ดูไบน่ารู้ (สั้นๆก่อนมาเหยียบเมืองทะเลทรายศิวิไลซ์ที่สุดของโลก)

ดูไบเป็นเมืองที่จินตนาการต่างจากภาพที่เห็นมาก ทริปนี้จึงเปิดตาป้า ให้มองกลุ่มประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ในมุมใหม่ที่สรุปมาให้สั้นๆ 16 ข้อก่อนไปเที่ยวดูไบกันค่าา

1. ดูไบไม่ใช่ประเทศ แต่เป็นหนึ่งเมืองในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ UAE (United Arab Emirates) ที่รวมตัวอยู่ด้วยกัน 7 เมือง ในบรรดา 7 เมืองนี้มีอาบู ดาบี เป็นเมืองหลวงของ UAE แต่ดูไบเป็น เมืองใหญ่ที่พัฒนาและศิวิไลซ์มากที่สุด (ในตอนนี้)

Credit :https://www.sketchbubble.com/en/presentation-uae-map.html

2. สายการบิน Emirates เป็นสายการบินแห่งชาติของดูไบ ส่วนสายการบิน Ethihad เป็นสายการบิน แห่งชาติของอาบู ดาบี อย่าจำผิด!!!เดี๋ยวจะลงจอดผิดเมือง จากประเทศไทยใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ (การบินไทยก็มีบินตรง แลกไมล์ชั้นประหยัด เพิ่มเงินแค่ 4-5 พันบาทเท่านั้น)

3. Best Time ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวดูไบและรวมถึงเมืองอื่นๆในUAE เป็นช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่ธันวาคม-มกราคม สองเดือนไพร์มไทม์ค่ะ อากาศเย็นสบายเกือบทั้งวัน กลางวันไม่ร้อนจัด กลางคืนก็หนาวกำลังดี

4. ค่าใช้จ่ายสำหรับนักท่องเที่ยวในดูไบก็ประมาณเที่ยวเมืองใหญ่ของโลกค่ะ ค่าเดินทางรถไฟฟ้าอยู่ที่ 22 AED สำหรับ Day Pass ประมาณ 200 บาท ค่าอาหารร้านธรรมดาก็อยู่ที่ 70 AED ต่อคน แต่ถ้าร้าน fine dining ก็ประมาณ 300-500 AED ต่อคน ซึ่งเจ้าร้าน fine dinning นี่แหล่ะที่น่ากิน (สุด) เพราะมีร้านดังของเกือบทุกประเทศมารวมกันแบบOne Stop อย่างที่ต้องร้อง Oh my God ไปจนแสบคอเลยค่ะ

5. เวลาที่ดูไบวิ่งเร็วกว่าไทย 3 ชั่วโมงค่ะ กลับมาถึงไทย์แลนด์ก็มี Jet Lagบ้างพอหอมปากหอมคอ

6. คนดูไบพูดภาษาอังกฤษได้เกือบทุกคน แท็กซี่พูดได้ทุกคัน (สำเนียงอาหรับ ลิ้นพัวพันกัน แต่ก็ฟังออกค่ะ) หลงทางก็ถามทางได้ บอกเลยว่าป้าค่อนข้างประหลาดใจเพราะไม่เคยรู้มาก่อน สัมภาษณ์คนขับแท็กซี่อัธยาศัยดีได้ความว่าArabic เป็นภาษาแม่ แต่ Englishเป็นภาษาพ่อ 55 (ภาษาที่สองค่ะ) คนที่นี่เค้าเรียนกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกเลยพูดได้ทุกคนแล

7. ระบบคมนาคมมีประสิทธิภาพ แม้จะมีรถไฟฟ้าวิ่งไม่กี่สายแต่ก็จอดถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ อีกทั้งป้ายสถานียังมีภาษาอังกฤษให้อ่าน ใครหลงก็แย่และ …

ถ้าที่ไหนรถไฟฟ้าไปไม่ถึงเธอ แท็กซี่ก็เป็นทางเลือกสำรอง แท็กซี่ดูไบสะอาด รถใหม่ พูดจาเสวนารู้เรื่อง ราคาไม่แพงเวอร์ รถไม่ติด มิเตอร์ไม่ไหลอย่างกรุงเทพ ราคาประมาณก็เช่น 55 AED หรือ 500 บาท จากสนามบินมาโรงแรมในเมือง แต่ถ้าวิ่งเฉพาะในเมืองก็ 12-15 AED ไกลหน่อยเช่นจาก Bur Khalifa ไปยัง Burj Al Arab ก็อยู่ที่ 35-40 AED เท่านั้นค่ะ

นอกจากนั้นแผนที่เมืองยังเป็นบล็อกๆ ตรงไปตรงมา ไม่ยุ่งยากยังกับใยแมงมุม เดินตาม Google Map ได้สบาย ป้ายถนน ป้ายสถานีรถไฟฟ้า ป้ายโฆษณาต่างๆ มีภาษาอังกฤษกำกับบ้านเมือง สะอาดสะอ้าน ทางเท้าใหญ่ และปลอดภัยเลยทีเดียว

สำหรับนักท่องเที่ยวยังมีบริการ Big Bus วิ่งรอบเมือง หรือ ทัวร์ Greyhound ก็มี ใครที่ชอบความเสี่ยงหน่อยก็ลองนั่ง speedboat ชมวิวได้ แต่ถ้าจะให้หรูหราหมาเห่าก็ Helicopterหรือ Sea Plane ไปเลยค่ะ เห็นวิวเมืองทั้งหมดและยังได้ชม The Palm อร่ามตาแน่นอน (จะจองก่อนล่วงหน้าหรือมาซื้อทัวร์ที่ดูไบก็ได้ทั้งนั้น)

8. ค่าโรงแรมเทียบแล้วก็ใกล้เคียงกับโตเกียว/ฮ่องกง ทริปนี้ป้าพัก 3โรงแรม

  • Shangri-La Hotel Dubai ใกล้กับ Bur Khalifa คืนละ 8,000-10,000บาท
  • Atlantis, The Palm คืนละ 10,000-12,000 บาท ราคารวมค่าเข้าสวนน้ำด้วย
  • Bab Al Shams Desert Resort & Spa โรงแรมในทะเลทราย คืนละ 14,000-16,000 บาท

9. อาหารดูไบอร่อยไหม? บอกตรงๆว่ากินอยู่แค่มื้อเดียวเท่านั้นค่ะ และก็ไม่รู้ด้วยว่าที่หม่ำไปมันauthentic แท้จริงขนาดไหน เอาเป็นว่าประมาณอาหารอินเดียที่เน้นเครื่องเทศแต่กลิ่นแรง น้อยกว่าหน่อย ชีสดูไบอร่อยมาก โยเกริต์สดที่สุด อินทผลัมเด็ด (แน่นวล) แต่ถ้าใครไม่ถูกใจอาหาร ดูไบ ทั้งเมืองก็ยังมีอาหารฝรั่ง ไทย จีน ญี่ปุ่น และฟาสต์ฟู๊ตให้เลือกละลานตา การันตีเลยว่าไม่ อดตายแน่นอน

10. การติดต่อสื่อสาร คิดว่าจะง่ายแต่แอบลำบากนิดนึง เพราะ Sim2Fly ประจำตัวดันใช้บริการไม่ได้ ที่ดูไบเสียนี่ เลยต้องมาซื้อซิมโทรศัพท์กันที่นี่ ป้าเลือกของบริษัท du เป็น prepaid แบบ unlimitedในราคา 55 AED สรุปว่า ช้าเป็นเต่าค่ะ สามีบอกว่าเธอน่าจะซื้อผิด ดูไม่ละเอียด เมืองศิวิไลซ์แบบนี้ เค้าต้อง 5G กันแล้ว ดังนั้นแนะนำให้ shop around ตั้งแต่ที่สนามบินเลย มีให้เลือกหลายเจ้า หลายเงื่อนไข น่าจะได้ไวไฟที่ดีกว่าของป้า และอย่าลืมแสดงหนังสือเดินทางตัวจริง พร้อมกับ E-VISA ที่พิมพ์ออกมาด้วย เพราะพนักงานต้องถ่ายรูปและขอดูตราประทับขาเข้า พร้อมกับลง ทะเบียนออนไลน์ค่ะ

11. มาถึงเรื่องที่เป็นกังวลตั้งแต่ก่อนไป ป้าจะใช้ชุดไหน ขาสั้นได้ไหม ต้องคลุมผ้าหรือเปล่า ข้อนี้มี คำตอบค่ะ …สาวๆดูไบแต่งตัวกันทันสมัยแต่ก็มิดชิด รัดรูปบ้างแต่ก็ไม่โชว์เนื้อหนังมังสา หนุ่ม จะสบายๆกว่า สามีถึงใส่ขาสั้นได้ ไม่ต้องห่วงสายตาใคร แต่ถ้าเข้าสถานที่ทางศาสนา ก็ต้องแต่ง มิดชิดค่ะ อยู่ชายทะเลก็แอบมีบิกินีกันบ้างถ้าเป็นชาวต่างชาติ แต่ที่สำลักสุดๆเห็นจะเป็นกลิ่นน้ำ หอมของสาวๆดูไบนี่แหล่ะ ฉุนแสบคอมันเป็นอย่างนี้เอง …จากกลิ่นนี่เดาเลยว่าใช้ลาดกันทั้งตัว มิน่าตามห้างสรรพสินค้าแผนกน้ำหอมถึงใหญ่โตมโหราฬจริงๆ

12. ค่า PM 2.5 สูงอย่างน่าตกใจ !!! ตื่นมาเช้าวันหนึ่งพบว่าอากาศขมุกขมัวมาคุ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คค่าฝุ่น พบว่า สูงระดับสีม่วงหรืออันตรายที่สุด!! ป้าเลยรีบค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตและก็พบว่าเมืองนี้มีทั้งแหล่งผลิตน้ำมัน การก่อสร้าง และฝุ่นทราย ทำให้อากาศอันตรายอันดับต้นๆของโลก … ป้ารีบคว้าหน้ากากกัน PM ออกไปเดิน แต่กลับไม่มีใครใส่ หรือเค้าใช้ผ้าปิดหน้ากัน ก็ไม่น่าใช่!!! เอาเป็นว่าใครเป็นภูมิแพ้ ระวังกันหน่อยนะคร้าาา

13. ถึงสนามบินให้หยิบ Time Out DXB ติดตัวไว้เลย มีข้อมูลท่องเที่ยว ร้านอาหาร ช้อปปิ้ง และเทศกาลเด็ดของเดือนให้อ่านกันฟรีๆ

14. นักดื่มคงได้ยินเรื่องการจำกัดการขายแอลกอฮอลล์ในกลุ่มประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์กันมาบ้าง และคุณสามีก็มีกังวลนิดๆ เพราะชอบจิบไวน์แกล้มอาหารเย็นเป็นนิสัย ลุงเลยซื้อไวน์ตุนมาจาก King Power บ้านเรา ก่อนจะพบว่าชาวดูไบใช่ว่าจะไร้แอลกอฮอลล์อย่างในข่าว เพราะหลังจากรับกระเป๋าเสร็จ เราก็เจอกับร้านขายเหล้า ไวน์ แชมเปญ จากทั่วทุกมุมโลก ประโคมโถมเข้าใส่ ทั้งราคาพิเศษ ลดแลกแจกแถม จนสามีบ่นไม่หยุดเลยว่าไม่น่าเสียค่าโง่เลยจริงๆ

15. แหล่งซื้อของฝากประเภทอาหาร เช่น ถั่ว อินทผลัม ช้อกโกแล็ต และชีส แนะนำให้ไปที่ Carrefour หรือซูเปอร์มาร์เก็ตตามศูนย์การค้าเลยค่ะ ช้อปสนุกได้หลายชั่วโมงเพราะมียี่ห้อให้เลือกล้นเชลฟ์ แพ็คเก็จจิ้งอาจจะไม่สวยเท่า กับของที่ขายในสนามบิน แต่ราคาถูกกว่าแน่นอน แถมมั่นใจได้ว่าสดและใหม่เพราะคนดูไบเองก็มาซื้อกันทีนี่

16. ท้ายสุดเป็นเรื่องวีซ่าที่ง่ายกว่าที่คิด พร้อมแล้วก็คลิ๊กอ่านแล้วจองตั๋วไปดูไบกันได้เลยคร้า