ทริปหอยทาก ออสเตรีย-ฮังการี-เช็ค วันที่ 13-15 : หลงรัก Vienna  

เมืองสุดท้ายของทริปหอยทาก เราอยู่ Vienna กัน 4 วัน กิจวัตรประจำวันยังคงเหมือนเดิม เริ่มต้นด้วยการพาสูงวัยไปกินอาหารเช้า สายก็เที่ยวเมืองพอเป็นพิธี บ่ายแก่ๆก็พากลับโรงแรม ช่วงเวลาที่สูงวัยพักผ่อนอยู่ที่โรงแรม ก็เป็นเวลาสำรวจเมืองของฉันและสามี และด้วยการคมนาคมที่สะดวกสบาย เข้าถึงทุกจุดสำคัญ เราจึงเที่ยวเมืองหลวงของ Austria กันได้ครบตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (อย่างไม่น่าเชื่อเลยจริงๆค่ะ)

Catholic Church ที่เดินไปเจอโดยบังเอิญ สวยเชียวค่ะ

Schönbrunn Palace

เวียนนามีพระราชวังสำคัญอยู่ 3 แห่ง พระราชวังเชินบรุนน์ถูกยกให้เป็นแหล่งท่องที่ยวอันดับหนึ่งของเวียนนา  พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ชานเมืองแต่ก็เดินทางไปถึงด้วยรถไฟได้สะดวกสบาย ใช้เวลาประมาณ 20-30 จากสถานีในเมืองค่ะ

ครั้งแรกที่เห็นพระราชวังนี้ รู้สึกถูกชะตากับสีตึก พระราชวังเชินบรุนน์ทาด้วยสีเหลือง จึงมีชื่อเล่นว่าพระราชวังเหลือง สร้างอย่างยิ่งใหญ่และปราณีตสไตล์ศิลปะแบบรอคโคโค่ ถูกตั้งความหวังให้เป็นคู่แข่งกับพระราชวังแวร์ซายส์ของ ฝรั่งเศส ตามประกาศิตของพระเจ้าโยเชฟที่ 1 จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮัมส์บูร์ก

พระราชวังเชินบรุนน์ประกอบด้วยห้องพักกว่า 1,441 ห้อง ชื่อพระราชวังมีความหมายว่าน้ำพุที่งดงาม ภายในเปิดให้ชม เพียงไม่กี่ห้อง ทุกห้องตกแต่งสวยงามและอลังการเหมือนพระราชวังทั่วไป (ห้ามถ่ายรูป)

ฉันเคยไปชมพระราชวังเชินบรุนน์เมื่อ 7- 8 ปีก่อน จำได้ถึงความยิ่งใหญ่ของสวนอังกฤษด้านหลัง สวนสีเขียวยาว สุดลูกหูลูกตา มีน้ำพุใหญ่อยู่กลางสวน ปลายสุดมีอาคาร Gloriette ตระหง่านอยู่ ดูแล้วเหมือนภาพในฝันที่ผ่านมากี่ปี ก็ยังคงประทับใจไม่ลืมเลยค่ะ (www.schoenbrunn.at)

 

Hofburg Palace

พระราชวังแห่งที่สองเป็นพระราชวังเก่าแก่กว่า 600 ปี ตั้งอยู่ในเวียนนาเลยค่ะ Hofburg Palace เป็นที่พำนักของราชวงศ์ฮอฟ์บูรค์ ราชวงศ์ที่เคยปกครองประเทศ ก่อนจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง กลายเป็นที่พักและทำเนียบของ ประธานาธิบดีในปัจจุบัน

จากถนนช้อปปิ้งใจกลางเวียนนา จะเห็นโดมสีเขียวด้านบนอาคารสีขาวของ Hofburg Palace

ถ้าใครไม่อยากรอคิวซื้อตั๋วกับพนักงาน ให้ซื้อตั๋วออนไลน์ จะได้เข้าช่องทาง Fast Lane

ห้องแรกเป็น Silver Collection จัดแสดงถ้วยชามเก่าแก่ของราชวงศ์ ทั้งงานเซรามิคลวดลายอ่อนช้อย ดินเผาจากจีน งานทองเหลืองอลังการ สวยงามและตระการตามากค่ะ ห้องนี้ถ่ายรูปได้ ใช้เวลาชมประมาณ 20-30 นาที

ถัดจากนั้นเป็นพิพิธภัณฑ์ของจักรพรรดินีผู้โด่งดังของราชวงศ์ฮอฟบูร์ก จักรพรรดินียุคใหม่ Elizabeth The Empress ผู้รักอิสระ และความท้าทาย ในชื่อว่า Sisi Musuem

ด้านในจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ รวมถึงเครื่องแต่งกาย และประวัติของท่าน ทำให้เรารู้ว่าจักรพรรดินีหญิงผู้นี้ไม่ได้รักชีวิตสบายอยู่แต่ในวัง ท่านเดินทางไกลไปทั่วโลก ลองกิจกรรมท้าทายต่างๆ ถึงแม้จะมีประชาชนไม่พอใจท่าน แต่ฉันกลับถูกชะตา และสงสารในชะตากรรมของท่านที่สุดท้ายถูกฆาตกรรมก่อนวัยอันควร

อีกกิจกรรมน่าชมของพระราชวังฮอฟบูร์กคือการแสดงของม้าสีขาวที่ถูกฝึกหัดมาอย่างดีเยี่ยม Spanische Hofreitschule การแสดงนี้จัดวันละไม่กี่รอบ และตั๋วเต็มเกือบทุกรอบ ใครอยากชม ต้องจองตั๋วล่วงหน้าเท่านั้นค่ะ (www.hofburg-wien.at/en/)

ด้านหน้าพระราชวังมีรถม้าให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย

Belvedere Palace

พระราชวังแห่งที่สาม ซึ่งเป็นแห่งสุดท้ายที่จะแนะนำ คือพระราชวังเบลเวอร์เดียร์ พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมือง แต่ก็เดินทางไปถึงได้ด้วยรถไฟเช่นกัน ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีเท่านั้น

พระราชวังเบลเวอร์เดียร์สร้างขึ้นเมื่อปี 1663 เพื่อเป็นที่ประทับของเจ้าชายยูจีนในพระราชวงศ์ฮอฟบูร์ก ท่านเป็นทั้งนักรบที่เก่งกล้า เจ้าชายรักงานศิลปะ จึงตกแต่งภายในพระราชวังเบลเวอร์เดียร์ได้อย่างสวยงามด้วยศิลปะแบบบาโร็ก

เราซื้อตั๋วเข้าชมพระราชวังผ่านทางออนไลน์อีกเช่นกัน ประหยัดเวลารอคิว และเข้าไปชมผลงานศิลปะที่อยู่ชั้นบนของ พระราชวังได้อย่างรวดเร็วกว่านักท่องเที่ยวคนอื่น

The Marble Hall and The Chapel เป็นห้องแรกของชั้นสอง ฮอลล์หินอ่อนนี้เป็นศูนย์กลางของพระราชวัง เชื่อมปีกสองข้างเข้าดวยกัน โถงกลางมีภาพเขียน fresco บนเพดาน ด้วยฝีมือของ Carlo Carlone เป็นเรื่องราวของเจ้าชายยูจีน

ห้องนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นสถานที่เซ็นต์สัญญาประกาศเป็นสาธารณะรัฐออสเตรียในวันที่ 15 พฤษภาคม 1955

ถัดจากห้องนี้ หลายคนต่างมุ่งหน้าไปชมงานศิลปะสำคัญ สมบัติของประเทศ ภาพวาด The Kiss โดย Gustave Klimt (1898 – 1909) ศิลปินผู้สร้างความรุ่งโรจน์ให้กับงานศิลปะของออสเตรีย ด้วยการเปลี่ยนภาพวาดธรรมดาให้ดูเจิดจรัส ด้วยการแต้มเครื่องประดับ ระยิบระยับ และเปล่งประกายจนถึงปัจจุบัน

นอกจากผลงาน The Kiss ที่นี่ก็ยังมีชิ้นงานของศิลปินดังคนอื่น เช่น Vincent Van Gogh, Claude Monet รวมถึงงาน ปั้นของ Maria Theresia พระนางผู้เป็นแม่ของชาวยุโรปค่ะ (www.belvedere.at/en)

 

Austrian National Library (National Bibliothek)

ห้องสมุดบาโร๊คของกรุงเวียนนาห้องนี้ขึ้นชื่อว่าสวยว่าเป็นห้องสมุดสวยที่สุดในโลก …

หลังจากซื้อตั๋ว (ไม่มีคิว) เราก็เดินขึ้นมาที่ชั้น 2 ห้อง State Hall ยาวกว่า 77.7 เมตร สูงเกือบ 20 เมตร ฉันเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างในแล้วรู้สึกเหมือนเป็นคนแคระ หนังสือกว่าสองแสนเล่มเรียงรายเป็นทางยาว สูงเท่าตึก 3-4 ชั้น แต่ละบล็อกมีบันไดเหล็กเลื่อนไปมา ช่วยให้หยิบหนังสือจากชั้นบนสุดได้สะดวกขึ้น … บอกเลยว่าตะลึงค่ะ

ห้องสมุดสุดอลังการนี้สร้างขึ้นจากพระราชดำริของจักรพรรดิ Charles VI และสร้างในระหว่างปี 1723 – 1726 กลายเป็นห้องสมุดสถาปัตยกรรมบาโร๊คที่สมบูรณ์แบบที่สุด ละเอียดหมดจดทุกซอกมุม พื้นหินอ่อน ชั้นวางหนังสือไม้ ภาพวาด frescoes บนเพดาน และรูปปั้นโดดเด่นอยู่ตรงโถงกลาง (www.onb.ac.at/en/)

 

 

Vienna State Opera

Vienna State Opera เป็นโรงละครโอเปร่าที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สถาปัตยกรรมภายนอกแบบเรเนซองส์ ดูยิ่งใหญ่มากโดยเฉพาะในเวลากลางคืนที่ไฟสีเหลืองทองส่องสว่างทั้งตัวตึก

โรงละครแห่งนี้เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1869 จุผู้ชมได้ถึง 2,200 คน เกือบทุกวันจะมีการแสดงโอเปร่า และการแสดงอื่นๆ ผู้คนที่รักในเสียงดนตรีซื้อตั๋วเข้าชมกันได้ที่ www.viennaconcerts.com

St. Stephens Cathedral

St.Stephans Cathedral สร้างขึ้นในปี 1147 ให้กับนักบุญสตีเฟน โบสถ์หลังนี้สร้างด้วยศิลปะแบบโกธิคที่จะมียอดแหลมเป็นเอกลักษณ์ ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมภายในได้ฟรี งานจิตรกรรมและประติมากรรมงดงาม และน่าเกรงขาม เดินแล้วสัมผัสได้ถึงพลังศรัทธา ไฮไลท์ชิ้นสำคัญคือรูปบูชาของ Maria Potsch ซึ่งในตำนานเล่ากันว่า ช่วงที่มีสงครามกับชาวเติร์ก น้ำตาของท่านไหลออกมาจากรูปด้วยความเศร้าเสียใจ

นอกจากนั้นทางทิศใต้ของโบสถ์ยังมีหอคอยสูง 137 เมตร ขึ้นไปชมเมืองเวียนนาได้ ส่วนหอคอยทางทิศเหนือก็มีระฆังใหญ่ที่สุดในออสเตรีย ที่จะตีเฉพาะช่วงเวลาพิเศษเท่านั้นค่ะ (www.stephanskirche.at)

City Hall (Rathausplatz)

ในช่วงฤดูร้อน ระหว่างเดือนกรกฏาคม-กันยายนของทุกปี ลานกว้างหน้าศาลาว่าการกรุงเวียนนาจะมีการจัดเทศกาลหนัง Film Festival ตั้งฉากใหญ่สีดำและเก้าอี้นั่งให้ชาวเวียนนามาดูหนังกลางแปลงกันตอนกลางคืน แต่ถึงแม้จะเป็นฤดูร้อนแต่กลางคืน อากาศกลับเย็นสบายค่ะ คงคล้ายกับลานเบียร์กรุงเทพที่เปิดทุกหัวระแหงในช่วงฤดูหนาว

นอกจากนั้นก็ยังมีงาน Food Fair ร้านอาหารหลากหลายสัญชาติเปิดซุ้มกันหลายสิบร้าน ทำกันสดๆ กลิ่นอาหาร ควันคลุ้งแต่สนุกสนานน่าดู เบียร์ดังของเวียนนาก็มา สามีและคุณพ่อสั่งมาจิบกันคนละแก้วใหญ่ในสวนสาธารณะข้างๆ ก่อนจะซื้ออาหารกลับไปดินเนอร์กันที่โรงแรมพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว (www.wien.gv.at/english/cityhall/)

Rathausplatz หรือ City Hall ของเมืองเวียนนาถูกสร้างขึ้นในปี 1872 ออกแบบโดย Friedrich von Schmidt ด้วยศิลปะแบบโกธิค หอคอยสูงเด่นถึง 97.9 เมตร เป็นอีกสัญลักษณ์ของเวียนนาที่มาชมได้ง่ายๆ ด้วยรถแทรมสายหลัก วิ่งรอบเมืองค่ะ (สถานี Rathaus)

 

Maria Thersien Platz

Maria Thersien Platz ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับจักรพรรดินีผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศออสเตรีย พระนางเป็นผู้สร้างความรุ่งเรืองให้กับประเทศออสเตรียในหลายๆด้าน ทั้งทางด้านศิลปะ ดนตรี และการขยายดินแดน ด้วยการส่งลูกๆของพระนางทั้ง 16 คน ไปเสกสมรสกับกษัติย์และราชินีในทวีปยุโรป ทำให้พระนางและประเทศออสเตรียได้รับการยอมรับในดินแดนของยุโรปในยุคนั้น

สองข้างของจัตุรัสเป็นที่ตั้งของสองพิพิธภัณฑ์สำคัญ The Naturhistorisches Museum (Natural History Museum) และ The Kunsthistorisches Museum (Art History Museum) ที่มีผู้เข้าชมไม่ขาดสาย

นอกจากนั้นจัตุรัสนี้ยังเชื่อมตัวเมืองเวียนนากับ Museum Quarters ย่านพิพิธภัณฑ์ของเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะอีกด้วยค่ะ (สถานี Musuemsquartier หรือ Volkstheater)

Stadpark

ในช่วงฤดูร้อน Stadpark เหมือนได้สลัดเสื้อผ้าที่หนาเตอะ กลายร่างเป็นสวนสีเขียวและมวลดอกไม้ ฉันพาสูงวัยมาเดินเล่นหลังจากมื้อเช้าอิ่มแปร้ เพราะคุณแม่ชอบดอกไม้ค่ะ

จากสถานีรถไฟ Stadpark เราเดินผ่านรูปปั้น ลำธาร (แห้งขอดในฤดูร้อน) และต้นไม้เขียว จนมาเจอกับรูปปั้นของคีตกวีชื่อดัง ราชาเพลงวอลซ์ระดับโลก Johann Strauss รูปปั้นไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก (สถานี Stadpark, www.wien.gv.at/english/environment/parks/stadtpark.html)

บรรยากาศของ Stadpark

นาฬิกาดอกไม้ อีกไฮไลท์ของสวน

Burggarten & Palmehaus

Burggarten เป็นอีกสวนสาธารณะที่โด่งดังของเวียนนา สวนนี้มีรูปปั้นของ Mozart และกุญแจซอล ไฮไลท์ที่หลายคนแวะมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

เดิมทีพื้นที่สีเขียวนี้เคยเป็นสวนของพระราชสำนัก ปัจจุบันเปิดให้ประชาชนเข้าฟรี และยังมี Palmenhaus กลาสเฮ้าส์ขนาดใหญ่สไตล์ Art Nouveau ที่มีคาเฟ่และร้านอาหารเปิดให้บริการ และอีกส่วนหนึ่งยังเป็นสวนผีเสื้อ Butterfly Garden ด้วยค่ะ (www.visitingvienna.com/sights/winter-palace/burggarten/)

Mozart Denkmal รูปปั้นนี้สร้างขึ้นในปี 1896 โดยนักปั้นชาวออสเตรีย Viktor Tilgner

 

The Hundertwasser House

ถ้าสเปนมีเกาดี เวียนนาก็มีบ้านพิลึกค่ะ The Hundertwasser House (Kunst Haus Hundertwasser) อาคารที่พัก ทาสีสดใส รูปทรงไม่ใคร ดูๆไปคล้ายเรขาคณิตแต่บิดเบี้ยวนิดๆ

เรานั่งรถแทรมไปไม่กี่สถานีจากที่พัก นักท่องเที่ยวเยอะมากในตอนบ่าย ถ่ายรูปยากหน่อย เพราะทางเดินด้านหน้าตึกแคบ ต้องถ่ายแบบแนวตั้ง หรือไม่ก็ถ่ายกับเสา กับร้านขายของแทน

อาคารนี้เป็นที่พัก อาพาร์ทเม้นไม่กี่ชั้น มีคนอยู่อาศัยจริงๆ หน้าต่างแต่ละบ้านจะตกแต่งต่างกัน กลายเป็นถ่ายรูป และดูสนุกไปเลยค่ะ (ไม่อนุญาตให้เข้าไปในอาคาร ดูได้แต่ภายนอกเท่านั้น)

สถาปนิกที่ออกแบบและก่อสร้างตึกนี้ คือ Friedensreich Hundertwassen (1928 – 2000) หนึ่งในสถาปนิกที่โด่งดัง และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

นอกจากอาคาร The Hundertwasser House ใกล้ๆกันยังมีคอมมูนิตี้เล็กๆ ขายของที่ระลึก คาเฟ่ ร้านอาหารให้เข้าไปเดินเล่นถ่ายรูปได้อีกด้วยค่ะ (www.visitingvienna.com/sights/hundertwasserhaus/)

 

Prater

ทริปนี้มีสองลิงมาด้วย และตัวป่วนก็อยากซื้อของเล่น ไปสวนสนุกกันแล้ว เราจึงแตกคอ แยกกันไปคนละทาง สองลิงไป สวนสนุกเก่าแก่ Prater (พราเตอร์) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1897 เพื่อเฉลิมพระเกียรติจักรพรรดิฟรันซ์โยเซฟที่ 1 ฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี หนึ่งในไฮไทล์ของ Prater ก็คือชิงช้าสวรรค์เก่าแก่แห่งนี้ ที่มีความสูงถึง 213 ฟุต มองเห็นวิวของเวียนนาได้ทั่วเมือง … คุณหลานไลน์มาบอกว่าสนุกมาก ถึงจะร้อนแต่ก็ลดองศาได้ด้วยสายไหมและน้ำหวานอย่างที่เห็นค่ะ (www.praterwien.com/en/home/)

 

Kärntner Straße & Shopping Streets

ใจกลางเมืองเวียนนา มีขนาดไม่ใหญ่ เหมือนเมืองเก่าทั่วไปของยุโรป ถนนคนเดินมีหลายเส้น ถนนช้อปปิ้งก็เยอะค่ะ เดินถึงกันหมด แบ่งออกเป็น 2-3 โซน มี Kärntner Straße เป็นเส้นหลัก ทั้งแบรนด์ใหม่ และร้านเก่าๆ ปลายถนนเป็นที่ตั้งของ Hotel Sacher โด่งดังขนมเค้กช็อกโกแล็ตชื่อดัง The Sacher Torte ลูกค้าจะนั่งกินที่ร้าน หรือซื้อกลับบ้านก็ได้ค่ะ ทริปนี้เราไม่ได้แวะ เพราะเคยชิมแล้ว เลยไปหาที่ใหม่ ที่รวบรวมไว้ในส่วนของ Vienese Café ค่ะ

Hotel Sacher

นอกจาก Kärntner Straße ยังมีถนน Graben และ Kohlmarkt แบรนด์หรู แบรนด์เครื่องประดับ เดิน window shopping ได้สนุกสนานเลยค่ะ

 

Ringstrasse

มาเวียนนา นอกจากพระราชวังเชินบรุนน์ รูปภาพ The Kiss ก็ต้องมาชม Ringstrasse (Ringstraße ริงสเตราท์) ถนนรอบเมืองที่โอบกอดเวียนนาเอาไว้ เจ้าถนนรอบเมืองนี้ ถือเป็น grand boulevard หรือถนนแห่งเกียรติยศของเวียนนากันเลย เพราะเป็นถนนรอบเมืองเส้นแรกๆและสวยที่สุดของโลก สร้างขึ้นปี 1860s ใช้เวลาสร้างกว่า 30 ปี เชื่อมเมือง แหล่งท่องเที่ยว และเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน และด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามสองข้างทาง ทั้งคลาสสิก โกธิก เรเนสซองค์ และบาโร้ก จึงขึ้นชื่อว่า Lord of the Ring และถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก UNESCO World Heritage Site ด้วยค่ะ

Ringstraße มีบริการรถแทรมสาธารณะ วิ่งรอบเมือง จะซื้อตั๋ว single ก็ได้บนรถแทรม หรือถ้าจะซื้อรายวัน ก็ซื้อที่เครื่องขายตั๋วรถไฟใต้ดินค่ะ ใช้บริการร่วมกันได้ เส้นทางวิ่งเป็นวงกลม ผ่านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญมากมาย สูงวัยชอบรถแทรมมากค่ะ เพราะได้เห็นเมือง และก็ไม่ต้องเดินไกล สถานีรถแทรมอยู่หน้าโรงแรม และแหล่งท่องเที่ยวเลยค่ะ

แผนที่วิ่งของรถแทรมตาม Ringstraße

Vienna Pass

ตามเมืองใหญ่ของยุโรป จะมีบัตรประหยัดสำหรับนักท่องเที่ยว ช่วยลดค่าใช้จ่ายเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ซึ่งประหยัดจริงๆค่ะ และที่เวียนนาก็มี Vienna Pass รวบรวมค่าตั๋วเข้าแหล่งท่องเที่ยวสำคัญกว่า 60 แห่งของเมือง รวมทั้ง พระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Palace)สวนสัตว์เชินบรุนน์ (Schönbrunn Zoo) พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (Natural History Museum) ในราคาประมาณ 2,300 บาท (อีกข้อดีของบัตร คือ ไม่ต้องรอคิวซื้อตั๋ว ประหยัดทั้งเงินและเวลา)

แต่เวียนนารอบนี้ ฉันไม่ได้ใช้บริการ Vienna Pass เพราะเคยไปแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองมาบ้าง ราคาบัตรเทียบ กับสถานที่ที่อยากไปรอบนี้ ราคาบัตรจะสูงกว่า อีกทั้ง Vienna Pass ยังไม่รวมบัตรเดินทาง (Vienna Travelcard) ที่ต้องซื้อต่างหาก ทำให้ฉันและสามีตัดสินใจ ซื้อเฉพาะตั๋วการเดินทาง (รถไฟฟ้า แทรม บัส) 48 ชั่วโมงแทน (ซื้อได้จากตู้ขายตั๋วในสถานีรถไฟใต้ดิน) และซื้อตั๋วเข้าแหล่งท่องเที่ยวทางออนไลน์ ซึ่งก็ไม่ต้องรอคิวเช่นกันค่ะ ใครกำลังวางแผนเที่ยวเวียนนาลองเปรียบเทียบราคาดู ระหว่างค่าเข้าของแหล่งท่องเที่ยวที่จะไป และบัตรประหยัด Vienna Pass นะคะ(www.viennapass.com)

 

Viennese Café & Bekery

ทริปนี้มุ่งมั่นว่าต้องจิบกาแฟ และลิ้มลองบรรยากาศของ Viennese Café ให้ได้ !!! เลยตรงดิ่งไปยัง Café Central คาเฟ่ดังสนั่นที่สุดของเวียนนา แล้วก็ต้องคอตกกลับมาเพราะพบว่า คิวยาวไป 3 บล็อกถนนค่ะ เชอะ !!! ป้าเมินใส่ด้วยความหมั่นไส้ที่ไม่ได้กิน เปลี่ยนใจไปร้านอื่นแทนก็ได้ เพราะเวียนนาไม่ได้มีแค่คาเฟ่นี้ แต่ยังมีคาเฟ่น่านั่งอีกบานตะไท สุดท้ายเรากินกันไปจนหน่ำใจ 5 คาเฟ่ดัง (เหมือนกัน) ของ Vienna ค่ะ (ยังเสียดสีถึงบรรทัดสุดท้าย ใครอยากกินอาหารที่ Café Central ควรจองก่อนล่วงหน้านานๆ ทางอินเตอร์เน็ต หรือไม่ก้อต้องยอมรอคิวค่ะ)

Cafe Central

Café Schwarzenberg

คาเฟ่เก่าแก่ที่สุดของ Ringstraße แห่งนี้อยู่ห่างออกมาจากใจกลางเมืองหน่อย แต่ก็เดินทางไม่ยากค่ะ นั่งรถแทรมรอบเมืองมาได้ค่ะ เที่ยงวันนั้นเราสั่ง Hangarian Goulash Soup (5.90 euro) Seafood Salads (12.30 euro) และ Hamburger ชิ้นเป้ง (40.70 euro) ทุกเมนูอร่อย รสชาติถูกปาก โดยเฉพาะ Goulash Soup ที่เข้มข้นสมใจ ถึงแม้จะเป็นน้ำสต็อกเนื้อ แต่ป้าก็ยอม เพราะกูลาสซุปเป็นเมนูที่ห้ามพลาดในยุโรปโซนนี้เลย (www.cafe-schwarzenberg.at/en/unser-angebot/)

บรรยากาศคลาสสิกของ Café Schwarzenberg คาเฟ่เก่าแก่ที่สุดบน Ringstraß

 

Café Pruckel

Café Pruckel อยู่ในตึกสีขาวอนุรักษณ์ น่าถ่ายรูปตั้งแต่ทางเข้ากันเลย โต๊ะ เก้าอี้ และการตกแต่งของคาเฟ่นี้ มีความวินเทจย้อนยุค เพราะเปิดมานานเช่นกัน ชอบใจมากๆค่ะ เช้าวันนี้พาสูงวัยมากิน เมนูที่สั่งจึงเป็น Breakfast แบบชาวเวียนนา กาแฟดำ ไข่ต้ม ครัวซองค์ ขนมปัง ทั้งราคาและรสชาติ ถูกใจทุกคน เบ็ดเสร็จ 4 คนแค่ 30 euro เท่านั้น ระหว่างรออาหาร ก็เดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ฟรีมาอ่านได้ รักจะใช้ชีวิตแบบชาวเวียนนา ก็ต้องลองให้ครบทุกกิจกรรมค่ะ (http://www.prueckel.at)

ร้านวินเทจ น่ารัก และเป็นกันเองของ Café Pruckel

Café Demel

คาเฟ่ร้อยกว่าปี และรั้งตำแหน่งเก่าแก่ที่สุดของเวียนนานี้อยู่ใกล้พระราชวังฮอฟบูวร์ก นอกจากความเก๋า Café Demel (ชื่อจริง Hofzuckerbackerei Demal) ยังเป็นร้านโปรดของจักรพรรดิ Franz Joseph อีกด้วย เราแวะมาซื้อขนมเค้กกลับไปกิน 3 ชิ้น รวม 12 euro และเดินชื่นชมกับบรรยากาศหรูหรา พนักงานแต่งตัวเนี้ยบด้วยเสื้อคอลูกไม้ อีกหนึ่งธรรมเนียมของ Vienese Café ความอร่อยของเค้กเหรอค่ะ? ใช้ได้ค่ะ อร่อย และไม่หวาดจัด (https://www.demel.com/en)

Café Landtmann

คาเฟ่แห่งนี้อยู่ใกล้กับศาลากลาง เป็นคาเฟ่สีขาวหรูหราที่มีกลาสเฮ้าส์อยู่ด้านหน้า ประวัติบอกว่า Café Landtmann เป็นอีกร้านดังและอยู่มานานบนถนนสายรอบเมือง เรานั่งรถแทรมกันมาแต่เช้าตรู่ พนักงานสอบถามว่า อยากนั่งตรงไหน มีทั้งด้านนอก สไตล์ทันสมัย ติดแอร์ในช่วงฤดูร้อน หรือด้านใน ตกแต่หรูหรา โคมไฟระย้า แต่ร้อนในช่วงนี้ (บทสรุปตามรูปค่ะ ไม่นั่งที่ร้อนอากาศอับแน่นอน)


เราไปกันสี่คน สั่งกันคนละเมนู Viennese Breakfast (1 bread roll, 1 homemade jam, 1 Austrian butter, 1 soft boiled egg) 5.80 euro, Large Viennese Breakfast (รายการตาม Viennese Breakfast แต่เพิ่ม Ham, Salami และ น้ำส้ม) 13.50 euro

นอกจากนั้นยังอยากลอง Egg Benedict (12 euro) และ Fruhstuc ที่ดูน่ากิน ทำจากขนมปังอบ หวาน คล้ายขนมหวาน ราคารวมทุกเมนูและบริการ 64.90 euro ค่ะ (https://www.landtmann.at/en/cafe-landtmann.html)

 

Gerstner k.u.k. Hufzucherbach

คาเฟ่ร้านนี้ให้อารมณ์เหมือน Laduree ของฝรั่งเศส เปิดมาตั้งแต่ปี 1847 ขายขนมหวานและอาหารที่บริการอยู่ชั้นบนค่ะเค้กหน้าตาสะสวย อ่อนหวานเหมือนร้าน แต่ละชิ้นแน่นด้วยครีม และช็อกโกแล็ต แต่นอกจากเค้กแล้ว เรายังสั่ง Apple Strudel ลาดด้วยคัสตาร์ดครีม เมนู a must ของ Vienese Café (https://www.gerstner-konditorei.at/en/index.html)

 

Zanoni & Zanoni

เจลาโต้ดังที่สุดของเมืองต้องยกให้ร้านนี้ Zanoni & Zanoni ที่มีเจลาโต้ให้เลือกมากกว่า 30 ชนิด ดูกันจนตาลายเลยค่ะ ร้านไอศรีมอิตาเลี่ยนนี้เปิดมากว่า 40 ปีแล้ว ลูกค้าประจำก็เยอะ ลูกค้าใหม่ก็แยะ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง หาง่าย และในช่วงฤดูร้อนจะมีลานกว้างให้นั่งกินไอศกรีมดับร้อนกันข้างนอกด้วย ทั้งหลานสาว คุณแม่ และทุกคนในครอบครัว ติดใจกันทุกคน รสชาติเข้มข้น หวานอร่อย จนต้องกลับไปกินรอบที่สอง (www.facebook.com/Zanonieis/)

 

Stay at Aparthotel Adiago Vienna

3 คืนที่เวียนนา เราพักกันที่ Serviced Apartment ใกล้กับแม่น้ำดานูบ และอยู่ในรอบของถนนวงแหวน Aparthotel Adiago มีจำนวนกว่า 124 ห้อง และมีห้อง 2 Bedrooms ให้บริการด้วย (1 ห้องนอน และ ห้องรับแขกปรับเป็น Sofa bed) ทุกห้องมีครัว โต๊ะกินข้าว และโต๊ะทำงาน เราโชคดีที่ได้ห้องชั้นบนสุด มีเฉลียงยื่นออกไปให้ชมวิวของเวียนนา

ความสะอาด และการบริการให้คะแนนตามมาตรฐานค่ะ ใกล้เคียงกับ Holiday Inn หรือ Best Western ประมาณ 3 ดาว ส่วนที่ตั้งโลเคชั่นพอใช้ได้ เข้าเมืองเดินประมาณ 15 นาที แต่ถ้าจะนั่งรถแทรมชมเมือง สถานีก็อยู่หน้าโรงแรมเลย สถานีรถไฟฟ้าก็ 5 นาทีจากโรงแรมเท่านั้น เสียอย่างเดียวที่ไม่มีแม่บ้านทำความสะอาดตลอด 3 คืนนี้ แต่มีห้องซักผ้า และอบผ้าให้บริการ (เสียเงิน) อยู่ที่ชั้นใต้ดิน และอาหารเช้าของที่นี่ ไม่เวริค์ค่ะ ตัวเลือกน้อย ออกไปกินตามคาเฟ่ดังๆ อร่อย และคุ้มค่ากว่า

ที่ตั้ง Uraniastrasse 2 1010 VIENNA

ราคา 2 ห้อง 3 คืน 599 euro

www.adagio-city.com/gb/hotel