Hanoi เมื่อเดือนก่อน …

ทริปฮานอยกับเพื่อนเมื่อเดือนก่อน … ทำให้ฉันปิดการสำรวจเวียดนามได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ณ เวลานี้พูด ได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า เคยไปเหยียบเวียดนามมาแล้วเกือบทั้งประเทศ ไล่ตั้งแต่โฮจิมินห์ ขึ้นไปยังดานัง ฮอยอัน เว้ ฮาลองเบย์ และฮานอย (เย้ๆๆ^^)

และใครที่คิดว่าฮานอยจะทันสมัยและฝรั่งเศสจ๋ากว่าโฮจิมินห์นั้น… คุณกำลังคิดผิดค่ะ เมืองหลวงเก่าแก่กว่าพันปีแห่งนี้เป็นมันสมองของเวียดนาม จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยองค์ความรู้และวัฒนธรรมที่หาจากส่วนอื่นๆของประเทศไม่ได้แล้วจริงๆ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปเที่ยวฮานอยด้วยกันเลยค่ะ ^^

Do in Hanoi

จุดหมายแรกที่ห้ามพลาดในฮานอยก็คือ “สุสานโฮจิมินห์” (Ho Chi Minh Mausoleum Complex) ที่ซึ่งเก็บรักษาร่าง Chu Tick Ho Chi Minh หรือท่านประธานาธิบดีโฮจิมินห์ค่ะ สุสานนี้มีวันและเวลาเปิดปิดต่างจากทั่วไป ดังนั้นการเข้าไปชมควรวางแผนล่วงหน้าและเผื่อเวลารอคิวด้วย

ภายในสุสานห้ามถ่ายภาพและเราต้องสงวนกิริยา แต่งตัวสุภาพเหมือนเวลาเข้าวัดพระแก้ว เดินเป็นคู่ ผ่านลานกว้างที่ลุงโฮใช้ประกาศอิสรภาพให้กับประเทศเวียดนามเมื่อปี 1945 ก่อนจะเข้าไปยังอาคารหินอ่อนและหินแกรนิตที่สูงตระหง่านดูน่าเกรงขามอยู่ตรงหน้า พรมแดงผืนนี้ปูทางให้ทุกคนเดินเข้าไปสู่ห้องสี่เหลี่ยมที่มีอากาศเย็นยะเยือก ตรงกลางห้องเป็นร่างมัมมี่ของลุงโฮนอนสงบไม่ไหวติงอยู่ในโลกกระจกใส

ลุงโฮในโลงแก้วนี้ใส่ชุดยูนิฟอร์มทหานเต็มยศ ทั้งเส้นผม ผิวหน้าและนิ้วมือยังคงสภาพเหมือนคนที่มีชีวิตจริงๆ มีเพียงสีของผิวที่ซีดกว่าคนปกติเท่านั้น ไม่ต้องพูดก็รู้เลยว่าพวกเราขนลุกซู่พร้อมๆกัน สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของชายผู้ที่นอนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้าและความเคารพอย่างสูงสุดของชาวเวียดนามที่มีให้กับประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ชายที่ถูกเรียกว่าลุงโฮและเป็นชายที่มีรูปติดอยู่ในเกือบทุกบ้านของชาวเวียดนาม

หลังเดินออกจากสุสานลุงโฮ เราเดินตัดกลับมาที่ลานกว้างด้านหน้าอีกครั้งเพื่อถ่ายรูปกับสุสานของท่าน เป็นที่ระลึก ด้านหลังของภาพมีภาษาเวียดนามเขียนตัวใหญ่แปลได้ว่า “ประธานาธิบดีโฮจิมินห์จะคงอยู่ในใจเราตลอดไปชั่วนิจนิรันด์”

จากนั้นเราเดินต่อไปยังอาคารสีเหลืองชั้นเดียว ซึ่งเก็บรักษารถยนต์ของลุงโฮ ของขวัญจากสหายที่สหภาพโซเวียตมอบให้ ใกล้ๆกันเป็นห้องประชุมที่ลุงโฮใช้รับรองแขกบ้านแขกเมืองและคนสำคัญ ก่อนจะเป็นที่พักและห้องทำงานของท่านระหว่างปี 1954 – 1958 ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่บ้านไม้แสนจะธรรมดา ไม่มีห้องน้ำและห้องครัวในบริเวณใกล้ๆกัน

ถามฉันว่ารู้สึกยังไงกับชายผู้นี้? ตอบได้ทันทีเลยค่ะว่า ความสมถะของท่านเอาชนะใจใครหลายๆคน และความแน่วแน่ในอุดมการณ์ก็ทำให้ท่านเป็นที่เคารพของชาวเวียดนามตราบจนทุกวันนี้ และนี่คือคุณสมบัติที่พึงมีของผู้นำทุกๆคน

ใกล้กับทางออกของสุสาน ยังมีไฮไลต์อีกหนึ่งแห่ง นั่นก็คือ “เจดีย์เสาเดียว” (One Pillar Pagoda) ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่กว่า 400ปีของประเทศเวียดนาม วัดนี้ตั้งอยู่กลางสระบัว สะดุดตาเพราะมีเสาไม้เสาเดียวรองรับ (อารมณ์คล้ายศาลเจ้า) สร้างขึ้นเพื่อบูชาเจ้าแม่กวนอิมและเป็นจุดถ่ายรูปห้ามพลาดของฮานอยอีกสป๊อตค่ะ

จุดหมายที่สองของทริปฮานอยก็คือ “วิหารวรรณกรรม”(Temple of Literature) หรือที่คนเวียดนามเรียก กันว่า “วันเหมียว” ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศที่สวยงามและร่มรื่นมากค่ะ บรรยากาศด้านในเหมือนเดินเข้าไปในสวนจีน อีกประเทศที่มีอิทธิพลต่อชาวเวียดนามอยู่เกือบพันปี นอกจากนั้นที่นี่ยังเป็นที่สอบจองหงวน นักปราญช์ของประเทศ ซึ่งจองหงวนเก่งๆก็จะมีชื่อแกะสลักในวิหารให้เด็กรุ่นหลังได้ชื่นชม

ในวันที่เราไปเยี่ยมชมนั้นเป็นวันเสาร์จึงมีนักศึกษามากมายมาขอพรให้ตัวเองเรียนจบในอีก1 ปีข้างหน้า ซึ่งวิธีการขอพรก็คือการใส่ชุดครุยพร้อมกับถือใบประกาศนียบัตรให้เหมือนตอนเรียนจบถือเป็นความเชื่อที่แปลกดีค่ะ

และเมื่อเก็บจุดหมายสำคัญของฮานอยจนครบ ทัวร์ฮานอยที่เหลือก็เป็นไปตามกำลังขาและสภาพร่างกายของป้าๆในแต่ละช่วงวัน …

เราแวะไปถ่ายรูปที่ “Long Bien Bridge” สะพานเหล็กสุดแอนทีกยอดฮิตของบล็อกเกอร์ทั้งปวง สะพานนี้ยังเปิดใช้งานอยู่จริง แต่รถไฟวิ่งแค่สองเที่ยวต่อวัน ความเก่าและบรรยากาศรอบๆทำให้รูปถ่ายตรงกลางสะพานดูขลังและวินเทจที่สุด แต่ต้องเตือนไว้ก่อนว่าพื้นสะพานนั้นเป็นรางโปร่งทะลุลงไปถึงด้านล่างที่เป็นถนนรถวิ่ง ดังนั้นถ้าพลัดตกลงไปก็ถึงแก่ชีวิตได้ในพริบตา ป้าๆสายตื่นตระหนกกลัวจะอยู่ไม่ถึงแซยิดเลยโฉบไปถ่ายแค่ใกล้ๆ พอหอมปากหอมคอเท่านั้นค่ะ

และถ้าใครอยากชมฮานอยในอดีต ก็ยังมีอีกหนึ่งสถานที่แนะนำ ลองมาเดินเล่นใน “ย่านเก่า” Old Quarter ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Heritage House บ้านโบราณที่อนุรักษ์ไว้1 คูหา หน้ากว้างไม่เกิน 5 เมตร แต่ลึกเกือบ 20 เมตรหลังนี้ที่เคยเป็นบ้านของเศรษฐีชาวเวียดนาม แต่เมื่อเข้าสู่ยุคสังคมนิยคมที่ทุกคนเท่าเทียมกัน ภราดรภาพ บ้านหลังนี้ก็เปลี่ยนเป็นที่พักของ5 ครอบครัวใหญ่ ห้องน้ำหนึ่งห้องใช้รวมกันถึง 30 ชีวิต

จริงๆฮานอยยังมีที่เที่ยวอีกหลายแห่งเช่นทะเลสาบกลางเมือง เจดีย์สวย แต่เพราะฝนพร่ำทั้ง 2 วันเต็มๆ เราจึงเลือกไปเที่ยวเฉพาะบางแห่งและเสียเวลาหลบฝนในหลายช่วงของวันค่ะ

 

Eat in Hanoi

กลับมาถึงเรื่องของปากท้องกันบ้าง ร้านแรกที่จะแนะนำ ก็คือ “Bun Cha Huong Lien” ที่นอกจากจะเป็น ร้านอาหารแล้วยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของฮานอยด้วย ผู้คนล้นทะลักเข้ามากินอาหารที่ร้านเกือบทุกวันนับตั้งแต่ปี 2006ซึ่งเป็นวันประวัติศาสตร์ของประเทศและของร้าน เพราะอดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา มานั่งซดน้ำก๋วยเตี๋ยวกับนายแอนโทนี่ บาวด์เดน คอมเมนเตเตอร์อาหารชื่อดังที่นี่ จนเป็นที่มาของชื่อ Bun Cha Obama จนถึงปัจจุบัน

ใครอยากมากินบุ๋น ฉ๋า (Bun Cha) เส้นก๋วยเตี๋ยวกลมๆสีขาวคล้ายขนมจีน จิ้มกับน้ำซุปเปรี้ยวๆ หวานๆ และหมูชิ้นอร่อยๆ ก็มาลองกันได้ค่ะ เตือนไว้นิดว่าคนแน่ขนัดช่วงเที่ยง แต่ถ้าตัดสินใจมาเสี่ยงทั้งทีก็ต้องฟาดฟันเอาที่นั่งชั้น 2 ห้องด้านหลังให้จงได้ เพราะนั่นเป็นห้องประวัติศาสตร์ที่อดีตประธานาธิบดีนั่ง ซึ่งในตอนนี้ชุดเก้าอี้และโต๊ะนั้น ถูกครอบด้วยกระจกแก้ว พร้อมกับตั้งเซ็ตจานเหมือนดังเมื่อปี 2006 … ว่าแล้วก็ยกขวดเบียร์ฮานอยขึ้นเชียร์ พร้อมกับ Bun Cha ร้อนๆเข้ากันได้ดี

“Press Club” ดินเนอร์คืนแรกเราตัดสินใจกินอาหารฝรั่งเศสที่ร้านชื่อดังของฮานอย ร้านหรูแห่งนี้ ตกแต่งด้วยไม้สีเข้มดูคลาสสิก แสงไฟสีเหลืองนวลตกกระทบกับแก้วเจียรไนทอประกายวิ้งวับ ท่ามกลางชาวต่างชาติผมทองทั้งหลาย เห็นแล้วก็ชวนให้นึกถึงวันวานยามที่ชาวฝรั่งเศสเข้ามามีอิทธิพลบนแผ่นดินเวียดนามเสียไม่ได้ อาหารของร้านมีทั้ง a la carte และ set menu ใครหิวหน่อยก็สั่งเป็นเซ็ต แต่ใครที่ยังอิ่มจากขนมที่กินมาประปรายระหว่างทริป ก็สั่งเป็นจานเดี่ยวได้ เมนูแต่ละจานสวยงาม ละเมียดละไมตามสไตล์ชาวฝรั่งเศส ส่วนรสชาติก็ใช้ได้เลยค่ะ วัตถุดิบสดใหม่ จะมีติบ้างก็ตรงที่หลายๆจานหวานไปหน่อยเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ทำลายบรรยากาศความสนุกลง เสียงหัวเราะบนโต๊ะกลมยังคงดังสนั่นในร้านอาหารชื่อดังที่ได้รับร่องรอยทางวัฒนธรรมที่ฝรั่งเศสฝากไว้ในเวียดนาม

“Café Giang since 1946” ฉันมักบอกเพื่อนฝูงว่า คนเวียดนามนี่มีชีวิตที่เรียกว่า La Vie En Rose หรือชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบจริงๆนะ ฉันได้ความคิดนี้มาจากภาพที่เห็นในเมืองต่างๆของเวียดนาม ไล่มาตั่งแต่โฮจิมินห์ ดานัง มาจนถึงฮานอย ที่ชาวเวียดนามจะนั่งเก้าอี้ตัวเล็ก จิบกาแฟ สูบบุหรี่ พูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะด้วยนัยน์ตาที่เป็นสุข และทริปนี้เราก็ไม่พลาดจะมีชีวิตกลีบกุหลาบสักครั้ง เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม โดยร้านที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ Café Giang ที่หลายคนรู้จักกันในนาม Egg Coffee ชื่อดังของเมือง

เจ้ากาแฟไข่นี้เป็นเมนูที่ปัจจุบันมีขายอยู่ในร้านกาแฟอื่นๆด้วย แต่ถ้าใครจะมาร้านดังก็ต้องมาที่นี่ Café Giang เท่านั้น จึงทำให้ที่นั่งในร้านทั้งชั้นหนึ่งและสอง เต็มแน่นในบ่ายวันอาทิตย์ แต่ในที่สุดป้าก็ได้โต๊ะเตี้ยมาหนึ่งโต๊ะ เก้าอี้ไม้ตัวจิ๋วอีก 6 ตัว เราสั่งทั้ง Egg Coffee และ Egg Chocolate ที่ทั้งสองถ้วยใส่ด้วย ไข่แดง วิธีกินต้องค้นให้เข้ากัน ตักด้านล่างขึ้นมาโป๊ะด้านบน คลุกเคล้ากันไป ก่อนจะซดร้อน ก็จะได้กาแฟ และช็อกโกแล็ตที่เข้มข้นขึ้นอีกเท่าตัว ^^

Stay in Hanoi

ประกาศิตที่พักของเพื่อนทุกคน คือ ต้องไม่เป็นโรงแรมเก่า ไม่เอาโรงแรมที่มีประวัติศาสตร์ และที่สำคัญต้องไม่มีชื่อเสียงด้านความหลอน เราจึงมาลงตัวกันที่บูติกโฮเทลใจกลางเมือง “Hotel de lÓpera Hanoi, MGallery by Sofitel” ที่เก๋ไก๋ตั้งแต่ล็อบบี้ไปจนถึงตัวห้องตามแบบฉบับของ MGalleryทั่วโลก

ห้องนอนมีขนาดใหญ่ อยู่สบาย พรมกลางห้องและเพดานดีไซน์สวยทำให้ห้องดูมีเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น แต่ที่สะดุดตาทุกคนก็เห็นจะเป็นเตียงนอนยกสูง (มากกก) คนขาสั้นแทบต้องปีนขึ้น เหมือนเป็นเวทีที่ต้องระวังทั้งขึ้นและลง โดยเฉพาะตอนกลางคืนมืดๆจะกลิ้งตัวตกเตียงตอนหย่อนขาลงพื้นได้

ส่วนห้องน้ำก็มีขนาดใหญ่เช่นกันค่ะ แยกห้องอาบน้ำและชักโครกออกจากกัน ตรงกลางเป็นห้องแต่งตัว ที่ไฟกระจกสว่างจ้าเหมือนนักแสดงกำลังแต่งหน้า ซึ่งก็ดีกับป้าๆที่สายตามัวลงทุกปี… (อายุเป็นเพียงตัวเลขท่องไว้)

อาหารเช้าก็ไม่เลวเลยค่ะ มีตัวเลือกมากมาย ทั้งอาหารเวียดนาม ฝรั่ง และจีน ส่วนที่นั่งก็แนะนำให้นั่งในโถงกลางโรงแรม ที่เป็นช่องแสงเห็นไปถึงบนฟ้า เช้านี้พวกเราแต่งตัวกันด้วยสีสัน color block เตรียมตัวไปร๊อกที่ฮาลองเบย์ และถือเป็นการอำลาฮานอยอย่างมีสไตล์ (หรือไม่) … ฝรั่งโต๊ะข้างๆถึงกับมองบน (ค่าที่พัก คืนละประมาณ 6,000-8,000 บาท)