ตอนห้า I เมืองภักตปุระ (Bhaktapur)

จาก Dusit Thani Himalayan Resort เรามุ่งหน้ากลับสู่เมืองกาฐมาณฑุ ระหว่างทางผ่าน เราแวะชมเมืองภักตปุระ อีกเมืองเก่า และเป็นหนึ่งในสามเมืองสำคัญในหุบเขาแห่งนี้ (กาฐมาณฑุ, ปาตัน และภักตปุระ)

ธงประจำชาติเนปาลโบกสะบัดต้อนรับเราเข้าสู่เมืองมรดกโลก สีแดงเป็นสีประจำชาติของเนปาล ธงสามเหลี่ยม 2 ผืนหมายถึงเทือกเขาหิมาลัย และความสมานฉันท์ของศาสนาฮินดูและพุทธ


ตั๋วเข้าชมเมืองสู่จัตุรัสภักตปุระ ดูรบาร์ (Bhaktapur Durbar Square) มีเอกลักษณ์เฉพาะตั๋ว เพราะนอกจากจะใหญ่ไซส์ไอโฟนแล้ว ยังทำจากกระดาษสาและมีรูปวาดของจัตุรัสภักตปุระสวยงามประทับบนตั๋วอีกด้วย

ในอดีตภักตปุระ เคยเป็นราชาอาณาจักรอีกแห่งของเนปาล ตั้งอยู่ห่างจากกาฐมาณฑุประมาณสิบกว่ากิโลเท่านั้น แต่ด้วยถนนไฮเวย์ราดยางที่ขับช้าประมาณ 40-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แถมยังไร้ระบบในบางแยก เลยทำให้การเดินทางมาเที่ยวเมืองนี้ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที แต่ก็สนุกดีค่ะ ได้เห็นหลายอย่างที่ต่างจากภาพของบ้านเรา

จริงๆแล้ว ภักตปุระเป็นเมืองใหญ่ มีแหล่งท่องเที่ยวกระจายอยู่ทั่วเมือง แต่เราอยากใช้เวลาที่ The Dwarika’s Hotel ในช่วงบ่าย เลยเลือกชมเฉพาะลานสำคัญ จัตุรัสภักตปุระ ดูรบาร์ ที่มีไฮไลท์ คือประตูทองคำ พระราชวัง 55 หน้าต่าง และวัดสวยๆอีกหลายแห่ง

แต่หลังจากเที่ยว 2 เมืองใหญ่มาแล้ว เราเห็นสถาปัตยกรรมไม้แกะสลักมาบ้าง ความตื่นตาตื่นใจก็ลดน้อยลงตามปกติ โฟกัสของเราจึงไปอยู่ที่ความสุขของชาวเนปาลี ที่มาเที่ยวกันเป็นครอบครัว และเป็นคู่ ยืนดูรอยยิ้มรอบๆตัวแล้วก็มีความสุขร่วมด้วย

ก่อนจะอำลาภักตปุระ เราแนะนำแหล่งช้อปปิ้งในเมืองนี้กันก่อน ที่แรกคือเมืองช่างปั้น (Pottery) ที่มีงานดินสวยๆ และถัดมาคือภาพวาดสไตล์เนปาลและธิเบตที่เรียกว่า Thanka ร้านที่แนะนำคือ Lama Thanka Painting School รูปที่ลุงซื้อ เป็นภาพตามความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ของศาสนาพุทธ ภาพยอดนิยมก็จะมี Mandala สนนราคาภาพประมาณ 200 – 300 เหรียญสหรัฐ ขึ้นอยู่กับฝีมือความละเอียด และวาทะศิลป์ในการต่อรองค่ะ