เราวางแผนทริปแอดเวนเจอร์นี้มาร่วมปี นับจังหวะรอคอยช่วงเวลาอากาศดี ชักชวนน้องๆใจอึดมาร่วมเดินทางพิชิตยอดภูเขาไฟเขาโบรโม่ และน้ำตกพันสายทัมปัคเซวู หนึ่งในจุดหมายที่อยากไปเห็นด้วยตาเปล่าสักครั้ง
แผนการเที่ยวของทริปตะลุยเกาะชวาตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย 5 วัน 4 คืนนี้ น่าจะพอเป็นประโยชน์สำหรับคนที่วางแผนจะไปสำรวจเส้นทางนี้เหมือนกัน … เชื่อสิว่า ถ้าเราทำได้ พวกคุณก็ต้องทำสำเร็จได้เหมือนกัน
Day 1 : Bangkok – Singapore
ออกเดินทางจากกรุงเทพสู่สิงคโปร์ ด้วยสายการบิน Singapore Airlines มีบริการ 5 ไฟลท์ต่อวัน ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมง (ตั๋วชั้นประหยัดประมาณ 9,000 – 12,000 บาท และตั๋วแลกไมล์ราคา 2,900 บาท)
แนะนำไฟลท์ SQ 705 และ SQ 707 ถึงสิงคโปร์เวลา 13.05 น. และ 15.40 น. พอถึงสิงคโปร์ ก็จะมีเวลาเดินเล่นชมความยิ่งใหญ่ของ The Jewel Changi ศูนย์รวมความบันเทิงของสนามบินชางฮี ที่ดันให้สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางการบินที่ใหญ่และดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก่อนเข้าสิงคโปร์ อย่าลืมทำ ICA Online หรือ Arrival Card Online ซึ่งเปิดให้ทำได้ 3 วันก่อนเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์ -> https://eservices.ica.gov.sg/sgarrivalcard/fvipa
The Jewel Changi Architect
เช็คอินที่โรงแรมในสนามบินชางฮี มีแนะนำ 2 โรงแรม Crown Plaza Changi Airport อยู่ติดกับ Terminal 3 ห้องใหญ่ สวยงาม และมี Express Check Out ในราคาคืนละ 7-8 พัน หรือ YOTELAIR Singapore Changi อยู่ใน The Jewel Changi ชั้น L3 ห้องเล็กจิ๋ว ไม่มีหน้าต่าง เตียงควีนไซส์ โรงแรมสร้างในคอนเซ็ปต์ของอวกาศ ห้องเลยจะคล้ายกับแคปซูลโฮเท็ล ราคาคืนละ 4-5 พันบาท
Crown Plaza Changi Airport
YOTELAIR Singapore Changi
ช่วงเย็น กินร้านอร่อยที่ The Jewel Changi Airport เช่น Jumbo Seafood, Imperial Treausre, Putian หรือ Violet Oon ร้านอาหารเพรานากันรางวัลมิชลินของสิงคโปร์ ส่วนขนมหวานมีไอศกรีม llao llao (อยู่ Terminal 3 ขาออก) , Bird of Paradise แวะซื้อหมูหวานที่ Lim Chee Guan ขนมปังกล้วยหอม ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้น B2 และตุนขนมขบเคี้ยว ขนมรสเปรี้ยวกันเมารถ สำหรับ Road Trip ที่อินโดนีเซีย
Day 2 : Singapore – Surabaya – Plataran Bromo
7.50 น. บินตรงสู่สุราบายาด้วยสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ SQ 922 ใช้เวลาบิน 2 ชั่วโมง สู่เมืองใหญ่อันดับสอง บนเกาะชวาตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย (ตั๋วชั้นประหยัดประมาณ 12,000 บาท)
9.30 น. ถึงสนามบิน Juanta Surabaya International Airport (เวลาที่อินโดนีเซียช้ากว่าสิงคโปร์ 1 ชั่วโมง แต่เท่ากับประเทศไทย) พบกับ Ririn ไกด์จากบริษัท Ongis Travel ซึ่งจะพาเราทำความรู้จักกับสุราบายา ผ่าน Heroes Monument เมืองที่ชาวอินโดนีเซียภาคภูมิใจจากการที่ชาวเมืองลุกขึ้นมาปลดแอกตัวเองจากการปกครองกว่า 300 ปีของชาวดัชต์ผ่านรูปปั้นของประธานธิบดีคนแรกของอินโดนีเซีย และ Sura & Baya Monument ตามชื่อของเมือง Sura ที่แปลว่าฉลาม และ Baya ก็คือจระเข้ อนุเสาวรีย์ฉลามและจระเข้ที่สู่รบกัน สองสัตว์ที่แข็งแกร่งจากทางบกและทางน้ำ ตำนานเก่าแก่ของสุราบายา
Heroes Monument
Sura & Baya Monument
เที่ยง … แวะกินข้าวระหว่างทางที่ Rest Area และขับรถตรงไปยัง Plataran Bromo โรงแรมสวยบนยอดเขา ระยะทางจากสุราบายาไปยังโรงแรม ประมาณ 100 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 2.30 ชั่วโมง ถนนไฮเวย์ในอินโดนีเซียมีสภาพดีมาก รถวิ่งได้ฉิว แต่พอถึงเส้นทางขึ้นเขาไปยังโรงแรมค่อนข้างคดเคี้ยวและเป็นเลนคู่ มีโค้งหักศอกบ้าง ทำให้หูอื้อ และเวียนหัวนิดหน่อย แต่ถ้าใครที่เมารถกินยาแก้เมารถกันไว้ได้เลยค่ะ
15.00 น. เช็คอินที่ Plataran Bromo เอนจอยกับอากาศเย็นสบาย ประมาณ 12-14 องศา หลังจากนั้นก็ใช้เวลาอยู่ในโรงแรม ทำกิจกรรมต่างๆ ก่อนจะรีบเข้านอนเพราะคืนนี้ต้องตื่นตอน 1.30 เตรียมตัวและใจไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาไปโบรโม่ บล็อก Plataran Bromo อ่านได้ที่นี่
Day 3 : Bromo Sunrise – Bromo Crater – Bromo Hillside
2.30 ขึ้นรถจี๊ปสมัยสงครามโลก ที่มารอรับพวกเราตรงล๊อบบี้ พร้อมพาเราซิ่งขึ้นไปยังจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น King Kong Hill ที่อยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 45 นาที อุณหภูมิบนจุดชมวิวตกลงมาเหลือ 10 องศาเท่านั้น (ถ้าช่วงฤดูหนาวอาจจะติดลบได้)
เรายังต้องรอเวลาพระอาทิตย์ขึ้นอีกเกือบ 2 ชั่วโมง เลยเริ่มจับจองที่นั่งตามร้านขายของระหว่างทาง แนะนำให้เลือกร้านที่มีเตาผิงจะได้นั่งรออุ่นๆ พร้อมกับจิบกาแฟหรือช็อกโกแล็ตร้อน ชิมคัพนู้ดเดิ้ลของอินโดนียเซียกับกล้วยทอดอย่างสบายใจ ใครอยากเข้าห้องน้ำก็มีบริการ ค่าเข้า 5,000 รูเปีย/คน
5.30 น. ไกด์พาเราเดินจากร้านขายของไปยังจุดชมวิว ระยะทางประมาณ 200-500 เมตร ระหว่างทางลมหมุนแรงมาก พัดฝุ่นทรายเข้าตาตลอด แต่พอถึงตรงแนวเขาที่เป็นจุดชมวิว ลมก็สงบลงบ้าง นักท่องเที่ยวต่างเลือกมุมที่ชอบและจับจองที่นั่ง ใครอยากได้มุมสูง ให้เดินขึ้นเนินไปอีก จากนั้นก็รอลุ้นภาพประทับใจของภูเขาไฟที่ยังมีลมหายใจ โบรโม่ผู้ยิ่งใหญ่
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่กว่า 400 แห่ง และโบรโม่ก็เป็นหนึ่งในนั้น โบรโม่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโบรโมเติงเกอร์เซอเมรู ของเกาะชวาตะวันออก มีความสูงเหนือระดับทะเลประมาณ 2,392 เมตร มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ โบรโม่ในภาษาชวามีความหมายว่า “พรหม” พระนามของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ซึ่งชาวบ้านในละแวกนี้นับถือศาสนาฮินดู ต่างจากศาสนามุสลิมที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอินโดนีเซีย ฤดูกาลชมโบรโม่อยู่ในช่วงของฤดูแล้ง หรือ Dry Season ระหว่างเมษายน – ตุลาคม ถ้าใครมาในช่วงฤดูฝน อาจจะเสี่ยงกับสภาพอากาศที่ไม่ดี เมฆหนา และอดเห็นภาพของโบรโม่ที่ยิ่งใหญ่ได้
เราโชคดีฟ้าเปิด และได้เห็นโบรโม่อย่างภาพโปสการ์ดที่ตั้งใจ
6.30 น. นั่งรถจี๊ปคันเก่งลงจากจุดชมวิวเพื่อไปยัง Widodaren Hill/ Sea of Sand ขาลงรถจะติดมาก บางวันครึ่งชั่วโมง บางครั้งนานถึง 2 ชั่วโมง ของเรารอประมาณหนึ่งชั่วโมง รถก็เริ่มขยับ ระหว่างที่รอจะหลับต่อหรือกินอาหารเช้าที่โรงแรมแพ็คใส่กล่องมาให้ หรือลงไปเดินเล่นถ่ายรูปกับจุดชมวิวระหว่างทางก็ได้ ส่วนคนรถของเราพอรถนิ่งสนิทก็ดับเครื่อง เปิดประตูลงไปสูบบุหรี่ จิบกาแฟและคุยกับเพื่อนคนขับรถคนอื่นๆอย่างสบายใจ ปล่อยให้นักท่องเที่ยวนั่งรออยู่ในรถ ทำเหมือนเป็นสภากาแฟตอนเช้าที่ได้มาเจอเพื่อนฝูง เป็นประสบการณ์ที่แปลกดีค่ะ
เดินไปถ่ายรูปที่ Love Hill ระหว่างรอรถติด
8.30 น. แวะถ่ายรูปกับรถจี๊ปสมัยสงครามโลกให้ดูคูลๆ ฉากหลังมีภูเขาไฟเป็นองค์ประกอบ ภูมิทัศน์ที่แห้งแล้งและฝุ่นทรายดำใน Sea of Sand ที่ฟุ้งกระจายกลายเป็นม่านหมอกบางๆทำให้ภาพถ่ายออกมามีมิติและดูเท่ ใครเป็นภูมิแพ้หรือตาแห้ง แนะนำให้พกผ้าปิดปาก และหยิบน้ำตาเทียมขึ้นมาหยอดบ่อยๆ พวกเรารอดฝุ่นทรายมาได้ คนอื่นก็รอดได้เหมือนกันค่ะ
9.30 – 11.00 น. ขี่ม้าไปยังปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ (Bromo Crater) ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ระยะทาง 2 กิโลเมตร ค่าม้า 250,000 รูเปียต่อคน จากนั้นต้องเดินขึ้นบันไดอีก 250 ขั้นไปยังปากปล่องภูเขาไฟ ชมความยิ่งใหญ่ของโบรโม่อย่างใกล้ชิด กลิ่นกำมะถันใกล้ปากปล่องค่อนข้างแรง ควรใส่หน้ากากอนามัย และไม่ควรอยู่นานค่ะ ส่วนใครไม่อยากขี่ม้าจะเลือกเดินไปยังปากปล่องก็ได้ แต่ทรายนุ่มจะเดินยากหน่อยและใช้เวลานาน
11.30 น – 13.00 น. ไปชมวิวและกินมื้อเที่ยงที่ Bromo Hillside จุดชมวิว 360 องศา ที่อยู่ไม่ไกลจาก Sea of Sand นั่งรถจี๊ปไปประมาณ 20 นาที ก็จะถึง Bromo Hillside ที่เป็นทั้งจุดชมวิว คาเฟ่ ร้านอาหาร และบ้านพัก
ชั้นบนสุดของ Bromo Hillside เป็นทางเดินวงกลมกลางแจ้ง ให้เราชมวิวของ Teletubbies Hill หรือเนินเขาสีเขียวแบบพาโนรามา ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร ลมเย็นสบายยิ่งกว่าเปิดแอร์ เมนูเน้นอาหารจานเดียว เช่นแฮมเบอร์เกอร์ บะหมี่ผัด หรือข้าวผัด รสชาติอาหารพอใช้ได้ ส่วนชั้นล่างสุดเป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว ใครสนใจมาที่ Bromo Hillside จะมีค่าเข้าชม แต่บอกเลยว่าคุ้มค่ะ แนะนำให้มาพักขา พักร่างที่นี่ วิวสวยอลังการจริงๆ
15.00 น. กลับถึงโรงแรม นวดตัว และพักผ่อน บล็อก Plataran Bromo อ่านได้ที่นี่
Day 4 : Tumpak Sewu Waterfall – Majapahit Hotel Surabaya
7.00 น. มื้อเช้าที่ Plataran Bromo ท่ามกลางสายหมอกและอากาศเย็นสบาย ถึงเวลาต้องอำลาและมุ่งหน้าสู่พื้นราบแล้วสินะ
8.30 น. ออกเดินทางไปยังเมืองมาลัง (Malang) ซึ่งเป็นที่ตั้งของน้ำตกพันสาย Tumpak Sewu ระยะทางจากโรงแรมไปยังน้ำตกเพียง 100 กิโลเมตรเท่านั้น แต่รถขับขึ้นเขาและลงเขาบนถนนเลนคู่ เลยใช้เวลาเดินทางประมาณ 4.30 ชั่วโมงกว่าจะไปถึงน้ำตก
ระหว่างทางถ้าจะเข้าห้องน้ำ Ririn ไกด์ของเรา จะพาเข้าตามร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร หรือปั๊มน้ำมัน ที่มีให้จอดตลอดทาง ห้องน้ำบางที่ก็สะอาด แต่บางแห่งก็เป็นห้องน้ำเปียก ที่สำคัญคนอินโดนีเซียมักถอดรองเท้าก่อนเข้าใช้ห้องน้ำ ดังนั้นถ้าเจอที่ไหนมีรองเท้าถอดอยู่หน้าทางเข้า ก็ให้ปฏิบัติตามค่ะ
13.00 น. ถึงลานจอดรถและทางเข้าน้ำตกพันสาย Tumpak Sewu พวกเราจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ มีค่าบริการคนละ 5,000 รูเปีย แนะนำให้ใส่เสื้อผ้าร่มบางๆที่กันน้ำได้ รองเท้าที่กระชับเท้าและมีพื้นยางกันลื่น กระเป๋ากันน้ำ และซองมือถือกันน้ำเผื่อฝนตก เราจะใช้เวลาสำรวจน้ำตกกันประมาณ 2 ชั่วโมง จึงควรเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย ด้านล่างของน้ำตกก็มีห้องน้ำบริการเหมือนกันแต่จะเล็กและสะอาดน้อยกว่า สำหรับมื้อเที่ยงของวันนี้ พวกเรายังไม่หิว เพราะกินขนมขบเคี้ยวกันบนรถไปเยอะ เลยขอเติมพลังด้วยคัพนู้ดเดิ้ลถ้วยเล็กๆเท่านั้นพอ
พร้อมลุย !!! กับสภาพร่างกายที่ยังเต็มร้อย
จุดชมวิว Panorama ของ Tumpak Sewu Waterfall ที่วันนี้มีละอองน้ำและหมอกขาวพวยพุ่งทำให้ภาพของน้ำตกเหมือนใส่เลนส์ฟุ้ง สวยและมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
13.30 – 15.30 น. เดินลงบันไดหินสูงชันสู่ก้นบึ้งของน้ำตก ช่วงแรกตรงบันไดหินจะมีคนเดินสวนขึ้นมาตลอดก็จะเบียดเสียดหน่อย จากนั้นก็เจอกับบันไดเหล็กที่ลื่นมาก เพราะเกลียวของเหล็กหายเกลี้ยง ช่วงนี้ต้องตั้งสมาธิและค่อยๆสลับเท้าลงกันลื่น
จากนั้นก็จะเริ่มเดินผ่านน้ำตกที่เย็นเฉียบและไหลแรง ต้องพยุงตัวไว้ให้ดี จนมาถึงทางลงแบบวิบากที่นักท่องเที่ยวจีนจะปีนโขดหินผ่านน้ำตกไหลแรง โรยตัวบนเชือกให้ดูแอนเวนเจอร์ ทั้งๆที่จริงแล้วมีบันไดหินเดินสบายกว่าอยู่ด้านข้าง คือจะเลือกทางสบาย หรือทางลำบากก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล
รวมๆแล้วเราใช้เวลาเดินลงประมาณ 20-30 นาที กับบันได 3-4 ร้อยขั้น ลึก 200-300 เมตร จนมาเจอทางราบที่ก้นน้ำตก ถ้าเดินอย่างระมัดระวัง เดินช้าๆ ก็ผ่านมาได้อย่างปลอดภัยค่ะ
จุดถ่ายรูปแรกเป็นมุมของน้ำตก Tumpak Sewu ที่นักท่องเที่ยวจะปีนขึ้นไปยืนถ่ายรูปบนโขดหินโดยมีสายน้ำตกที่มีละอองฟุ้งกระจายเป็นภาพด้านหลัง แสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่ของ Tumpak Sewu และความสำเร็จของนักท่องเที่ยวหลังจากการผจญภัย ละอองน้ำที่โปรยปรายลงมาเหมือนสายฝนทำให้ผมเปียกชื้น แต่ทุกคนกลับรู้สึกสนุกกับธรรมชาติแปลกใหม่
จุดที่สองเป็นน้ำตกย่อยและบ่อน้ำใสที่เมื่อก่อนมีสีฟ้า จึงเรียกว่า Blue Pond แต่ตอนนี้เป็นแค่บ่อน้ำใส่ไหลเย็นเท่านั้น ใครจะลงไปแช่น้ำก็น่าสนุกดี
บรรยากาศและธรรมชาติของน้ำตกยังคงสมบูรณ์เต็มร้อย แหงนมองขึ้นฟ้าก็จะเห็นแต่หน้าผาหิน อารมณ์ของนักสำรวจพุ่งปรี้ด นึกถึงหนังจูราสสิกเวริด์ขึ้นมาทันใด
16.00 น. เรากลับมาถึงรถด้วยผมที่เปียกปอน และแข้งขาที่อ่อนแรง ทางลงว่ายาก แต่เดินขึ้นเหนื่อยกว่ามาก ต้องพักเหนื่อยเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้หมดแรง เราล้างตัวในห้องน้ำ เช็ดหน้า เช็ดผม เปลี่ยนเสื้อผ้า ถอดรองเท้าเปียกออก ก่อนจะขึ้นรถด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ และเรื่องเล่าที่จะจดจำไปอีกนานแสนนาน
20.00 น. ถึงโรงแรม Majapahit Surabaya MGallery ระยะทางจากน้ำตก Tumpak Sewu เพียง 160 กิโลเมตร เท่านั้น แต่ระหว่างทางรถหกล้อเยอะมาก ทำให้รถติดและเคลื่อนตัวไปได้ช้า เราเลยใช้เวลาเดินทางกันถึง 4 ชั่วโมง กว่าจะหลุดเข้าถนนไฮเวย์ และวิ่งฉิวตรงสู่สุราบายา
คืนนี้เราเหนื่อยกันมาเลยกินอาหารที่โรงแรม ก่อนจะเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า (อีกแล้ว) ไปขึ้นเครื่องบินกลับไปยังสิงคโปร์ และกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ บล็อกโรงแรม Majapahit Surabaya MGallery อ่านได้ที่นี่
ค่าใช้จ่ายการเดินทางทริป Surabaya – Bromo Volcano – Tumpak Sewu Waterfall (5 Days 4 Nights) ประมาณ 55,000 บาท/คน
ค่าตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัด 2 ขา (กรุงเทพ – สิงคโปร์ และ สิงคโปร์ – สุราบายา) ประมาณ 24,000 บาท
ค่าโรงแรมที่สนามบินชางฮี Crown Plaza 8,000 บาท/คืน
ค่าโรงแรมที่ Plataran Bromo 20,000/ 2 คืน
ค่าโรงแรมที่ Majapahit Surabaya MGallery 3,500 บาท/คืน
ค่าทัวร์รวมไกด์ คนขับ รถ และค่าเข้าสถานที่ต่างๆ 17,330,000 Rp/ 4 คน (ตกคนละ 10,000 บาท)
ค่าอาหาร/ ขนมระหว่างการเดินทาง 5,000 บาท/ คน
บริษัททัวร์ที่ใช้บริการ Ongis Travel มีสำนักงานที่เมืองมาลัง ติดต่อได้ทาง IG และ whatapp ซึ่งพนักงานยินดีให้คำแนะนำและวางแผนเที่ยว เราเลือกรถพรีเมี่ยม HILUXE แบบ 7 ที่นั่ง เก้าอี้แบบ Business Class สำหรับ 4 คน พร้อมคนขับ ไกด์ และค่าเข้าสถานที่ ไม่รวมโรงแรม และอาหาร ในแพ็คเก็จ 17,330,000 Rp/ 4 คน หรือตกคนละ 10,000 บาท การจ่ายเงิน ชำระ 50% ก่อนเดินทางผ่าน paypal หรือโอนเงิน และชำระส่วนที่เหลือเป็นเงินสดค่ะ
รถตู้หลังคาสูง และที่นั่งสบาย กว้างขวางค่ะ
17 Sep 2024
0 Comments
Surabaya – Bromo Volcano – Tumpak Sewu Waterfall : 5 วัน 4 คืน
เราวางแผนทริปแอดเวนเจอร์นี้มาร่วมปี นับจังหวะรอคอยช่วงเวลาอากาศดี ชักชวนน้องๆใจอึดมาร่วมเดินทางพิชิตยอดภูเขาไฟเขาโบรโม่ และน้ำตกพันสายทัมปัคเซวู หนึ่งในจุดหมายที่อยากไปเห็นด้วยตาเปล่าสักครั้ง
แผนการเที่ยวของทริปตะลุยเกาะชวาตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย 5 วัน 4 คืนนี้ น่าจะพอเป็นประโยชน์สำหรับคนที่วางแผนจะไปสำรวจเส้นทางนี้เหมือนกัน … เชื่อสิว่า ถ้าเราทำได้ พวกคุณก็ต้องทำสำเร็จได้เหมือนกัน
Day 1 : Bangkok – Singapore
ออกเดินทางจากกรุงเทพสู่สิงคโปร์ ด้วยสายการบิน Singapore Airlines มีบริการ 5 ไฟลท์ต่อวัน ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมง (ตั๋วชั้นประหยัดประมาณ 9,000 – 12,000 บาท และตั๋วแลกไมล์ราคา 2,900 บาท)
แนะนำไฟลท์ SQ 705 และ SQ 707 ถึงสิงคโปร์เวลา 13.05 น. และ 15.40 น. พอถึงสิงคโปร์ ก็จะมีเวลาเดินเล่นชมความยิ่งใหญ่ของ The Jewel Changi ศูนย์รวมความบันเทิงของสนามบินชางฮี ที่ดันให้สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางการบินที่ใหญ่และดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก่อนเข้าสิงคโปร์ อย่าลืมทำ ICA Online หรือ Arrival Card Online ซึ่งเปิดให้ทำได้ 3 วันก่อนเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์ -> https://eservices.ica.gov.sg/sgarrivalcard/fvipa
The Jewel Changi Architect
เช็คอินที่โรงแรมในสนามบินชางฮี มีแนะนำ 2 โรงแรม Crown Plaza Changi Airport อยู่ติดกับ Terminal 3 ห้องใหญ่ สวยงาม และมี Express Check Out ในราคาคืนละ 7-8 พัน หรือ YOTELAIR Singapore Changi อยู่ใน The Jewel Changi ชั้น L3 ห้องเล็กจิ๋ว ไม่มีหน้าต่าง เตียงควีนไซส์ โรงแรมสร้างในคอนเซ็ปต์ของอวกาศ ห้องเลยจะคล้ายกับแคปซูลโฮเท็ล ราคาคืนละ 4-5 พันบาท
Crown Plaza Changi Airport
YOTELAIR Singapore Changi
ช่วงเย็น กินร้านอร่อยที่ The Jewel Changi Airport เช่น Jumbo Seafood, Imperial Treausre, Putian หรือ Violet Oon ร้านอาหารเพรานากันรางวัลมิชลินของสิงคโปร์ ส่วนขนมหวานมีไอศกรีม llao llao (อยู่ Terminal 3 ขาออก) , Bird of Paradise แวะซื้อหมูหวานที่ Lim Chee Guan ขนมปังกล้วยหอม ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้น B2 และตุนขนมขบเคี้ยว ขนมรสเปรี้ยวกันเมารถ สำหรับ Road Trip ที่อินโดนีเซีย
Day 2 : Singapore – Surabaya – Plataran Bromo
7.50 น. บินตรงสู่สุราบายาด้วยสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ SQ 922 ใช้เวลาบิน 2 ชั่วโมง สู่เมืองใหญ่อันดับสอง บนเกาะชวาตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย (ตั๋วชั้นประหยัดประมาณ 12,000 บาท)
9.30 น. ถึงสนามบิน Juanta Surabaya International Airport (เวลาที่อินโดนีเซียช้ากว่าสิงคโปร์ 1 ชั่วโมง แต่เท่ากับประเทศไทย) พบกับ Ririn ไกด์จากบริษัท Ongis Travel ซึ่งจะพาเราทำความรู้จักกับสุราบายา ผ่าน Heroes Monument เมืองที่ชาวอินโดนีเซียภาคภูมิใจจากการที่ชาวเมืองลุกขึ้นมาปลดแอกตัวเองจากการปกครองกว่า 300 ปีของชาวดัชต์ผ่านรูปปั้นของประธานธิบดีคนแรกของอินโดนีเซีย และ Sura & Baya Monument ตามชื่อของเมือง Sura ที่แปลว่าฉลาม และ Baya ก็คือจระเข้ อนุเสาวรีย์ฉลามและจระเข้ที่สู่รบกัน สองสัตว์ที่แข็งแกร่งจากทางบกและทางน้ำ ตำนานเก่าแก่ของสุราบายา
Heroes Monument
Sura & Baya Monument
เที่ยง … แวะกินข้าวระหว่างทางที่ Rest Area และขับรถตรงไปยัง Plataran Bromo โรงแรมสวยบนยอดเขา ระยะทางจากสุราบายาไปยังโรงแรม ประมาณ 100 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 2.30 ชั่วโมง ถนนไฮเวย์ในอินโดนีเซียมีสภาพดีมาก รถวิ่งได้ฉิว แต่พอถึงเส้นทางขึ้นเขาไปยังโรงแรมค่อนข้างคดเคี้ยวและเป็นเลนคู่ มีโค้งหักศอกบ้าง ทำให้หูอื้อ และเวียนหัวนิดหน่อย แต่ถ้าใครที่เมารถกินยาแก้เมารถกันไว้ได้เลยค่ะ
15.00 น. เช็คอินที่ Plataran Bromo เอนจอยกับอากาศเย็นสบาย ประมาณ 12-14 องศา หลังจากนั้นก็ใช้เวลาอยู่ในโรงแรม ทำกิจกรรมต่างๆ ก่อนจะรีบเข้านอนเพราะคืนนี้ต้องตื่นตอน 1.30 เตรียมตัวและใจไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาไปโบรโม่ บล็อก Plataran Bromo อ่านได้ที่นี่
Day 3 : Bromo Sunrise – Bromo Crater – Bromo Hillside
2.30 ขึ้นรถจี๊ปสมัยสงครามโลก ที่มารอรับพวกเราตรงล๊อบบี้ พร้อมพาเราซิ่งขึ้นไปยังจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น King Kong Hill ที่อยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 45 นาที อุณหภูมิบนจุดชมวิวตกลงมาเหลือ 10 องศาเท่านั้น (ถ้าช่วงฤดูหนาวอาจจะติดลบได้)
เรายังต้องรอเวลาพระอาทิตย์ขึ้นอีกเกือบ 2 ชั่วโมง เลยเริ่มจับจองที่นั่งตามร้านขายของระหว่างทาง แนะนำให้เลือกร้านที่มีเตาผิงจะได้นั่งรออุ่นๆ พร้อมกับจิบกาแฟหรือช็อกโกแล็ตร้อน ชิมคัพนู้ดเดิ้ลของอินโดนียเซียกับกล้วยทอดอย่างสบายใจ ใครอยากเข้าห้องน้ำก็มีบริการ ค่าเข้า 5,000 รูเปีย/คน
5.30 น. ไกด์พาเราเดินจากร้านขายของไปยังจุดชมวิว ระยะทางประมาณ 200-500 เมตร ระหว่างทางลมหมุนแรงมาก พัดฝุ่นทรายเข้าตาตลอด แต่พอถึงตรงแนวเขาที่เป็นจุดชมวิว ลมก็สงบลงบ้าง นักท่องเที่ยวต่างเลือกมุมที่ชอบและจับจองที่นั่ง ใครอยากได้มุมสูง ให้เดินขึ้นเนินไปอีก จากนั้นก็รอลุ้นภาพประทับใจของภูเขาไฟที่ยังมีลมหายใจ โบรโม่ผู้ยิ่งใหญ่
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่กว่า 400 แห่ง และโบรโม่ก็เป็นหนึ่งในนั้น โบรโม่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโบรโมเติงเกอร์เซอเมรู ของเกาะชวาตะวันออก มีความสูงเหนือระดับทะเลประมาณ 2,392 เมตร มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ โบรโม่ในภาษาชวามีความหมายว่า “พรหม” พระนามของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ซึ่งชาวบ้านในละแวกนี้นับถือศาสนาฮินดู ต่างจากศาสนามุสลิมที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอินโดนีเซีย ฤดูกาลชมโบรโม่อยู่ในช่วงของฤดูแล้ง หรือ Dry Season ระหว่างเมษายน – ตุลาคม ถ้าใครมาในช่วงฤดูฝน อาจจะเสี่ยงกับสภาพอากาศที่ไม่ดี เมฆหนา และอดเห็นภาพของโบรโม่ที่ยิ่งใหญ่ได้
เราโชคดีฟ้าเปิด และได้เห็นโบรโม่อย่างภาพโปสการ์ดที่ตั้งใจ
6.30 น. นั่งรถจี๊ปคันเก่งลงจากจุดชมวิวเพื่อไปยัง Widodaren Hill/ Sea of Sand ขาลงรถจะติดมาก บางวันครึ่งชั่วโมง บางครั้งนานถึง 2 ชั่วโมง ของเรารอประมาณหนึ่งชั่วโมง รถก็เริ่มขยับ ระหว่างที่รอจะหลับต่อหรือกินอาหารเช้าที่โรงแรมแพ็คใส่กล่องมาให้ หรือลงไปเดินเล่นถ่ายรูปกับจุดชมวิวระหว่างทางก็ได้ ส่วนคนรถของเราพอรถนิ่งสนิทก็ดับเครื่อง เปิดประตูลงไปสูบบุหรี่ จิบกาแฟและคุยกับเพื่อนคนขับรถคนอื่นๆอย่างสบายใจ ปล่อยให้นักท่องเที่ยวนั่งรออยู่ในรถ ทำเหมือนเป็นสภากาแฟตอนเช้าที่ได้มาเจอเพื่อนฝูง เป็นประสบการณ์ที่แปลกดีค่ะ
เดินไปถ่ายรูปที่ Love Hill ระหว่างรอรถติด
8.30 น. แวะถ่ายรูปกับรถจี๊ปสมัยสงครามโลกให้ดูคูลๆ ฉากหลังมีภูเขาไฟเป็นองค์ประกอบ ภูมิทัศน์ที่แห้งแล้งและฝุ่นทรายดำใน Sea of Sand ที่ฟุ้งกระจายกลายเป็นม่านหมอกบางๆทำให้ภาพถ่ายออกมามีมิติและดูเท่ ใครเป็นภูมิแพ้หรือตาแห้ง แนะนำให้พกผ้าปิดปาก และหยิบน้ำตาเทียมขึ้นมาหยอดบ่อยๆ พวกเรารอดฝุ่นทรายมาได้ คนอื่นก็รอดได้เหมือนกันค่ะ
9.30 – 11.00 น. ขี่ม้าไปยังปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ (Bromo Crater) ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ระยะทาง 2 กิโลเมตร ค่าม้า 250,000 รูเปียต่อคน จากนั้นต้องเดินขึ้นบันไดอีก 250 ขั้นไปยังปากปล่องภูเขาไฟ ชมความยิ่งใหญ่ของโบรโม่อย่างใกล้ชิด กลิ่นกำมะถันใกล้ปากปล่องค่อนข้างแรง ควรใส่หน้ากากอนามัย และไม่ควรอยู่นานค่ะ ส่วนใครไม่อยากขี่ม้าจะเลือกเดินไปยังปากปล่องก็ได้ แต่ทรายนุ่มจะเดินยากหน่อยและใช้เวลานาน
11.30 น – 13.00 น. ไปชมวิวและกินมื้อเที่ยงที่ Bromo Hillside จุดชมวิว 360 องศา ที่อยู่ไม่ไกลจาก Sea of Sand นั่งรถจี๊ปไปประมาณ 20 นาที ก็จะถึง Bromo Hillside ที่เป็นทั้งจุดชมวิว คาเฟ่ ร้านอาหาร และบ้านพัก
ชั้นบนสุดของ Bromo Hillside เป็นทางเดินวงกลมกลางแจ้ง ให้เราชมวิวของ Teletubbies Hill หรือเนินเขาสีเขียวแบบพาโนรามา ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร ลมเย็นสบายยิ่งกว่าเปิดแอร์ เมนูเน้นอาหารจานเดียว เช่นแฮมเบอร์เกอร์ บะหมี่ผัด หรือข้าวผัด รสชาติอาหารพอใช้ได้ ส่วนชั้นล่างสุดเป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว ใครสนใจมาที่ Bromo Hillside จะมีค่าเข้าชม แต่บอกเลยว่าคุ้มค่ะ แนะนำให้มาพักขา พักร่างที่นี่ วิวสวยอลังการจริงๆ
15.00 น. กลับถึงโรงแรม นวดตัว และพักผ่อน บล็อก Plataran Bromo อ่านได้ที่นี่
Day 4 : Tumpak Sewu Waterfall – Majapahit Hotel Surabaya
7.00 น. มื้อเช้าที่ Plataran Bromo ท่ามกลางสายหมอกและอากาศเย็นสบาย ถึงเวลาต้องอำลาและมุ่งหน้าสู่พื้นราบแล้วสินะ
8.30 น. ออกเดินทางไปยังเมืองมาลัง (Malang) ซึ่งเป็นที่ตั้งของน้ำตกพันสาย Tumpak Sewu ระยะทางจากโรงแรมไปยังน้ำตกเพียง 100 กิโลเมตรเท่านั้น แต่รถขับขึ้นเขาและลงเขาบนถนนเลนคู่ เลยใช้เวลาเดินทางประมาณ 4.30 ชั่วโมงกว่าจะไปถึงน้ำตก
ระหว่างทางถ้าจะเข้าห้องน้ำ Ririn ไกด์ของเรา จะพาเข้าตามร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร หรือปั๊มน้ำมัน ที่มีให้จอดตลอดทาง ห้องน้ำบางที่ก็สะอาด แต่บางแห่งก็เป็นห้องน้ำเปียก ที่สำคัญคนอินโดนีเซียมักถอดรองเท้าก่อนเข้าใช้ห้องน้ำ ดังนั้นถ้าเจอที่ไหนมีรองเท้าถอดอยู่หน้าทางเข้า ก็ให้ปฏิบัติตามค่ะ
13.00 น. ถึงลานจอดรถและทางเข้าน้ำตกพันสาย Tumpak Sewu พวกเราจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ มีค่าบริการคนละ 5,000 รูเปีย แนะนำให้ใส่เสื้อผ้าร่มบางๆที่กันน้ำได้ รองเท้าที่กระชับเท้าและมีพื้นยางกันลื่น กระเป๋ากันน้ำ และซองมือถือกันน้ำเผื่อฝนตก เราจะใช้เวลาสำรวจน้ำตกกันประมาณ 2 ชั่วโมง จึงควรเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย ด้านล่างของน้ำตกก็มีห้องน้ำบริการเหมือนกันแต่จะเล็กและสะอาดน้อยกว่า สำหรับมื้อเที่ยงของวันนี้ พวกเรายังไม่หิว เพราะกินขนมขบเคี้ยวกันบนรถไปเยอะ เลยขอเติมพลังด้วยคัพนู้ดเดิ้ลถ้วยเล็กๆเท่านั้นพอ
พร้อมลุย !!! กับสภาพร่างกายที่ยังเต็มร้อย
จุดชมวิว Panorama ของ Tumpak Sewu Waterfall ที่วันนี้มีละอองน้ำและหมอกขาวพวยพุ่งทำให้ภาพของน้ำตกเหมือนใส่เลนส์ฟุ้ง สวยและมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
13.30 – 15.30 น. เดินลงบันไดหินสูงชันสู่ก้นบึ้งของน้ำตก ช่วงแรกตรงบันไดหินจะมีคนเดินสวนขึ้นมาตลอดก็จะเบียดเสียดหน่อย จากนั้นก็เจอกับบันไดเหล็กที่ลื่นมาก เพราะเกลียวของเหล็กหายเกลี้ยง ช่วงนี้ต้องตั้งสมาธิและค่อยๆสลับเท้าลงกันลื่น
จากนั้นก็จะเริ่มเดินผ่านน้ำตกที่เย็นเฉียบและไหลแรง ต้องพยุงตัวไว้ให้ดี จนมาถึงทางลงแบบวิบากที่นักท่องเที่ยวจีนจะปีนโขดหินผ่านน้ำตกไหลแรง โรยตัวบนเชือกให้ดูแอนเวนเจอร์ ทั้งๆที่จริงแล้วมีบันไดหินเดินสบายกว่าอยู่ด้านข้าง คือจะเลือกทางสบาย หรือทางลำบากก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล
รวมๆแล้วเราใช้เวลาเดินลงประมาณ 20-30 นาที กับบันได 3-4 ร้อยขั้น ลึก 200-300 เมตร จนมาเจอทางราบที่ก้นน้ำตก ถ้าเดินอย่างระมัดระวัง เดินช้าๆ ก็ผ่านมาได้อย่างปลอดภัยค่ะ
จุดถ่ายรูปแรกเป็นมุมของน้ำตก Tumpak Sewu ที่นักท่องเที่ยวจะปีนขึ้นไปยืนถ่ายรูปบนโขดหินโดยมีสายน้ำตกที่มีละอองฟุ้งกระจายเป็นภาพด้านหลัง แสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่ของ Tumpak Sewu และความสำเร็จของนักท่องเที่ยวหลังจากการผจญภัย ละอองน้ำที่โปรยปรายลงมาเหมือนสายฝนทำให้ผมเปียกชื้น แต่ทุกคนกลับรู้สึกสนุกกับธรรมชาติแปลกใหม่
จุดที่สองเป็นน้ำตกย่อยและบ่อน้ำใสที่เมื่อก่อนมีสีฟ้า จึงเรียกว่า Blue Pond แต่ตอนนี้เป็นแค่บ่อน้ำใส่ไหลเย็นเท่านั้น ใครจะลงไปแช่น้ำก็น่าสนุกดี
บรรยากาศและธรรมชาติของน้ำตกยังคงสมบูรณ์เต็มร้อย แหงนมองขึ้นฟ้าก็จะเห็นแต่หน้าผาหิน อารมณ์ของนักสำรวจพุ่งปรี้ด นึกถึงหนังจูราสสิกเวริด์ขึ้นมาทันใด
16.00 น. เรากลับมาถึงรถด้วยผมที่เปียกปอน และแข้งขาที่อ่อนแรง ทางลงว่ายาก แต่เดินขึ้นเหนื่อยกว่ามาก ต้องพักเหนื่อยเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้หมดแรง เราล้างตัวในห้องน้ำ เช็ดหน้า เช็ดผม เปลี่ยนเสื้อผ้า ถอดรองเท้าเปียกออก ก่อนจะขึ้นรถด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ และเรื่องเล่าที่จะจดจำไปอีกนานแสนนาน
20.00 น. ถึงโรงแรม Majapahit Surabaya MGallery ระยะทางจากน้ำตก Tumpak Sewu เพียง 160 กิโลเมตร เท่านั้น แต่ระหว่างทางรถหกล้อเยอะมาก ทำให้รถติดและเคลื่อนตัวไปได้ช้า เราเลยใช้เวลาเดินทางกันถึง 4 ชั่วโมง กว่าจะหลุดเข้าถนนไฮเวย์ และวิ่งฉิวตรงสู่สุราบายา
คืนนี้เราเหนื่อยกันมาเลยกินอาหารที่โรงแรม ก่อนจะเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า (อีกแล้ว) ไปขึ้นเครื่องบินกลับไปยังสิงคโปร์ และกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ บล็อกโรงแรม Majapahit Surabaya MGallery อ่านได้ที่นี่
ค่าใช้จ่ายการเดินทางทริป Surabaya – Bromo Volcano – Tumpak Sewu Waterfall (5 Days 4 Nights) ประมาณ 55,000 บาท/คน
ค่าตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัด 2 ขา (กรุงเทพ – สิงคโปร์ และ สิงคโปร์ – สุราบายา) ประมาณ 24,000 บาท
ค่าโรงแรมที่สนามบินชางฮี Crown Plaza 8,000 บาท/คืน
ค่าโรงแรมที่ Plataran Bromo 20,000/ 2 คืน
ค่าโรงแรมที่ Majapahit Surabaya MGallery 3,500 บาท/คืน
ค่าทัวร์รวมไกด์ คนขับ รถ และค่าเข้าสถานที่ต่างๆ 17,330,000 Rp/ 4 คน (ตกคนละ 10,000 บาท)
ค่าอาหาร/ ขนมระหว่างการเดินทาง 5,000 บาท/ คน
บริษัททัวร์ที่ใช้บริการ Ongis Travel มีสำนักงานที่เมืองมาลัง ติดต่อได้ทาง IG และ whatapp ซึ่งพนักงานยินดีให้คำแนะนำและวางแผนเที่ยว เราเลือกรถพรีเมี่ยม HILUXE แบบ 7 ที่นั่ง เก้าอี้แบบ Business Class สำหรับ 4 คน พร้อมคนขับ ไกด์ และค่าเข้าสถานที่ ไม่รวมโรงแรม และอาหาร ในแพ็คเก็จ 17,330,000 Rp/ 4 คน หรือตกคนละ 10,000 บาท การจ่ายเงิน ชำระ 50% ก่อนเดินทางผ่าน paypal หรือโอนเงิน และชำระส่วนที่เหลือเป็นเงินสดค่ะ
รถตู้หลังคาสูง และที่นั่งสบาย กว้างขวางค่ะ
Related Posts: