วันนี้เราจะขับรถจากเบ็บปุตัดผ่านหมู่บ้านออนเซ็นยอดนิยมอีกแห่งของญี่ปุ่น เพื่อพักเรียวกังกลางทุ่งนาค่ะ เส้นทางขับรถวันนี้ไม่กี่ร้อยกิโลเมตร ใช้เวลาขับจากจุดสู่จุดไม่นาน และนี่เป็นจุดเด่นของเกาะคิวชูเลย เพราะไม่เหนื่อยและมีเวลาเดินเล่นในเมืองที่พักทุกคืนค่ะ
Galleria Midobaru
(https://beppu-galleria-midobaru.jp/en/ คืนละ 9,000 – 12,000 บาท)
โรงแรมที่เราจะพักกันในคืนนี้ ตั้งอยู่ในบริเวณเมืองเบ็บปุ อยู่ห่างจากยูฟูอินเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เราเช็คอินประมาณห้าโมงเย็น แล้วก็ใช้เวลาตลอดหัวค่ำรวมถึงช่วงเช้าอยู่ในโรงแรมสายอาร์ตแห่งนี้
Galleria Midobaru ตั้งอยู่บนเนินเขาหลังเมืองเบ็บปุ (Beppu) วิวจากห้องพักชั้น 4 จึงเห็นมุมกว้างของเมืองเบ็บปุยาวไปถึงท้องทะเลสีครามของอ่าวเบ็บปุ ในช่วงฤดูร้อน กลางวันแดดจ้าก็จริง แต่ตกเย็นอุณหภูมิจะลดเหลือประมาณยี่สิบองศา อากาศสบายเหมือนอยู่บนเขา
เราจองห้องพักแบบ King Room และได้ upgrade เป็น King Room Premiere ซึ่งอยู่บนชั้นที่สูงขึ้น ห้องนี้มีขนาดใหญ่คล้ายสตูดิโอ เตียงคิงส์ไซส์ ห้องรับแขกกว้าง ระเบียงใหญ่ บริเวณทางเข้าห้องทาด้วยสีเทาดำ รวมถึงห้องน้ำ ดูลึกลับ แต่พอเดินเข้ามาในตัวห้อง ก็กลายเป็นโทนธรรมชาติ ตกแต่งด้วยไม้ธรรมชาติ หัวเตียงวาดรูปหมู่ดาวบนท้องฟ้า เป็นโรงแรมที่แตกต่างจากที่เคยพักในญี่ปุ่นค่ะ
หลังจากจัดวางกระเป๋าเสร็จ ลุงก็กระโดดแช่ออนเซ็นในห้องน้ำซึ่งจะเห็นวิวเมืองเบ็บปุผ่านกระจกใส นอนดมกลิ่นกำมะถันอ่อนๆ ของน้ำพุร้อนธรรมชาติ
เย็นวันนั้น เราลงไปจิบ Sparkling wine ที่บาร์ของโรงแรม เป็น Welcome drink ที่แจกให้กับแขกที่เข้าพัก และก็ทำให้มีเวลาสำรวจส่วนต่างๆของ Galleria Midobaru ทั้งล็อบบี้สูงโปร่งที่มีลูกโลกสว่างอยู่กลางห้อง คล้ายยืนอยู่ในจักรวาลที่มีโลกหมุนรอบตัวเรา ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยสะกด หรือจะเป็นงานศิลปะที่มีจัดแสดงไว้ตามส่วนต่างๆของโรงแรม
นอกจากนั้น เรายังออกไปเดินเล่นรอบๆ ชื่นชมกับการจัดวางพื้นที่ ช่องแสงและช่องลม การสร้างจุดดึงสายตาที่ทำให้โรงแรมดูเท่และไม่เหมือนใคร คืนนั้นเราสั่ง Room Service มากินกันในห้อง ขี้เกียจเข้าเมือง เพราะอยากใช้เวลายืนชมดาวจากระเบียงห้อง ฟังเพลงเพราะๆจาก Spotify และแช่ออนเซ็นอย่างสุขใจ
เช้าวันใหม่ … เราก็ได้เห็นภาพที่อยากเห็นมากที่สุด ภาพควันร้อนจากบ่อน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งอยู่เหนือเมืองเบ็บปุ มีภูเขาสูงเป็นฉากเบลออยู่ข้างหลัง เสริมพลังด้วยแสงพระอาทิตย์สีทองที่สาดฟ้าเป็นสีส้ม เมืองแห่งน้ำพุร้อนของญี่ปุ่นเช้านี้เรืองรองมากเหลือเกิน
ข้อควรระวังของ Galleria Midobaru 1) ถนนขึ้นโรงแรมมีขนาดเล็ก และหักศอกอยู่หนึ่งโค้ง ขับรถขึ้นมาให้ระวัง และแนะนำเฉพาะคนที่มีรถเท่านั้นให้มาพักที่นี่ เพราะโรงแรมไม่ได้อยู่ในใจกลางเมืองเบ็บปุ 2) ในช่วงฤดูร้อนมีแมลงเยอะ อย่าเปิดหน้าต่างหรือประตูห้องทิ้งไว้ แมลงจะบินเข้ามาเล่นไฟในห้องได้ 3) กลิ่นกำมะถันจะโชยติดจมูกตลอด เพราะออนเซ็นนี้มีส่วนผสมของกำมะถันอยู่
เบ็บปุ (Beppu)
เช้าวันที่สาม เราจะพาทัวร์ชมบ่อน้ำพุร้อนของเบ็บปุกัน เมืองนี้มีแหล่งน้ำพุร้อนใหญ่อยู่ 8 แห่ง ที่ว่ากันว่าเป็นตัวจ่ายน้ำพุร้อนไปยังส่วนต่างๆของเมืองอีกหลายพันช่องทาง แต่ละบ่อก็มีแร่ธาตุในน้ำพุร้อนที่ต่างกัน จึงทำให้บ่อน้ำพุร้อนมีหลากสีและหลายแบบ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว และจุดชมบ่อน้ำพุร้อนที่สร้างรายได้ให้กับเบ็บปุอย่างมหาศาล
ทัวร์ชมบ่อน้ำพุร้อนนี้มีมีอีกชื่อว่าทัวร์ชมบ่อนรก เพราะควันและความร้อนทำให้คนนึกถึงนรกอเวจี มาสค๊อตของบ่อนรกจึงเป็นยักษ์มีเขี้ยว ที่ดูแล้วเหมือนยมฑูต
ใครที่วางแผนมาทัวร์บ่อนรก แนะนำให้ศึกษาจุดที่ตั้งของบ่อที่อยากจะไปชมก่อน เพราะบ่อทั้ง 8 อยู่คนละที่กัน บ้างใกล้กันแบบเดินถึง แต่บ้างก็ต้องขับรถไป และตั๋วเข้าชม มีทั้งแบบแพ็ครวม เข้าได้ทุกบ่อ กับแบบตั๋วเดี่ยว ซึ่งเราซื้อตั๋วเดี่ยว เพราะชมแค่ 3 บ่อ คนละประมาณ 800 เยนค่ะ (ป.ล. แต่ละบ่อจะมีที่ลานจอดรถบริการด้านหน้า เรามาช่วงเช้าวันธรรมดา รถน้อย หาที่จอดง่ายค่ะ)
บ่อทะเลเดือด หรือ Umi Jigoku
เป็นบ่อยอดนิยมอันดับหนึ่ง มีสีฟ้าสวยงามเหมือนทะเลสาบ แต่ห้ามกระโดดลงไปนะ เพราะความร้อนสูงถึง 98 องศา บ่อ Umi Jigoku เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 1,200 ปีก่อน เห็นอย่างนี้ บ่อยังลึกถึง 150 เมตร และสาเหตุที่มีสีฟ้าสวยงามก็เพราะมีส่วนผสมของแร่ซัลเฟต บวกกับแร่โคบอลต์เป็นส่วนประกอบค่ะ
ในบริเวณใกล้ๆกัน ยังมีบ่อสีแดงเล็กๆให้ชม แต่นี่ยังไม่ใช่บ่อสีเลือดที่เราจะไปเป็นบ่อสุดท้ายนะ
นอกจากนั้นยังมีร้านขายของที่ระลึก ขนม คุกกี้รูปยมทูต มาสค๊อตประจำทัวร์นรก และคาเฟ่ที่มีไข่ออนเซ็นขายอีกด้วยค่ะ
บ่อโคลนเดือด หรือ Oniishibozu Jigoku
เมื่อเดินออกมาจากบ่อสีฟ้า ทางขวามือก็จะเป็นทางเข้าของบ่อโคลนเดือด เราต้องจ่ายค่าเข้าชมอีกครั้งในราคา 800 เยนต่อคน ตอนจ่ายก็แอบคิดเหมือนกันว่า ญี่ปุ่นช่างสรรหารายได้เข้าประเทศนะ ทั้งๆที่สองบ่ออยู่ในบริเวณเดียวกัน แต่แตกหน่อออกมาเป็นสองจุดได้ด้วย
บ่อโคลนนี้ แปลกกว่าบ่อน้ำพุร้อนอื่นๆ เพราะเหมือนเป็นปูนเปียกสีเทาที่ปะทุขึ้นมาเป็นโคลนวงกลมๆ ดูแล้วไม่น่าจะร้อนมาก แต่กลับมีอุณหภูมิเฉียดร้อยองศา
รอบๆบ่อ ยังมีแนวหินร้อนที่มีไอพวยพุ่งขึ้นมา แสดงให้เห็นถึงความระอุที่อยู่ใต้พื้นดิน
บ่อนี้ยังมีจุดให้แช่เท้าในน้ำพุร้อนที่มีองศาพออุ่นๆ นั่งชมธรรมชาติ ฟังเสียงต้นไม้ใบหญ้า ลงแช่แล้วก็เพลินดีค่ะ
บ่อสีเลือด Blood Hell-Chinoike Jigoku
บ่อนี้เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ว่ากันกว่าเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น อยู่ห่างจาก 2 บ่อแรกประมาณ 10 นาที และรู้จักกันในนามว่า “บ่อนรก” เพราะน้ำมีสีส้มจนเกือบจะเป็นสีแดงดังกระทะทองแดงจริงๆ สีแดงเกิดจากโลหะซึ่งเป็นแร่ธาตุหลัก อุณหภูมิของบ่อร้อนประมาณ 78 องศาเซลเซียส อุ่นกว่าสองบ่อแรกที่ดูเป็นมิตรมากกว่า แต่ยังไงก็ตาม อุณหภูมิสูงขนาดนี้ก็ยังไม่เหมาะกับการแช่ตัวอยู่ดี และนี่ก็เป็นบ่อสุดท้ายของทัวร์ชมบ่อนรกที่เมืองเบ็บปุ ใครชอบ ยังชมได้อีกหลายบ่อ ที่จุดขายตั๋วมีแผนที่แจก และถ้าขับรถมาเองก็ยิ่งง่าย เก็บได้ทุกจุดแน่นอนค่ะ
สวนดอกไม้คุจู (Kuju Flower Park)
https://www.hanakoen.com/
ทัวร์ชมบ่อนรกเสร็จไวกว่าที่คิด เรามีเวลาเหลือก่อนจะไปกินข้าวเที่ยงที่หมู่บ้านออนเซ็นคุโรกาว่า เลยตัดสินใจแวะที่สวนดอกไม้คุจูซึ่งเป็นทางผ่าน ที่อยู่ห่างจากเบ็บปุประมาณ 50 กิโล ใช้เวลาขับรถหนึ่งชั่วโมงนิดๆ ตั้งใจจะเอาภาพดอกไม้สวยๆของญี่ปุ่นส่งไปอวดคุณแม่ค่ะ
สวนดอกไม้คุจูตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติอะโซะ เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่บนเนินเขา ดอกไม้ที่เวียนมาปลูกจะแตกต่างกันไปตามฤดูกาล แต่ในช่วงฤดูร้อน ดอกไม้น้อย ค่าเข้าชมเลยลดลงเกือบสามสิบเปอร์เซนต์
เมื่อเดินเข้ามาจะเจอกับลานดอกไม้กว้างสุดลูกหูลูกตา ทำเอาแปลกใจอยู่เหมือนกันว่านี่เรียกว่าดอกไม้น้อยหรือ? ถ้าเยอะ ทุ่งนี้คงจะสวยงามมากจริงๆ
คนญี่ปุ่นเองก็มาเที่ยวที่สวนนี้ บ้างพาหมามาด้วยเพราะเป็น Dog Friendly Park สูงวัยมีบริการรถเข็นและรถกอลฟ์นั่งชมสวน บริเวณรอบๆมีคาเฟ่ และร้านขายดอกไม้ จัดวางได้น่ารัก ถ่ายรูปสนุกดีค่ะ
หมู่บ้านออนเซ็นคุโรกาว่า (Kurokawa Onsen)
จากสวนดอกไม้คุจู เราขับรถมาอีกประมาณสิบกว่ากิโล ก็ถึงหมู่บ้านออนเซ็นคุโรกาว่า ที่รู้จักกันว่าเป็นหมู่บ้านลับในหุบเขา รู้จักกันในวงแคบตั้งแต่สมัยเอโดะ และมาโด่งดังขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในบริเวณนี้ เต็มไปด้วยเรียวกังชั้นนำ ถือเป็นเมืองออนเซ็นอย่างแท้จริง
หลังจากจอดรถที่จุดบริการนักท่องเที่ยว เราเดินไปรับแผนที่ภาษาอังกฤษ และลงเขาเข้าไปยังหมู่บ้านออนเซ็นคุโรกาว่า เราเจอกับสายน้ำใสไหลผ่ากลางตัวเมือง กับสองข้างทางที่ปลูกสร้างด้วยบ้านไม้เก่าของญี่ปุ่น ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาบ่ายโมงแดดจ้าแต่ลมที่พัดโชยกลับเย็นสบาย พร้อมกับเสียงน้ำใสไหลริน เป็นความสงบของหมู่บ้านคุโรกาว่าที่นักท่องเที่ยวถวิลหา
ก่อนมาทริปนี้ เราพยายามจองที่พักในคุโรกาว่า แต่เพราะเป็นทริปฉุกละหุก ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า เรียวกังที่อยากพักกลับเต็มหมด เราเลยแวะมาดูบรรยากาศ กินข้าวเที่ยงและย้ายไปพักในเรียวกังอีกแห่งใกล้ๆกับคุโรกาว่าแทนค่ะ
อาหารเที่ยงมื้อนี้ ลุงเลือกร้านเปิดใหม่ ที่นั่งชั้นสองมองเห็นวิวของแม่น้ำ เราสั่งอุด้งฟองเต้าหู้ และลุงสั่งเซ็ตเนื้อคล้ายสตูว์ อาหารรสชาติใช้ได้ ร้านแต่งเรียบๆน่ารักดี กินอิ่มก็ลงไปเดินเล่นบนถนนช้อปปิ้งของเมือง ที่ร้านค้าเปิดอยู่ใต้ถุนบ้านญี่ปุ่น กินไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟราดด้วยน้ำผึ้ง ก่อนจะออกเดินทางไปยังเรียวกังที่จองไว้ในคืนนี้ และตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสจะแวะมาซ่อมให้ได้
เรื่องเล่าตำนานของ Kurokawa Onsen “ตำนานจิโซไร้หัว” (ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต)
เล่ากันว่า … กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีพ่อค้าขายเกลือชื่อว่า Jinkichi เป็นคนยากจนและต้องดูแลคุณพ่อที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง อยู่มาวันหนึ่งคุณพ่อของJinkichi อยากกินเมล่อน แต่เนื่องจากความยากจนทำให้เขาต้องไปขโมยลูกเมล่อนจากไร่แห่งหนึ่ง ซึ่งก่อนที่จะขโมยเมล่อน Jinkichi ได้นำเกลือไปถวายเทวรูปจิโซ หลังจากที่ขโมยเสร็จแล้ว Jinkichi ถูกเจ้าของไร่เมล่อนจับได้ และถูกตัดหัว แต่สิ่งที่ตกลงมานั้นไม่ใช่หัวของ Jinkichi แต่กลับเป็นหัวของจิโซ ที่มาปกป้อง Jinkichi จนต่อมา มีชายหนุ่มชื่อว่า Masaru Honda ได้เดินทางกลับจังหวัด Higo ซึ่งก็คือ Kumamoto ในปัจจุบัน ระหว่างที่กำลังเดินทางเข้าใกล้เขตคุโรกาว่า ก็ได้ยินเสียงจากหัวของจิโซว่าให้วางหัวฉันลงตรงนี้ จากนั้น Masaru Honda ก็ได้สร้างวัดขึ้นบริเวณนี้ และบ่อน้ำพุร้อนก็ได้ถือกำเนิดขึ้นจากบริเวณนี้ และเป็นจุดเริ่มต้นของหมู่บ้านออนเซ็นคุโรกาว่า
24 Jun 2024
0 Comments
Day 3 : Galleria Midobaru – Beppu – Kuju Flower Park – Kurokawa Onsen
วันนี้เราจะขับรถจากเบ็บปุตัดผ่านหมู่บ้านออนเซ็นยอดนิยมอีกแห่งของญี่ปุ่น เพื่อพักเรียวกังกลางทุ่งนาค่ะ เส้นทางขับรถวันนี้ไม่กี่ร้อยกิโลเมตร ใช้เวลาขับจากจุดสู่จุดไม่นาน และนี่เป็นจุดเด่นของเกาะคิวชูเลย เพราะไม่เหนื่อยและมีเวลาเดินเล่นในเมืองที่พักทุกคืนค่ะ
Galleria Midobaru
(https://beppu-galleria-midobaru.jp/en/ คืนละ 9,000 – 12,000 บาท)
โรงแรมที่เราจะพักกันในคืนนี้ ตั้งอยู่ในบริเวณเมืองเบ็บปุ อยู่ห่างจากยูฟูอินเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เราเช็คอินประมาณห้าโมงเย็น แล้วก็ใช้เวลาตลอดหัวค่ำรวมถึงช่วงเช้าอยู่ในโรงแรมสายอาร์ตแห่งนี้
Galleria Midobaru ตั้งอยู่บนเนินเขาหลังเมืองเบ็บปุ (Beppu) วิวจากห้องพักชั้น 4 จึงเห็นมุมกว้างของเมืองเบ็บปุยาวไปถึงท้องทะเลสีครามของอ่าวเบ็บปุ ในช่วงฤดูร้อน กลางวันแดดจ้าก็จริง แต่ตกเย็นอุณหภูมิจะลดเหลือประมาณยี่สิบองศา อากาศสบายเหมือนอยู่บนเขา
เราจองห้องพักแบบ King Room และได้ upgrade เป็น King Room Premiere ซึ่งอยู่บนชั้นที่สูงขึ้น ห้องนี้มีขนาดใหญ่คล้ายสตูดิโอ เตียงคิงส์ไซส์ ห้องรับแขกกว้าง ระเบียงใหญ่ บริเวณทางเข้าห้องทาด้วยสีเทาดำ รวมถึงห้องน้ำ ดูลึกลับ แต่พอเดินเข้ามาในตัวห้อง ก็กลายเป็นโทนธรรมชาติ ตกแต่งด้วยไม้ธรรมชาติ หัวเตียงวาดรูปหมู่ดาวบนท้องฟ้า เป็นโรงแรมที่แตกต่างจากที่เคยพักในญี่ปุ่นค่ะ
หลังจากจัดวางกระเป๋าเสร็จ ลุงก็กระโดดแช่ออนเซ็นในห้องน้ำซึ่งจะเห็นวิวเมืองเบ็บปุผ่านกระจกใส นอนดมกลิ่นกำมะถันอ่อนๆ ของน้ำพุร้อนธรรมชาติ
เย็นวันนั้น เราลงไปจิบ Sparkling wine ที่บาร์ของโรงแรม เป็น Welcome drink ที่แจกให้กับแขกที่เข้าพัก และก็ทำให้มีเวลาสำรวจส่วนต่างๆของ Galleria Midobaru ทั้งล็อบบี้สูงโปร่งที่มีลูกโลกสว่างอยู่กลางห้อง คล้ายยืนอยู่ในจักรวาลที่มีโลกหมุนรอบตัวเรา ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยสะกด หรือจะเป็นงานศิลปะที่มีจัดแสดงไว้ตามส่วนต่างๆของโรงแรม
นอกจากนั้น เรายังออกไปเดินเล่นรอบๆ ชื่นชมกับการจัดวางพื้นที่ ช่องแสงและช่องลม การสร้างจุดดึงสายตาที่ทำให้โรงแรมดูเท่และไม่เหมือนใคร คืนนั้นเราสั่ง Room Service มากินกันในห้อง ขี้เกียจเข้าเมือง เพราะอยากใช้เวลายืนชมดาวจากระเบียงห้อง ฟังเพลงเพราะๆจาก Spotify และแช่ออนเซ็นอย่างสุขใจ
เช้าวันใหม่ … เราก็ได้เห็นภาพที่อยากเห็นมากที่สุด ภาพควันร้อนจากบ่อน้ำพุร้อนที่พวยพุ่งอยู่เหนือเมืองเบ็บปุ มีภูเขาสูงเป็นฉากเบลออยู่ข้างหลัง เสริมพลังด้วยแสงพระอาทิตย์สีทองที่สาดฟ้าเป็นสีส้ม เมืองแห่งน้ำพุร้อนของญี่ปุ่นเช้านี้เรืองรองมากเหลือเกิน
ข้อควรระวังของ Galleria Midobaru 1) ถนนขึ้นโรงแรมมีขนาดเล็ก และหักศอกอยู่หนึ่งโค้ง ขับรถขึ้นมาให้ระวัง และแนะนำเฉพาะคนที่มีรถเท่านั้นให้มาพักที่นี่ เพราะโรงแรมไม่ได้อยู่ในใจกลางเมืองเบ็บปุ 2) ในช่วงฤดูร้อนมีแมลงเยอะ อย่าเปิดหน้าต่างหรือประตูห้องทิ้งไว้ แมลงจะบินเข้ามาเล่นไฟในห้องได้ 3) กลิ่นกำมะถันจะโชยติดจมูกตลอด เพราะออนเซ็นนี้มีส่วนผสมของกำมะถันอยู่
เบ็บปุ (Beppu)
เช้าวันที่สาม เราจะพาทัวร์ชมบ่อน้ำพุร้อนของเบ็บปุกัน เมืองนี้มีแหล่งน้ำพุร้อนใหญ่อยู่ 8 แห่ง ที่ว่ากันว่าเป็นตัวจ่ายน้ำพุร้อนไปยังส่วนต่างๆของเมืองอีกหลายพันช่องทาง แต่ละบ่อก็มีแร่ธาตุในน้ำพุร้อนที่ต่างกัน จึงทำให้บ่อน้ำพุร้อนมีหลากสีและหลายแบบ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว และจุดชมบ่อน้ำพุร้อนที่สร้างรายได้ให้กับเบ็บปุอย่างมหาศาล
ทัวร์ชมบ่อน้ำพุร้อนนี้มีมีอีกชื่อว่าทัวร์ชมบ่อนรก เพราะควันและความร้อนทำให้คนนึกถึงนรกอเวจี มาสค๊อตของบ่อนรกจึงเป็นยักษ์มีเขี้ยว ที่ดูแล้วเหมือนยมฑูต
ใครที่วางแผนมาทัวร์บ่อนรก แนะนำให้ศึกษาจุดที่ตั้งของบ่อที่อยากจะไปชมก่อน เพราะบ่อทั้ง 8 อยู่คนละที่กัน บ้างใกล้กันแบบเดินถึง แต่บ้างก็ต้องขับรถไป และตั๋วเข้าชม มีทั้งแบบแพ็ครวม เข้าได้ทุกบ่อ กับแบบตั๋วเดี่ยว ซึ่งเราซื้อตั๋วเดี่ยว เพราะชมแค่ 3 บ่อ คนละประมาณ 800 เยนค่ะ (ป.ล. แต่ละบ่อจะมีที่ลานจอดรถบริการด้านหน้า เรามาช่วงเช้าวันธรรมดา รถน้อย หาที่จอดง่ายค่ะ)
บ่อทะเลเดือด หรือ Umi Jigoku
เป็นบ่อยอดนิยมอันดับหนึ่ง มีสีฟ้าสวยงามเหมือนทะเลสาบ แต่ห้ามกระโดดลงไปนะ เพราะความร้อนสูงถึง 98 องศา บ่อ Umi Jigoku เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 1,200 ปีก่อน เห็นอย่างนี้ บ่อยังลึกถึง 150 เมตร และสาเหตุที่มีสีฟ้าสวยงามก็เพราะมีส่วนผสมของแร่ซัลเฟต บวกกับแร่โคบอลต์เป็นส่วนประกอบค่ะ
ในบริเวณใกล้ๆกัน ยังมีบ่อสีแดงเล็กๆให้ชม แต่นี่ยังไม่ใช่บ่อสีเลือดที่เราจะไปเป็นบ่อสุดท้ายนะ
นอกจากนั้นยังมีร้านขายของที่ระลึก ขนม คุกกี้รูปยมทูต มาสค๊อตประจำทัวร์นรก และคาเฟ่ที่มีไข่ออนเซ็นขายอีกด้วยค่ะ
บ่อโคลนเดือด หรือ Oniishibozu Jigoku
เมื่อเดินออกมาจากบ่อสีฟ้า ทางขวามือก็จะเป็นทางเข้าของบ่อโคลนเดือด เราต้องจ่ายค่าเข้าชมอีกครั้งในราคา 800 เยนต่อคน ตอนจ่ายก็แอบคิดเหมือนกันว่า ญี่ปุ่นช่างสรรหารายได้เข้าประเทศนะ ทั้งๆที่สองบ่ออยู่ในบริเวณเดียวกัน แต่แตกหน่อออกมาเป็นสองจุดได้ด้วย
บ่อโคลนนี้ แปลกกว่าบ่อน้ำพุร้อนอื่นๆ เพราะเหมือนเป็นปูนเปียกสีเทาที่ปะทุขึ้นมาเป็นโคลนวงกลมๆ ดูแล้วไม่น่าจะร้อนมาก แต่กลับมีอุณหภูมิเฉียดร้อยองศา
รอบๆบ่อ ยังมีแนวหินร้อนที่มีไอพวยพุ่งขึ้นมา แสดงให้เห็นถึงความระอุที่อยู่ใต้พื้นดิน
บ่อนี้ยังมีจุดให้แช่เท้าในน้ำพุร้อนที่มีองศาพออุ่นๆ นั่งชมธรรมชาติ ฟังเสียงต้นไม้ใบหญ้า ลงแช่แล้วก็เพลินดีค่ะ
บ่อสีเลือด Blood Hell-Chinoike Jigoku
บ่อนี้เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ว่ากันกว่าเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น อยู่ห่างจาก 2 บ่อแรกประมาณ 10 นาที และรู้จักกันในนามว่า “บ่อนรก” เพราะน้ำมีสีส้มจนเกือบจะเป็นสีแดงดังกระทะทองแดงจริงๆ สีแดงเกิดจากโลหะซึ่งเป็นแร่ธาตุหลัก อุณหภูมิของบ่อร้อนประมาณ 78 องศาเซลเซียส อุ่นกว่าสองบ่อแรกที่ดูเป็นมิตรมากกว่า แต่ยังไงก็ตาม อุณหภูมิสูงขนาดนี้ก็ยังไม่เหมาะกับการแช่ตัวอยู่ดี และนี่ก็เป็นบ่อสุดท้ายของทัวร์ชมบ่อนรกที่เมืองเบ็บปุ ใครชอบ ยังชมได้อีกหลายบ่อ ที่จุดขายตั๋วมีแผนที่แจก และถ้าขับรถมาเองก็ยิ่งง่าย เก็บได้ทุกจุดแน่นอนค่ะ
สวนดอกไม้คุจู (Kuju Flower Park)
https://www.hanakoen.com/
ทัวร์ชมบ่อนรกเสร็จไวกว่าที่คิด เรามีเวลาเหลือก่อนจะไปกินข้าวเที่ยงที่หมู่บ้านออนเซ็นคุโรกาว่า เลยตัดสินใจแวะที่สวนดอกไม้คุจูซึ่งเป็นทางผ่าน ที่อยู่ห่างจากเบ็บปุประมาณ 50 กิโล ใช้เวลาขับรถหนึ่งชั่วโมงนิดๆ ตั้งใจจะเอาภาพดอกไม้สวยๆของญี่ปุ่นส่งไปอวดคุณแม่ค่ะ
สวนดอกไม้คุจูตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติอะโซะ เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่บนเนินเขา ดอกไม้ที่เวียนมาปลูกจะแตกต่างกันไปตามฤดูกาล แต่ในช่วงฤดูร้อน ดอกไม้น้อย ค่าเข้าชมเลยลดลงเกือบสามสิบเปอร์เซนต์
เมื่อเดินเข้ามาจะเจอกับลานดอกไม้กว้างสุดลูกหูลูกตา ทำเอาแปลกใจอยู่เหมือนกันว่านี่เรียกว่าดอกไม้น้อยหรือ? ถ้าเยอะ ทุ่งนี้คงจะสวยงามมากจริงๆ
คนญี่ปุ่นเองก็มาเที่ยวที่สวนนี้ บ้างพาหมามาด้วยเพราะเป็น Dog Friendly Park สูงวัยมีบริการรถเข็นและรถกอลฟ์นั่งชมสวน บริเวณรอบๆมีคาเฟ่ และร้านขายดอกไม้ จัดวางได้น่ารัก ถ่ายรูปสนุกดีค่ะ
หมู่บ้านออนเซ็นคุโรกาว่า (Kurokawa Onsen)
จากสวนดอกไม้คุจู เราขับรถมาอีกประมาณสิบกว่ากิโล ก็ถึงหมู่บ้านออนเซ็นคุโรกาว่า ที่รู้จักกันว่าเป็นหมู่บ้านลับในหุบเขา รู้จักกันในวงแคบตั้งแต่สมัยเอโดะ และมาโด่งดังขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในบริเวณนี้ เต็มไปด้วยเรียวกังชั้นนำ ถือเป็นเมืองออนเซ็นอย่างแท้จริง
หลังจากจอดรถที่จุดบริการนักท่องเที่ยว เราเดินไปรับแผนที่ภาษาอังกฤษ และลงเขาเข้าไปยังหมู่บ้านออนเซ็นคุโรกาว่า เราเจอกับสายน้ำใสไหลผ่ากลางตัวเมือง กับสองข้างทางที่ปลูกสร้างด้วยบ้านไม้เก่าของญี่ปุ่น ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาบ่ายโมงแดดจ้าแต่ลมที่พัดโชยกลับเย็นสบาย พร้อมกับเสียงน้ำใสไหลริน เป็นความสงบของหมู่บ้านคุโรกาว่าที่นักท่องเที่ยวถวิลหา
ก่อนมาทริปนี้ เราพยายามจองที่พักในคุโรกาว่า แต่เพราะเป็นทริปฉุกละหุก ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า เรียวกังที่อยากพักกลับเต็มหมด เราเลยแวะมาดูบรรยากาศ กินข้าวเที่ยงและย้ายไปพักในเรียวกังอีกแห่งใกล้ๆกับคุโรกาว่าแทนค่ะ
อาหารเที่ยงมื้อนี้ ลุงเลือกร้านเปิดใหม่ ที่นั่งชั้นสองมองเห็นวิวของแม่น้ำ เราสั่งอุด้งฟองเต้าหู้ และลุงสั่งเซ็ตเนื้อคล้ายสตูว์ อาหารรสชาติใช้ได้ ร้านแต่งเรียบๆน่ารักดี กินอิ่มก็ลงไปเดินเล่นบนถนนช้อปปิ้งของเมือง ที่ร้านค้าเปิดอยู่ใต้ถุนบ้านญี่ปุ่น กินไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟราดด้วยน้ำผึ้ง ก่อนจะออกเดินทางไปยังเรียวกังที่จองไว้ในคืนนี้ และตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสจะแวะมาซ่อมให้ได้
เรื่องเล่าตำนานของ Kurokawa Onsen “ตำนานจิโซไร้หัว” (ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต)
เล่ากันว่า … กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีพ่อค้าขายเกลือชื่อว่า Jinkichi เป็นคนยากจนและต้องดูแลคุณพ่อที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง อยู่มาวันหนึ่งคุณพ่อของJinkichi อยากกินเมล่อน แต่เนื่องจากความยากจนทำให้เขาต้องไปขโมยลูกเมล่อนจากไร่แห่งหนึ่ง ซึ่งก่อนที่จะขโมยเมล่อน Jinkichi ได้นำเกลือไปถวายเทวรูปจิโซ หลังจากที่ขโมยเสร็จแล้ว Jinkichi ถูกเจ้าของไร่เมล่อนจับได้ และถูกตัดหัว แต่สิ่งที่ตกลงมานั้นไม่ใช่หัวของ Jinkichi แต่กลับเป็นหัวของจิโซ ที่มาปกป้อง Jinkichi จนต่อมา มีชายหนุ่มชื่อว่า Masaru Honda ได้เดินทางกลับจังหวัด Higo ซึ่งก็คือ Kumamoto ในปัจจุบัน ระหว่างที่กำลังเดินทางเข้าใกล้เขตคุโรกาว่า ก็ได้ยินเสียงจากหัวของจิโซว่าให้วางหัวฉันลงตรงนี้ จากนั้น Masaru Honda ก็ได้สร้างวัดขึ้นบริเวณนี้ และบ่อน้ำพุร้อนก็ได้ถือกำเนิดขึ้นจากบริเวณนี้ และเป็นจุดเริ่มต้นของหมู่บ้านออนเซ็นคุโรกาว่า
Related Posts: