ระยะทางขับรถวันนี้อยู่ที่ 287 กิโลเมตร จาก Graz มุ่งสู่ Salzburg บนถนนเส้นที่สวยที่สุดเส้นหนึ่งของยุโรป เส้นทาง ป๊อปปูล่าสายนี้ วิ่งผ่านแนวเขาอัลไพน์ หรือกลุ่มเทือกเขาแอลป์ที่พาดผ่านหลายประเทศในทวีปยุโรป วิวสองข้างทาง จึงสวยงามกว่าทุกวัน นอกจากนั้นถนนสายนี้ยังวิ่งผ่านเมืองริมทะเลสาบชื่อดังหลายเมืองของ Austria แต่เราจะแวะ เพียง 2 เมือง เพื่อไม่ให้สูงวัยเหนื่อยเกินไป นั้นก็คือ Hallstatt เมืองมรดกโลก และ St.Wolfgang รีสอร์ตทาวน์ของยุโรป ก่อนจะถึงจุดหมายเมืองแห่งเสียงเพลง Salzburg ในค่ำคืนนี้
เช้าวันนี้ฉันเร่งรัดทุกคนให้ทำธุระเสร็จไวที่สุด ล้อรถต้องหมุนก่อน 9.00 น. เพื่อไปจองที่จอดรถของ Hallstatt ก่อน 11.00 น. ให้ได้ … แต่ปริมาณรถบนถนน ทำให้รถตู้คันเก่งวิ่งไม่ได้ไวเท่าที่ใจต้องการ และถนนสวยก็แลกมาด้วยเลนคู่ ไม่ใช่ไฮเวย์สี่เลนเส้นตรง ดังนั้นกว่าจะมาถึง Hallstatt ก็เป็นเวลาใกล้เที่ยง ลานจอดรถที่หายากดังทองคำจึงเต็มหมด ทั้งลานที่ 1 ลานที่ 2 และลานที่ 3
คุณยายที่ปวดเข่าจึงได้แต่มองตาปรอย คุณตาเริ่มงอแงไม่อยากแวะเมืองนี้เข้าแล้ว แต่น้องสาวคนที่อยากมาเห็น เมืองในฝันยังคงไม่ละความพยายาม และในที่สุดความสำเร็จก็ได้มาอย่างฟลุ๊กๆ เราได้ที่จอดรถในอุโมงค์ที่กำลังจะขับออกจากเมืองพอดี ลานจอดในอุโมงค์ไม่มีชื่อใดๆ รู้แต่ว่ามีรถรอคิวไม่กี่คันและเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งได้ที่จอดเหนือเมือง Hallstatt มาอย่างงงๆ จนถึงทุกวันนี้ค่ะ
Hallstatt
ด้วยสมญานามเมืองสวยที่สุดของ Austria นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกจึงหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ถึงแม้จะมีการ บริหารจัดการที่จอดรถ แต่ปริมาณคนกลับไม่น้อยลงเลย รถทัวร์คันแล้วคันเล่า พานักท่องเที่ยวจากแผ่นดินใหญ่มาชมเมืองมรดกโลก Alpine UNESCO World Heritage บรรยากาศของ Hallstatt ในวันนี้จึงไม่ต่างอะไรจากดิสนีแลนด์ ความงดงามยังคงอยู่มีอยู่แต่ก็ถูกบดบังไปด้วยปริมาณคนและคิวของนักท่องเที่ยวตามจุดแลนด์มาร์ครวมถึงร้านอาหารและห้องน้ำภายในเมือง
Hallstatter See ทะเลสาบหน้าบ้านของเมือง ยังคงงดงามและน่าจะเป็นแลนด์มาร์คเดียวที่ปริมาณคนไม่สามารถบดบังความสวยงามได้ ทะเลสาบใหญ่แห่งนี้มีความยาวถึง 8.5 กิโลเมตร ครอบคลุมเมือง Hallstatt ทั้งหมด วิวนี้เป็นวิวที่ควรมีรูปไว้สักใบ ประทับตราว่ามาถึงแล้ว ดิสนีแลนด์ของ Austria
นอกจากทะเลสาบแล้ว Hallstatt ยังมีโซนเมืองเก่าและตลาดเล็กๆใจกลางเมือง เช่นเดียวกับ Hallstatt Salt World และ Skywalk ที่ขึ้นไปชมได้ด้วย Cable Car แต่จำนวนนักท่องเที่ยวทำให้เราต้องยอมแพ้ จะกินอาหารในร้านดังก็ต้องรอคิวนาน เข้าห้องน้ำก็ช้า เราเลยตัดสินใจลาจาก Hallstatt ไปในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากเหยียบเท้าลงบนหมู่บ้านนี้
น่าเสียดายโอกาส แต่จะทำอย่างไรได้สูงวัยไม่สามารถทานแรงนักท่องเที่ยวไหว เด็กๆก็เริ่มงอแง ฉันจึงพาครอบครัวมุ่งหน้าสู่อีกเมืองริมทะเลสาบ เมืองที่เคยมาค้างเมื่อหลายปีก่อน และยังประทับใจอยู่จนทุกวันนี้ …
ทิป : ถ้าต้องการได้ที่จอดในลานจอด ต้องมาตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อน 10.00 น. จะชัวร์ที่สุด และถ้าอยากจะสัมผัส Hallstatt อย่างไร้ผู้คน ควรนอนค้างที่นี่สัก 1 คืน เพราะช่วงเช้าและเย็น นักท่องเที่ยวจะน้อย ได้เห็นบรรยากาศของเมืองมรดก โลกอย่างแท้จริง (ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบอกต่อๆกันมาค่ะ)
St.Wolfgang
St. Wolfgang อยู่ห่างจาก Hallstatt เพียง 36 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 50 นาทีเท่านั้น เมืองนี้มีทะเลสาบเป็นหน้าบ้าน เทือกเขาสูงล้อมรอบ งดงามคนละอย่างจาก Hallstatt แต่กลับมีเสน่ห์อย่างเมืองพักผ่อนของชาวยุโรป โดยแท้จริง
หลังจากจอดรถที่ลานจอดใกล้ตัวเมือง (ไม่มีคิวและที่จอดว่างมากมาย) เราก็เดินตัวปลิวเข้าสู่ Town Centre ระหว่างทางมีร้านขายของน่ารักหลายร้าน เจอเจ้าเหมียวนอนอาบแดดอย่างสบายใจ แวะถ่ายรูปกับดอกไม้สีสด ก่อนจะเจอกับร้านขายขนม Candy ดักอยู่ตรงหน้า หลานๆขอแวะแค่ดู แต่คุณตาใจดีซื้อให้คนละถุง ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง อยากให้สองลิงมีความสุข
ใจกลางของเมือง St Wolfgang เป็นที่ตั้งของโรงแรมชื่อดัง ตำนานของเมือง White Horse Inn (Weisses Rossl) ที่มีรูปปั้นม้าขาวอยู่หน้าโรงแรม โรงแรมนี้เป็นธุรกิจของครอบครัวที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1712 และโด่งดังจากหนัง The White Horse Inn ที่ประพันธ์โดย Ralph Benatzky นักประพันธ์ชื่อดังชาวออสเตรีย
The Schafbergbahn
St Wolfgang คราวนี้ ฉันตั้งใจพาหลานๆขึ้นรถไฟไปชมวิวบนภูเขาสูง สถานีรถไฟอยู่ห่างจากใจกลางเมืองประมาณ 15 นาที เลยให้สูงวัยนั่งรอ พักในร่มเย็นๆ ที่มีร้านรวงน่ารักรายรอบจะดีกว่า โดยคิดว่าอีกสัก 1 ชั่วโมง ค่อยกลับมาเจอกัน
ระหว่างทางเดินไปยังสถานีรถไฟ เราผ่านร้านอาหาร และร้านขายของน่ารักหลายร้าน เจอโรงแรมสวยหลายแห่ง นักท่องเที่ยวผมทองนุ่มน้อยห่มน้ำคอยเล่นกีฬาทางน้ำ ตอกย้ำชัดเจนว่า St Wolfgang เป็นเมืองหลวงของการพักผ่อนในช่วงฤดูร้อนอย่างแท้ทรู
ทางเดินเลียบทะเลสาบก่อนถึงสถานีรถไฟ วิวสวยสะดุดใจมากค่ะ มองเห็นฝั่งเมืองและยอดของหอนาฬิกาอยู่ลิบๆ แดดบ่ายนี้แรงดีจริงๆ น้ำในทะเลสาบที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งบนภูเขา สะท้อนแสงกันกลายเป็นสีฟ้าคริสตัล สวยตรึงตา
Schafbergbahn เป็นรถไฟหัวจักรไอน้ำที่ชันที่สุดใน Austria จากฐานที่อยู่ในเมือง St Wolfgang รถไฟคันนี้จะวิ่งขึ้นไปถึงยอดภูเขาอัลไพน์ หยุด 2 สต็อป และใช้เวลากว่า 40 นาทีต่อเที่ยว
วิวสองข้างทางจากฐานไปยังยอดเขา สลับเปลี่ยนกันไประหว่างบ้านพัก รีสอร์ต ภูเขา และลำธาร ก่อนจะถึงวิว ที่ทำให้ทุกคนนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ ก็คือภาพของเมือง St Wolfgang ที่มีทะเลสาบสีฟ้า และแนวเขาอัลไพน์สลับไปมา ธรรมชาติเบื้องหน้าช่างยิ่งใหญ่จริงๆ
สถานีสุดท้ายอยู่เหนือระดับทะเลกว่า 4,472 ฟุต เมื่อรถไฟมาถึง หลายคนเริ่มเดินเขา hiking ลงไปยังที่ฐานด้านล่าง บางคนก็ขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบนและชมโรงแรมเก่าแก่ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1862
ส่วนพวกเรา 5 ชีวิต มีเวลาเพียงแค่ 15-20 นาทีเท่านั้น ก็ต้องขึ้นรถไฟกลับไปที่ฐานแล้ว เลยวิ่งวนถ่ายรูปกันอยู่จุดเดียว ก่อนจะนั่งรถไฟลงไปอีก 40 นาที กลับไปหาสูงวัยซึ่งคอยเรานานกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง … (กลับไปถึงสูงวัยเริ่มออกอาการเซ็ง เพราะนัดเวลาผิดพลาด เลยต้องให้สองลิงเข้าไปพะเน้าพะนอ เล่าทริปรถไฟให้ฟังถึงจะใจเย็นลงบ้าง และเดินทางต่อ ไปยัง Salzburg จุดหมายของวันนี้ค่ะ)
ทิป : ตั๋วรถไฟซื้อได้ที่สถานีตรงฐาน ตอนซื้อต้องกำหนดเวลาขึ้นและลงเลยในตั๋ว ดูเวลาได้จากจอทีวีในสถานี เช่น เราขึ้นเที่ยว 14.10 น. ลงเที่ยว 15.05 น. ราคาตั๋วของผู้ใหญ่ 39.60 ยูโร เด็ก 19.80 ยูโร แพงอยู่เหมือนกัน แต่คุ้มค่า วิวด้านบนในวันอากาศดี สวยมาก แนะนำให้อยู่ลั้นลาสัก 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย และถ้าไม่อยากเดินไกลจากใจกลางเมือง ก็ขับรถมาจอดได้ที่ลานจอดข้างๆสถานีรถไฟ ประหยัดเวลาได้พอสมควรค่ะ
28 Sep 2019
0 Comments
ทริปหอยทาก ออสเตรีย-ฮังการี-เช็ค : วันที่ 5 คาราวานผ่านเทือกเขา หมู่บ้านริมทะเลสาบ Hallstatt และ St. Wolfgang
ระยะทางขับรถวันนี้อยู่ที่ 287 กิโลเมตร จาก Graz มุ่งสู่ Salzburg บนถนนเส้นที่สวยที่สุดเส้นหนึ่งของยุโรป เส้นทาง ป๊อปปูล่าสายนี้ วิ่งผ่านแนวเขาอัลไพน์ หรือกลุ่มเทือกเขาแอลป์ที่พาดผ่านหลายประเทศในทวีปยุโรป วิวสองข้างทาง จึงสวยงามกว่าทุกวัน นอกจากนั้นถนนสายนี้ยังวิ่งผ่านเมืองริมทะเลสาบชื่อดังหลายเมืองของ Austria แต่เราจะแวะ เพียง 2 เมือง เพื่อไม่ให้สูงวัยเหนื่อยเกินไป นั้นก็คือ Hallstatt เมืองมรดกโลก และ St.Wolfgang รีสอร์ตทาวน์ของยุโรป ก่อนจะถึงจุดหมายเมืองแห่งเสียงเพลง Salzburg ในค่ำคืนนี้
เช้าวันนี้ฉันเร่งรัดทุกคนให้ทำธุระเสร็จไวที่สุด ล้อรถต้องหมุนก่อน 9.00 น. เพื่อไปจองที่จอดรถของ Hallstatt ก่อน 11.00 น. ให้ได้ … แต่ปริมาณรถบนถนน ทำให้รถตู้คันเก่งวิ่งไม่ได้ไวเท่าที่ใจต้องการ และถนนสวยก็แลกมาด้วยเลนคู่ ไม่ใช่ไฮเวย์สี่เลนเส้นตรง ดังนั้นกว่าจะมาถึง Hallstatt ก็เป็นเวลาใกล้เที่ยง ลานจอดรถที่หายากดังทองคำจึงเต็มหมด ทั้งลานที่ 1 ลานที่ 2 และลานที่ 3
คุณยายที่ปวดเข่าจึงได้แต่มองตาปรอย คุณตาเริ่มงอแงไม่อยากแวะเมืองนี้เข้าแล้ว แต่น้องสาวคนที่อยากมาเห็น เมืองในฝันยังคงไม่ละความพยายาม และในที่สุดความสำเร็จก็ได้มาอย่างฟลุ๊กๆ เราได้ที่จอดรถในอุโมงค์ที่กำลังจะขับออกจากเมืองพอดี ลานจอดในอุโมงค์ไม่มีชื่อใดๆ รู้แต่ว่ามีรถรอคิวไม่กี่คันและเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งได้ที่จอดเหนือเมือง Hallstatt มาอย่างงงๆ จนถึงทุกวันนี้ค่ะ
Hallstatt
ด้วยสมญานามเมืองสวยที่สุดของ Austria นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกจึงหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ถึงแม้จะมีการ บริหารจัดการที่จอดรถ แต่ปริมาณคนกลับไม่น้อยลงเลย รถทัวร์คันแล้วคันเล่า พานักท่องเที่ยวจากแผ่นดินใหญ่มาชมเมืองมรดกโลก Alpine UNESCO World Heritage บรรยากาศของ Hallstatt ในวันนี้จึงไม่ต่างอะไรจากดิสนีแลนด์ ความงดงามยังคงอยู่มีอยู่แต่ก็ถูกบดบังไปด้วยปริมาณคนและคิวของนักท่องเที่ยวตามจุดแลนด์มาร์ครวมถึงร้านอาหารและห้องน้ำภายในเมือง
Hallstatter See ทะเลสาบหน้าบ้านของเมือง ยังคงงดงามและน่าจะเป็นแลนด์มาร์คเดียวที่ปริมาณคนไม่สามารถบดบังความสวยงามได้ ทะเลสาบใหญ่แห่งนี้มีความยาวถึง 8.5 กิโลเมตร ครอบคลุมเมือง Hallstatt ทั้งหมด วิวนี้เป็นวิวที่ควรมีรูปไว้สักใบ ประทับตราว่ามาถึงแล้ว ดิสนีแลนด์ของ Austria
นอกจากทะเลสาบแล้ว Hallstatt ยังมีโซนเมืองเก่าและตลาดเล็กๆใจกลางเมือง เช่นเดียวกับ Hallstatt Salt World และ Skywalk ที่ขึ้นไปชมได้ด้วย Cable Car แต่จำนวนนักท่องเที่ยวทำให้เราต้องยอมแพ้ จะกินอาหารในร้านดังก็ต้องรอคิวนาน เข้าห้องน้ำก็ช้า เราเลยตัดสินใจลาจาก Hallstatt ไปในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากเหยียบเท้าลงบนหมู่บ้านนี้
น่าเสียดายโอกาส แต่จะทำอย่างไรได้สูงวัยไม่สามารถทานแรงนักท่องเที่ยวไหว เด็กๆก็เริ่มงอแง ฉันจึงพาครอบครัวมุ่งหน้าสู่อีกเมืองริมทะเลสาบ เมืองที่เคยมาค้างเมื่อหลายปีก่อน และยังประทับใจอยู่จนทุกวันนี้ …
ทิป : ถ้าต้องการได้ที่จอดในลานจอด ต้องมาตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อน 10.00 น. จะชัวร์ที่สุด และถ้าอยากจะสัมผัส Hallstatt อย่างไร้ผู้คน ควรนอนค้างที่นี่สัก 1 คืน เพราะช่วงเช้าและเย็น นักท่องเที่ยวจะน้อย ได้เห็นบรรยากาศของเมืองมรดก โลกอย่างแท้จริง (ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบอกต่อๆกันมาค่ะ)
St.Wolfgang
St. Wolfgang อยู่ห่างจาก Hallstatt เพียง 36 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 50 นาทีเท่านั้น เมืองนี้มีทะเลสาบเป็นหน้าบ้าน เทือกเขาสูงล้อมรอบ งดงามคนละอย่างจาก Hallstatt แต่กลับมีเสน่ห์อย่างเมืองพักผ่อนของชาวยุโรป โดยแท้จริง
หลังจากจอดรถที่ลานจอดใกล้ตัวเมือง (ไม่มีคิวและที่จอดว่างมากมาย) เราก็เดินตัวปลิวเข้าสู่ Town Centre ระหว่างทางมีร้านขายของน่ารักหลายร้าน เจอเจ้าเหมียวนอนอาบแดดอย่างสบายใจ แวะถ่ายรูปกับดอกไม้สีสด ก่อนจะเจอกับร้านขายขนม Candy ดักอยู่ตรงหน้า หลานๆขอแวะแค่ดู แต่คุณตาใจดีซื้อให้คนละถุง ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง อยากให้สองลิงมีความสุข
ใจกลางของเมือง St Wolfgang เป็นที่ตั้งของโรงแรมชื่อดัง ตำนานของเมือง White Horse Inn (Weisses Rossl) ที่มีรูปปั้นม้าขาวอยู่หน้าโรงแรม โรงแรมนี้เป็นธุรกิจของครอบครัวที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1712 และโด่งดังจากหนัง The White Horse Inn ที่ประพันธ์โดย Ralph Benatzky นักประพันธ์ชื่อดังชาวออสเตรีย
The Schafbergbahn
St Wolfgang คราวนี้ ฉันตั้งใจพาหลานๆขึ้นรถไฟไปชมวิวบนภูเขาสูง สถานีรถไฟอยู่ห่างจากใจกลางเมืองประมาณ 15 นาที เลยให้สูงวัยนั่งรอ พักในร่มเย็นๆ ที่มีร้านรวงน่ารักรายรอบจะดีกว่า โดยคิดว่าอีกสัก 1 ชั่วโมง ค่อยกลับมาเจอกัน
ระหว่างทางเดินไปยังสถานีรถไฟ เราผ่านร้านอาหาร และร้านขายของน่ารักหลายร้าน เจอโรงแรมสวยหลายแห่ง นักท่องเที่ยวผมทองนุ่มน้อยห่มน้ำคอยเล่นกีฬาทางน้ำ ตอกย้ำชัดเจนว่า St Wolfgang เป็นเมืองหลวงของการพักผ่อนในช่วงฤดูร้อนอย่างแท้ทรู
ทางเดินเลียบทะเลสาบก่อนถึงสถานีรถไฟ วิวสวยสะดุดใจมากค่ะ มองเห็นฝั่งเมืองและยอดของหอนาฬิกาอยู่ลิบๆ แดดบ่ายนี้แรงดีจริงๆ น้ำในทะเลสาบที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งบนภูเขา สะท้อนแสงกันกลายเป็นสีฟ้าคริสตัล สวยตรึงตา
Schafbergbahn เป็นรถไฟหัวจักรไอน้ำที่ชันที่สุดใน Austria จากฐานที่อยู่ในเมือง St Wolfgang รถไฟคันนี้จะวิ่งขึ้นไปถึงยอดภูเขาอัลไพน์ หยุด 2 สต็อป และใช้เวลากว่า 40 นาทีต่อเที่ยว
วิวสองข้างทางจากฐานไปยังยอดเขา สลับเปลี่ยนกันไประหว่างบ้านพัก รีสอร์ต ภูเขา และลำธาร ก่อนจะถึงวิว ที่ทำให้ทุกคนนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ ก็คือภาพของเมือง St Wolfgang ที่มีทะเลสาบสีฟ้า และแนวเขาอัลไพน์สลับไปมา ธรรมชาติเบื้องหน้าช่างยิ่งใหญ่จริงๆ
สถานีสุดท้ายอยู่เหนือระดับทะเลกว่า 4,472 ฟุต เมื่อรถไฟมาถึง หลายคนเริ่มเดินเขา hiking ลงไปยังที่ฐานด้านล่าง บางคนก็ขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบนและชมโรงแรมเก่าแก่ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1862
ส่วนพวกเรา 5 ชีวิต มีเวลาเพียงแค่ 15-20 นาทีเท่านั้น ก็ต้องขึ้นรถไฟกลับไปที่ฐานแล้ว เลยวิ่งวนถ่ายรูปกันอยู่จุดเดียว ก่อนจะนั่งรถไฟลงไปอีก 40 นาที กลับไปหาสูงวัยซึ่งคอยเรานานกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง … (กลับไปถึงสูงวัยเริ่มออกอาการเซ็ง เพราะนัดเวลาผิดพลาด เลยต้องให้สองลิงเข้าไปพะเน้าพะนอ เล่าทริปรถไฟให้ฟังถึงจะใจเย็นลงบ้าง และเดินทางต่อ ไปยัง Salzburg จุดหมายของวันนี้ค่ะ)
ทิป : ตั๋วรถไฟซื้อได้ที่สถานีตรงฐาน ตอนซื้อต้องกำหนดเวลาขึ้นและลงเลยในตั๋ว ดูเวลาได้จากจอทีวีในสถานี เช่น เราขึ้นเที่ยว 14.10 น. ลงเที่ยว 15.05 น. ราคาตั๋วของผู้ใหญ่ 39.60 ยูโร เด็ก 19.80 ยูโร แพงอยู่เหมือนกัน แต่คุ้มค่า วิวด้านบนในวันอากาศดี สวยมาก แนะนำให้อยู่ลั้นลาสัก 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย และถ้าไม่อยากเดินไกลจากใจกลางเมือง ก็ขับรถมาจอดได้ที่ลานจอดข้างๆสถานีรถไฟ ประหยัดเวลาได้พอสมควรค่ะ
Related Posts: