Nagoya พิพิธภัณฑ์โตโยต้า พิพิธภัณฑ์รถไฟความเร็วสูง และข้าวหน้าปลาไหล

เสน่ห์ที่อาบไล้ชนบทของญี่ปุ่นทำให้ Nagoya ในวันนี้ดูเย็นชาและหมางเมินจัง … Nagoya เมืองใหญ่อันดับ 4 ของญี่ปุ่น เป็นเมืองปลายทางของทริปนี้ค่ะ

2 คืนในเมืองศูนย์กลางของภาคอุตสาหกรรม ฉันมีอีก 2 กิจกรรมที่ใจจดจ่อรอคอย นั่นคือการเข้าชมพิพิธภัณฑ์โตโยต้าและพิพิธภัณฑ์รถไฟความเร็วสูง SCMAGLEV ความภาคภูมิใจของชาวญี่ปุ่น

Mitsui Garden Hotel Nagoya Premier I สไตล์ลิชบิสซิเนสโฮเท็ล

โรงแรมใน Nagoya ตั้งอยู่ใกล้กับ JR Station เพราะเราต้องคืนรถที่เช่ามาของบริษัท Nippon Rent Car ในบริเวณนี้

Mitsui Garden Hotel Nagoya Premier เป็นโรงแรมบิสซิสเนสโฮเทลที่ตั้งอยู่บนตึก Mitsui และมีโลเคชั่นดีค่ะ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสำคัญรวมถึง Meitetsu Line ที่วิ่งไปยังสนามบินนานาชาติ Chubu Centrair International Airport (ใช้เวลาประมาณ 28 นาที)

ห้องพักแบบ Standard Twin มีขนาดประมาณ 24 ตารางเมตร ไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่ ในราคาคืนละ 6,900 บาท ห้องพักตกแต่งทันสมัยค่ะ เน้นโทนสีเข้ม ห้องน้ำใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และที่ชอบก็คือกระจกบานใหญ่ของห้องที่มองเห็นวิวเมืองอย่างสบายตาไม่อึดอัด จะมีติก็พื้นที่วางกระเป๋าในห้องน้อยมาก แบ่งสัดส่วนให้กับห้องน้ำค่อนข้างใหญ่ ทำให้เวลาแพ็คกระเป๋าทุลักทุเลจนหกคะเมนตีลังกาไปก็หลายครั้ง แต่ภาพรวมของโรงแรมเทียบกับราคาให้ 3.5/5 ค่ะ (โรงแรมยังมี Onsen และ Gym ด้วย ส่วน Security ต้องใช้ Key Card ขึ้นมายังล็อบบี้ตอนดึกและเช้าตรู่)

ที่ตั้ง Nakamura-ku, Meieki 4-11-27, Nagoya, 450-0002

โทรศัพท์ 81-52-587-1131

 

Maruya Honten I ข้าวหน้าปลาไหล เมนู OTOP ประจำเมือง

ก่อนบินกลับไปหาส้มตำและลาบหมู ฉันไม่พลาดข้าวหน้าปลาไหล เมนู OTOP ของ Nagoya ที่ร้านดัง Maruya Honten สาขาหลักเปิดที่ชั้น 9 ของห้างสรรพสินค้า Meitetsu ใกล้กับ JR Station และห่างจากโรงแรมนิดเดียว (บนชั้น 9 ยังมีร้านอาหารน่ากินอีกหลายร้านรวมถึงร้านหมูทอดที่คิวยาวเหยียด)

เรานั่งรอคิวที่เก้าอี้หน้าร้านตอนใกล้เที่ยง คิวเขยิบไปทีละนิดๆ จน 40 นาทีผ่านไป ฉันก็ได้เข้ามานั่งในร้านข้าวหน้าปลาไหลชื่อดังที่ตกแต่งด้วยไม้สีเข้มดูเรียบๆ

พนักงานยื่นเมนูภาคภาษาอังกฤษให้และเราก็สั่งจานปลาไหล ไป 2 อย่าง รวมถึง Premium Hitsumabushi Eel ที่มีวิธีการกินเป็นเอกลักษณ์ด้วยการแบ่งข้าวเป็น 4 ส่วน ใส่เครื่อง ใส่ซุป ตามขั้นตอนที่เขียนไว้บนโต๊ะ (ร้านนี้ไม่มีเมนูอาหารญี่ปุ่นประเภทอื่น มีแค่ปลาไหลเท่านั้น)

รสชาติข้าวหน้าปลาไหลของ Maruya Honten จะออกหวานนำแต่ก็กลมกล่อม เนื้อปลานุ่มกว่าปลาทั่วไป แต่ที่เด่นจะเป็นชั้นไขมันใต้หนังที่ทำให้เมนูนี้มันส์กำลังสอง ถ้ารู้สึกว่าเลี่ยนเกินไปก็หยอดผักโรยพวกต้นหอมและซดซุปมิโสเพื่อให้คล่องคอมากขึ้นได้ค่ะ

ที่ตั้ง Meitetsu Dept.store 9F, 1-2-1 Meieki,Nakamura-ku, Nagoya

เปิด ปิด 11.00 – 23.00 น. ทุกวัน

ราคาเฉลี่ยคนละ 2,500-4,000 เยน

http://www.maruya-honten.com/

 

Toyota Commemorative Museum of Industry and Technology I พิพิธภัณฑ์โตโยต้า

แม้จะเคยอ่านประวัติของโตโยต้ามาบ้าง แต่การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในวันนี้ให้ความรู้สึกที่ต่างกัน … โตโยต้าถือกำเนิดจากเมือง Nagoya โดยแท้จริง จุดเริ่มต้นจากโรงงานปั่นและทอผ้าก่อนจะเปลี่ยนเป็นบริษัทยานยนต์ชั้นนำของโลกโดยนาย Kiichiro Toyoda ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนาย Sakichi Toyoda ผู้ก่อตั้งจิตวิญญานของบริษัท

Kiichiro Toyoda ถูกส่งไปร่ำเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงวัยรุ่นและได้เห็นธุรกิจยานยนต์ที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้งของสหรัฐจนตัดสินใจมาเปิดโรงงานผลิตในเมือง Nagoya

รถยนต์คันแรกของบริษัทโตโยต้าเป็นรถกระบะ เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลในการสร้างประเทศหลังสงครามโลก ต่อมาจึงเป็นรถยนต์ส่วนบุคคลรุ่น AA ที่คล้ายคลึงกับรถยุโรปในยุคนั้น

แต่ความสำเร็จโดยแท้จริง รุ่น Made in Japan เกิดขึ้นในรถ Toyopet รถยนต์ที่ผลิตโดยใช้ชิ้นส่วนทุกชนิดจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งความสำเร็จนี้น่าเสียดายที่เกิดขึ้นหลังจากนาย Kiichiro Toyoda เสียชีวิตไปแล้ว 2 ปี และ Toyopet Crown ก็กลายเป็นรถยนต์ในตำนานของญี่ปุ่นเพราะเป็นรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรุ่นแรกที่เข้าไปขายตีตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา

รถกระบะรุ่น G1

รถส่วนบุคคลรุ่น AA

Toyopet Crown

พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในอาคารอิฐสีแดง ซึ่งเคยเป็นโรงงานทอผ้าเก่า ส่วนแรกของพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเป็นโรงงานทอผ้ามีเครื่องปั่น Automatic Loom Type G ซึ่งเป็นเครื่องปั่นที่ถือว่ามีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนั้นจากการคิดค้นของนาย Sakichi Toyoda บิดาของนาย Kiichiro Toyoda

ถัดมาเป็นโถงจัดแสดงหุ่นยนต์ของโตโยต้า หุ่นยนต์เหล่านี้เคยแสดงดนตรีในฮอลล์ใหญ่ให้ผู้คนได้ชมกันอย่างมีความสุขและจุดถ่ายรูปที่หลายๆคนมักถ่ายกันก็คือจุดที่หุ่นยนต์เป่าทรัมเป็ตตัวนี้ค่ะ

สุดท้ายเป็นโถงจัดแสดงรถยนต์โตโยต้าตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นใหม่ที่ยังเป็น Future Car ห้องนี้ยังมีไลน์ การผลิตสาธิตให้ชม เป็นห้องที่เดินดูได้ไม่เบื่อเลยค่ะ ยิ่งคนที่ชอบรถน่าจะชอบเพราะจัดแสดงรถยนต์โบราณรุ่นแรกเช่น Camry และ Corolla รวมถึงรุ่นอื่นๆให้ดูด้วย

 

แต่ห้องที่ฉันชอบที่สุดเป็นห้องประวัติของนาย Kiichiro Toyoda ห้องนี้เล่าประวัติของผู้ก่อตั้งโตโยต้า ไว้อย่างละเอียด พร้อมกับอุปสรรคที่ต้องเจอระหว่างที่ก่อตั้ง แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อกลับมุ่งมั่นจนโตโยต้ากลายมาเป็นบริษัทรถยนต์ชั้นนำของโลกอย่างในปัจจุบันและพิพิธภัณฑ์นี้ก็ถูกสร้างในปีที่ 100 หรือปี 1994 ให้กับบิดาของโตโยต้านั่นเอง

ที่ตั้ง 4-1-35 Noritake Shin-machi, Nishi-ku, Nagoya

สถานี Sako Station ของ Meitetsu Nagoya Line (ตรงทางออกของสถานีมีแผนที่ทางเดินไปพิพิธภัณฑ์ให้ดู)

เปิด ปิด 9:30 – 5:00 น. ปิดทุกวันจันทร์

ค่าตั๋ว ผู้ใหญ่ 500 เยน เด็ก 300 เยน ซื้อได้ที่เครื่องขายตั๋ว

http://www.tcmit.org/english/

 

SCMAGLEV and Railway Park I พิพิธภัณฑ์รถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่น

รถไฟเชื่อมญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน แต่รถไฟความเร็วสูงเป็นยิ่งกว่าตัวเชื่อมเพราะมันคือความภาคภูมิใจของชาวอาทิตย์อุทัยที่จะประกาศให้ก้องโลกถึงความล้ำหน้าด้านเทคโนโลยีด้านความเร็วบนพื้นดิน

SCMAGLEV and Railway Park เป็นของบริษัท JR Central ที่เราคุ้นเคยกันดี เปิดมาแล้ว 7 ปี เพื่อให้เป็นศูนย์ให้ความรู้เกี่ยวกับรถไฟความเร็วสูง โดยจะมีรถไฟด่วนชูโรงอยู่ 2 ชนิด คือ 300x Shinkansen ที่วิ่งได้ 443 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและ MLX01-1 Magnetically Levitated (Maglev) ที่วิ่งได้เร็วถึง 581 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยการยกตัวเหนือรางด้วยพลังงานแม่เหล็ก

ห้องโถงใหญ่แห่งนี้รวบรวมหัวรถไฟรุ่นเก่าหลายสิบขบวนและยังมี simulator จำลองรถไฟด่วนให้ชม รวมถึงให้ลองนั่งรถไฟ Maglev ในระดับความเร็วห้าร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง (ฉันเคยนั่ง Maglev อยู่ 2 ครั้งตอนไป เซียงไฮ้ค่ะ Maglev ของจีนวิ่งเร็วสุดอยู่ที่ 430 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บอกเลยว่าเวียนเฮดมาก รถไฟมีแรงเหวี่ยงและด้วยความเร็วระดับนั้น ตาแทบจะจับภาพนอกหน้าต่างไม่ได้เลย ยิ่งเพ่งก็ยิ่งเวียนหัวเลยหลับตาและรอให้รถลดความเร็วลงในระดับปกติ)

ข้อมูลของพิพิธภัณฑ์อธิบายการทำงานของรถ ประเภทของรางและข้อแตกต่างระหว่างราง 1 เมตร และ 1.4 เมตร ซึ่งในโซนนี้ ฉันได้เจอกับ Doctor Yellow รถไฟสีเหลืองที่ดูเด่นกว่าคันอื่นๆ รถคันนี้ถูกเรียกว่า Doctor เพราะเป็นรถตรวจสภาพของรางและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยสีเหลืองได้มาจากชื่อของสีรถไฟและเมื่อใดที่คนญี่ปุ่นเห็นรถคันนี้วิ่งก็จะรู้ว่ามีคุณหมอมาตรวจสภาพของรางค่ะ …

SCMAGLEV and Railway Park อยู่ทางตอนใต้ของ Nagoya ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองประมาณ 15-20 นาที ถ้ามาทางรถไฟก็ลงสถานี Kinjo-futo ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ได้เลย แต่เราขับรถมาเลยต้องไปจอดรถที่ลานจอดของศูนย์เฟอร์นิเจอร์ Dome ฝั่งตรงข้ามและเสียค่าจอดประมาณ 500 เยน ในบริเวณนี้ยังมี Logoland และ Lego Hotel อีกด้วยค่ะ

ที่ตั้ง 3-2-2 Kinjo-futo, Minato-ku, Nagoya

สถานี Kinjo-futo Station ของ Aonami Line และเดินประมาณ 5 นาที

เปิด ปิด 10:00 – 17.30 น. ปิดทุกวันอังคาร

ค่าตั๋ว ผู้ใหญ่ 1,000 เยน เด็ก 300-500 เยน

http://museum.jr-central.co.jp/en/

 

Nagoya Castle

ปราสาทนาโกย่าวันนี้เป็นสีชมพูค่ะ ^^ เดินออกจากสถานีมาก็เจอกับกลีบดอกซากุระที่ร่วงโรยลงมาตามสายลม ผู้คนเข้าชมปราสาทในวันนี้เนื่องแน่นแม้จะเป็นวันธรรมดา คงเพราะเป็นวันอากาศดีและยังอยู่ในช่วงดอกซากุระบานเต็มใบ

ปราสาทนาโกย่าสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 400 ร้อยกว่าปีที่แล้ว มีลักษณะคล้ายปราสาททั่วไปของญี่ปุ่นที่ล้อมรอบ ด้วยคูน้ำ ฐานปราสาทสร้างด้วยหินก้อนใหญ่ และอันที่จริงแล้วปราสาทต้นตำรับถูกทำลายไปในสงครามโลก ดังนั้นปราสาทปัจจุบันจึงเป็นของใหม่ที่ภายในมีลิทฟ์และเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเราสามารถเข้าชมได้จนถึงชั้นสูง สุดของปราสาท ดูวิวของเมือง Nagoya ค่ะ (ลิฟท์คิวประมาณ 15-20 นาที และให้ priority กับคนชราและผู้พิการค่ะ)

ที่ตั้ง 1-1 Hommaru, Naka-ku, Nagoya

สถานีรถไฟ Shiyakusho Station ของเส้น Meijo subway line

เปิด ปิด 9.00-16.30 น. ทุกวัน

ค่าตั๋ว คนละ 500 เยน

http://www.nagoyajo.city.nagoya.jp/13_english/index.html

 

Sakae I ซากาเอะ

Sakae น่าจะเปรียบได้กับ Downtown ของเมือง เป็นแหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหารและศูนย์การค้าสำคัญ จุดเด่นของย่านอยู่ที่ Oasis 21 อาคารล้ำสมัยทรงวงรีที่สร้างด้วยกระจก ด้านล่างมีร้านอาหารและร้านขาย ของน่าซื้อ รอบๆยังมีที่นั่งและสวนสาธารณะขนาดเล็กให้เดินเล่น ใกล้ๆกันมี Nagoya TV Tower สัญลักษณ์ อีกอย่างของเมืองที่ได้รับการยกย่องให้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของคู่รัก พร้อมกับจุดชมวิวเมืองค่ะ

ที่ตั้ง 3-6-15 Nichiki, Naka, Nagoya

สถานี Sakae สาย Higashiyama/ Meijjo Line