฝรั่งรอคอย ฝรั่งเห็นแล้วปรบมือรัวและพูดว่า “You’ve changed (เปลี่ยนชุด จริงๆด้วย)” … ใช่ค่ะ และเราก็แถมด้วยยิ้มสยามอ่อนๆ
อาหารคืนนี้ทางเรือจัดให้เป็นเซ็ต มีให้เลือกระหว่างอาหารฝรั่งและอาหารเวียดนาม แต่ใครอยากจะสลับกันระหว่างสองเซ็ตก็ at your pleasure ค่ะ รสชาติอาหารอร่อยเลย อาหารฝรั่งดูจะได้คะแนนสูงกว่าเวียดนาม เพื่อนฝูงบอกว่าแฮปปี้มาก ไม่ผิดหวัง และยิ่งจิบพร้อมกับ sparkling wine ยิ่งทำให้ค่ำคืนนี้มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
แต่ยังก่อนค่ะ ราตรีนี้ยังไม่เลิกลากันง่ายๆ นานๆทีจะมารวมตัวกันได้ เราจึงไปนั่งดริงส์และคุยกันต่อที่ Piano Bar น่าเสียดายที่คืนวันจันทร์ ไม่มีเปียโนสด แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันเพราะห้องเงียบสงัด เหมือนเป็นของเรากลุ่มเดียวอย่างนี้ ทำให้เม้าทส์กันได้เต็มที่ ครองห้องนี้ไปโดยปริยาย ก่อนจะแยกย้ายกลับห้องก่อนเที่ยงคืนเหมือนนางซินเดอเรลล่า…
ตื่นมาเช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันกลับเข้าฝั่ง ฝนตกกลับพร่ำๆ กิจกรรมรำไทชิบนดาดฟ้าของเรือจึงพับเก็บใส่กระเป๋า เช่นเดียวกับทริปปีนเขาก่อนมื้อเช้าเช่นกัน แต่ถึงแม้จะพลาดสองกิจกรรมไปแต่ความสุขก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยค่ะ เสียงหัวเราะกับเพื่อนๆยังคงดังเหมือนเดิม และเพิ่มมากขึ้นในเวลาที่ตกทุกข์ได้ยากกันเป็นกลุ่มก้อน …
บทสรุปของ Paradise Elegance นั้น ฉันให้คะแนน 3.5/5 ค่ะ เป็นการล่องเรือที่สนุก (มาก) เพราะไปกับเพื่อนที่รู้ใจ อาการเมาเรือก็แทบไม่มี รู้สึกนิดหน่อยว่าเรือแล่น แต่ไม่โคลงเคลงเลยสักนิด การตกแต่ง บริการ และความสะอาด ก็ใช้ได้ค่ะ จะมีติก็ตรงที่น้ำดื่มให้น้อยไปหน่อย ห้องละสองขวดเล็กเท่านั้น ไกด์ที่พาลงไปชมถ้ำก็ไม่ค่อยมีความรู้ เหมือนแค่พาไปส่งและรับกลับ no explanation เลยนะยูว์ ส่วนสัญญานไวไฟก็อ่อนแอ บริการไวไฟฟรีเฉพาะตรงล็อบบี้ ที่พอให้ facetime กลับมาเช็คสามีได้
และถ้าถามว่ารู้สึกยังไงกับฮาลองเบย์bucket lists ที่อยากมาเห็นเหลือเกิน … ก็บอกได้เลยว่าไม่ผิดหวังค่ะ เพราะตั้งความหวังไว้ไม่สูงมาก สิ่งที่ทุกคนพร่ำบอกว่าไม่สวยนั้น ขอเถียงว่าไม่จริงเลย ทัศนียภาพหินปูนที่ขึ้นกลางทะเลนั้นสวยมาก เพียงแค่จำนวนเรือที่ล่องมีเยอะเกินไป บดบังความงามของธรรมชาติ จนทำให้อ่าวมรดกโลกนี้กลายเป็นจุดแออัดในหลายๆมุม แต่ถ้าจะให้ชมก็คงเป็นเรื่องของความสะอาด เท่าที่กวาดตาดู พบเจอขยะน้อยมาก น้ำก็สะอาดน่าเล่นเลยเชียวค่ะ
ที่ตั้ง : Tuan Chau Ward, Halong City, Quang Ninh Province, Vietnam
https://www.paradisecruise.com/paradise-luxury/
ราคาเฉลี่ยคนละ 10,000 บาท รวมค่ารถมาที่ท่าเรือ ค่าอาหาร 3 มื้อบนเรือ และค่าทัวร์ในเรือ แต่ไม่รวมกิจกรรมเช่น สปา และคายัค
29 Dec 2018
0 Comments
นอน “ฮาลอง เบย์” นะ คืนนี้ – Halong Bay Cruise by Paradise Elegance
ปีนี้เก็บ Bucket Lists ได้หลายเมืองเลยค่ะ (ดีใจสุด) และเมืองสุดท้ายของปี 2018 ซึ่งเป็นอ่าวมรดกโลกที่อยากมาเห็นกับตานานแล้ว ก็คืออ่าวฮาลอง หรือ Halong Bay ความภาคภูมิใจของชาวเวียดนามแห่งนี้แหล่ะค่ะ
ทริปฮาลองเบย์เป็นทริปต่อจากฮานอย สองเมืองนี้อยู่ใกล้กันเลยถูกจับให้เป็นฝาแฝด คู่เกลอที่ขาดกันไม่ได้ ใครมาเที่ยวฮานอยก็มักจะแวะมาฮาลองเบย์ และด้วยความที่เดินทางสะดวก ถนนดี นั่งรถบัสหวานเย็นเพียง 3-4 ชั่วโมง คุยกันไปมาแป๊ปเดียวก็มาถึงท่าเรือล่องอ่าวกันแล้ว
แต่ก่อนไปลงเรือที่จับจองกันไว้ เจ้าหน้าที่จัดแจงแจกคียร์คาร์ดของห้องพักให้แขก พร้อมกับ wrist band ให้ใส่กันหลงลงเรือผิด เพราะที่ท่าเรือมีเรือของหลายบริษัท ทอดสมอเรียงกันเป็นแพเลยค่ะ
Paradise Elegance เป็นเรือลำใหม่ล่าสุด (ประมาณ 2 ปี) ของกลุ่มบริษัท Paradise Cruise ที่มีชื่อเสียงและได้รับรีวิวห้าดาวจากนักเดินทางหลายพันคนทั่วโลก บ่ายวันนี้ Paradise Elegance จอดอย่างสงบอยู่ริมอ่าว ความสูงของเรือเทียบได้กับตึก 4-5 ชั้น ทาด้วยสีขาวโพลนจึงดูยิ่งใหญ่และทันสมัยจนความกลัวที่จะเมาเรือเพราะคลื่นลมนั้นลดน้อยลงไปเลยค่ะ
หลังจากถ่ายรูปกันจนหนำใจกับเรือ Paradis Elegance ก่อคิวให้แขกคนอื่นต้องยืนรอขึ้นเรือกันแล้ว พวกเราก็รีบสาวเท้าเข้าเรือและพบว่า “เอ๊ะ มีกลีบกุหลาบโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าหรือไร?” หันไปมองอีกที โอ้ว พนักงานต้อนรับนั่นเองที่ทำหน้าที่สุดโรแมนติกนี้ โปรยกลีบกุหลาบแดงกลิ่นหอมลงจากชั้นดาดฟ้า ปะทะหน้าแขกด้านล่างในขณะที่กำลังก้าวเท้าขึ้นเรือ งานนี้คู่รักถึงกับมีเฮ ส่วนกลุ่มเพื่อนอย่างพวกเราก็หัวเราะเบาๆและยิ้มอ่อนเดินเข้าเรือไป
จุดหมายแรกบนเรืออยู่ที่ห้องอาหารหนึ่งเดียวของลำ Le Marin Restaurant และโต๊ะยาวสำหรับ 10 คนของพวกเราก็ตั้งอยู่หลังสุดของห้อง เหมือนกับจะรู้ว่าเสียงผึ้งแตกรังนั้นจะดังเพียงใด
สักพักพนักงานต้อนรับก็ออกมากล่าวคำสวัสดี อธิบายตารางเที่ยวของวันนี้และพรุ่งนี้คร่าวๆ บอกเวลาดินเนอร์และมื้อเช้า พร้อมกับความปลอดภัยบนเรือ ก่อนจะปิดด้วยรำหมวกของสาวเวียดนามพอเป็นพิธี และเปิดฟลอร์สำหรับมื้อเที่ยงแบบบุฟเฟ่ต์ที่รสชาติพอใช้ได้ค่ะ
หลังจากอิ่มท้องและหนังตาเริ่มห้อย เราก็รีบบ่ายหน้ากลับไปตั้งหลักที่ห้องนอน แบ่งมุมกับเพื่อนแนน กางกระเป๋าและเตรียมตัวไปเที่ยวถ้ำหินงอกหินย้อยในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
Paradise Elegance ตกแต่งภายในเรือด้วยเนื้อไม้สีเข้ม ตัดกับโคมไฟและคันประตูสีทองอร่ามดูหรูหราแต่ก็อบอุ่น ทางเดินไปยังห้องนอนปูยาวด้วยพรมนิ่ม ประตูห้องนอนเป็นระบบคียร์คารด์ปลอดภัยดีค่ะ
คืนนี้เรานอนในห้อง Deluxe Balcony Cabin ที่ดูเรียบง่ายแต่คลาสสิก ในห้องมีเตียงนอนแบบ Twin Bed หัวเตียงบุด้วยหนังสีน้ำตาลเข้ม มี walk in closet ขนาดเล็กและบานหน้าต่างเพิ่มความสว่าง ห้องน้ำแต่งด้วยหินอ่อนสีเหลืองสบายตา ขนาดค่อนข้างเล็กแต่ก็ไม่อึดอัดเท่าห้องน้ำเข่าชนกำแพงเหมือนที่ญี่ปุ่น ส่วนระเบียงชมวิวเป็นพื้นไม้ที่มาพร้อมเช็ตเก้าอี้หวายให้ออกมารับลมแบบส่วนตัว …
หากให้เทียบกับความหรูหราของเรือลำนี้กับโรงแรม 5 ดาวนั้น ก็บอกตรงๆว่า ยังไม่ถึงหรอกค่ะ แต่ถ้าวัดกันที่ 4 ดาวนั้นก็ใช่เลย เอาเป็นว่า อยู่สบาย สะอาดสะอ้าน ปลอดภัย และไม่ผิดหวังแน่นอน (ห้องนอนมีทั้งหมด 31 ห้องทั้งลำ ควรจองก่อนสัก 2 เดือนล่วงหน้าค่ะ)
หลังจากเก็บข้าวของเข้าที่เข้าทาง กางเดรสยาวคืนนี้ให้คลายตัวไม่ยับยู่ยี่ เราก็พร้อมไปลุยถ้ำสวรรค์ หินงอกหินย้อยชื่อดังของฮาลองเบย์กันแล้ว ถึงตอนนี้ทีมเพื่อนก็แตกเป็นสองเสียง กลุ่มแรกขออยู่ดริงส์บนเรือชิลๆ ส่วนกลุ่มของฉันก็มุ่งหน้าไปชมถ้ำกันต่อไป
โผล่หน้าไปหลังเรือ เจอกับเรือแจวมาขายของให้ลูกค้า ดูโลเคิล อารมณ์ตลาดน้ำ (ทะเล) ดี เลยเก็บรูปมากฝากกัน
Sung Sot Cave เป็นถ้ำ a must ของฮาลองเบย์ค่ะ แม้จะเป็นบ่ายวันธรรมดาแต่ก็ยังเต็มไปด้วยผู้คน นักท่องเที่ยวจีนกว่า 80% ยืนแออัดขึ้นบันไดเพื่อเข้าไปในถ้ำ สารภาพเลยว่า อารมรณ์ตอนนั้นเซ็งเป็ดจริงๆ คิดในใจว่า ตูไม่น่ามาเล้ยย นั่งจิบค๊อกเทลอย่างคุณนายอยู่บนเรือสบายตัวกว่า แต่พอเราเดินผ่านเข้าไปยังห้องที่ 3 ห้องใหญ่ที่สุดของถ้ำเท่านั้นแหล่ะ ทุกคนก็อ้าปากค้าง ตาโตกันขึ้นมาทันที ไฮไลท์ของทั้งหมดทั้งปวงอยู่ที่ห้องสุดท้ายนี่เอง!!!
ห้องนี้กว้างใหญ่มากกกก+ ขนาดน่าจะประมาณสนามฟุตบอล 2-3 สนามมารวมกัน ทางเดินที่ลาดปูไปรอบๆถ้ำ ก็พาเราเวียนไปชมแต่ละมุมที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม และที่หัวเราะกันท้องแข็งก็เพราะการท่องเที่ยวเวียดนามนี่ขี้เล่นไม่เบา ใส่กิมมิกด้วยการเพิ่มไฟส่องไปบนหินงอกหินย้อย ที่นอกจากจะทำให้น่าชมขึ้นแล้ว บางจุดยังช่วยให้จินตนาการฟุ้งซ่านตามรูปทรงของหิน แต่ไม่มีหินไหนที่ได้รับความนิยมเท่ากับหินนี้อีกแล้วค่ะ รูปนิ้วชี้ (ใช่ไหม ช่วยบอกที !!!) ที่เรียกเสียงคิกคักจากสาวๆ ได้หลายคนอยู่ 555
วิวจากด้านบนของถ้ำที่โชว์ออฟความงามของฮาลองเบย์ในมุมกว้างงงง
กิจกรรมถัดไปหลังจากกลับขึ้นเรือแล้ว ก็ถึงเวลาของชุดอ๋าวหญ่าย (อ๋าวซ๋าย) ในช่วงซันเซ็ต … กิจกรรมนี้ไม่ต้องบรรยายอะไรมาก เพราะแค่เห็นภาพก็คงรู้ถึงความบ้า (ถ่ายรูป) ของพวกป้า ที่ครองดาดฟ้าทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเรือไปกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็ม … ฝรั่งโต๊ะข้างๆคงถูกใจในความแปลกเลยเดินมาของ IG ของกลุ่มแถมยังรอลุ้นว่าดินเนอร์คืนนี้ แก็งส์ป้าจะเปลี่ยนชุดกันอีกไหม?
และก็แน่นอนว่า ไทยแลนด์ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง … ดินเนอร์หรูจึงต้องมาคู่กับเดรสยาวสมดังที่ฝรั่งรอคอย ฝรั่งเห็นแล้วปรบมือรัวและพูดว่า “You’ve changed (เปลี่ยนชุด จริงๆด้วย)” … ใช่ค่ะ และเราก็แถมด้วยยิ้มสยามอ่อนๆ
อาหารคืนนี้ทางเรือจัดให้เป็นเซ็ต มีให้เลือกระหว่างอาหารฝรั่งและอาหารเวียดนาม แต่ใครอยากจะสลับกันระหว่างสองเซ็ตก็ at your pleasure ค่ะ รสชาติอาหารอร่อยเลย อาหารฝรั่งดูจะได้คะแนนสูงกว่าเวียดนาม เพื่อนฝูงบอกว่าแฮปปี้มาก ไม่ผิดหวัง และยิ่งจิบพร้อมกับ sparkling wine ยิ่งทำให้ค่ำคืนนี้มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
แต่ยังก่อนค่ะ ราตรีนี้ยังไม่เลิกลากันง่ายๆ นานๆทีจะมารวมตัวกันได้ เราจึงไปนั่งดริงส์และคุยกันต่อที่ Piano Bar น่าเสียดายที่คืนวันจันทร์ ไม่มีเปียโนสด แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันเพราะห้องเงียบสงัด เหมือนเป็นของเรากลุ่มเดียวอย่างนี้ ทำให้เม้าทส์กันได้เต็มที่ ครองห้องนี้ไปโดยปริยาย ก่อนจะแยกย้ายกลับห้องก่อนเที่ยงคืนเหมือนนางซินเดอเรลล่า…
ตื่นมาเช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันกลับเข้าฝั่ง ฝนตกกลับพร่ำๆ กิจกรรมรำไทชิบนดาดฟ้าของเรือจึงพับเก็บใส่กระเป๋า เช่นเดียวกับทริปปีนเขาก่อนมื้อเช้าเช่นกัน แต่ถึงแม้จะพลาดสองกิจกรรมไปแต่ความสุขก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยค่ะ เสียงหัวเราะกับเพื่อนๆยังคงดังเหมือนเดิม และเพิ่มมากขึ้นในเวลาที่ตกทุกข์ได้ยากกันเป็นกลุ่มก้อน …
บทสรุปของ Paradise Elegance นั้น ฉันให้คะแนน 3.5/5 ค่ะ เป็นการล่องเรือที่สนุก (มาก) เพราะไปกับเพื่อนที่รู้ใจ อาการเมาเรือก็แทบไม่มี รู้สึกนิดหน่อยว่าเรือแล่น แต่ไม่โคลงเคลงเลยสักนิด การตกแต่ง บริการ และความสะอาด ก็ใช้ได้ค่ะ จะมีติก็ตรงที่น้ำดื่มให้น้อยไปหน่อย ห้องละสองขวดเล็กเท่านั้น ไกด์ที่พาลงไปชมถ้ำก็ไม่ค่อยมีความรู้ เหมือนแค่พาไปส่งและรับกลับ no explanation เลยนะยูว์ ส่วนสัญญานไวไฟก็อ่อนแอ บริการไวไฟฟรีเฉพาะตรงล็อบบี้ ที่พอให้ facetime กลับมาเช็คสามีได้
และถ้าถามว่ารู้สึกยังไงกับฮาลองเบย์bucket lists ที่อยากมาเห็นเหลือเกิน … ก็บอกได้เลยว่าไม่ผิดหวังค่ะ เพราะตั้งความหวังไว้ไม่สูงมาก สิ่งที่ทุกคนพร่ำบอกว่าไม่สวยนั้น ขอเถียงว่าไม่จริงเลย ทัศนียภาพหินปูนที่ขึ้นกลางทะเลนั้นสวยมาก เพียงแค่จำนวนเรือที่ล่องมีเยอะเกินไป บดบังความงามของธรรมชาติ จนทำให้อ่าวมรดกโลกนี้กลายเป็นจุดแออัดในหลายๆมุม แต่ถ้าจะให้ชมก็คงเป็นเรื่องของความสะอาด เท่าที่กวาดตาดู พบเจอขยะน้อยมาก น้ำก็สะอาดน่าเล่นเลยเชียวค่ะ
ที่ตั้ง : Tuan Chau Ward, Halong City, Quang Ninh Province, Vietnam
https://www.paradisecruise.com/paradise-luxury/
ราคาเฉลี่ยคนละ 10,000 บาท รวมค่ารถมาที่ท่าเรือ ค่าอาหาร 3 มื้อบนเรือ และค่าทัวร์ในเรือ แต่ไม่รวมกิจกรรมเช่น สปา และคายัค
Related Posts: