ตอนสอง I Namaste Kathmandu …

“กาฐมาณฑุ” หรือที่ชาวเนปาลีเรียกสั้นๆว่า “กาฐมัน” เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของเนปาลค่ะ กาฐมันตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ มีประชากรประมาณ 6-7 ล้านคน หน้าตาของเนปาลี (คนท้องถิ่นของเนปาล) ส่วนใหญ่จะคล้ายชาวอินเดีย แต่ก็มีบ้างที่พบเจอหน้าเอเชีย ซึ่งมาจากทางเหนือที่ติดกับจีน

ความเจริญของกาฐมันเทียบได้กับหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดของไทย ส่วนถนนหนทางในเมืองก็ไม่ต่างจากซอกซอยเล็กๆในกรุงเทพ ที่เต็มไปด้วยรถยนต์ มอเตอร์ไซด์ยั้วเยี้ย จะมีเหนือกว่าก็เสียงแตรที่บีบกันสนั่น ทั้งที่บางจุดมีสัญญานห้ามบีบแตร กับฝุ่นสีแดงที่คลุ้งตามริมถนน ชวนให้น่าจาม และหันกลับมากินยาแก้แพ้ป้องกันอาการไว้ก่อน

ระยะทางจากสนามบินตรีภูวันถึงโรงแรม ประมาณ 3-4 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางกว่า 20-30 นาที เพราะรถติด และวิ่งกันไร้ระบบควบคุม แยกไหนมีตำรวจจราจร หรือ Traffic Police ที่เนปาลีเรียก รถยิ่งติดเพราะรอสัญญานไฟเขียวนาน คล้ายๆกับกรุงเทพนั่นแหล่ะ

2 คืนแรก เราพักที่ Kathmandu Marriott Hotel เพราะเป็นวันทำงานของลุง ให้ลุงได้เดินทางไปประชุมสะดวกหน่อย ส่วนอีก 2 คืนที่เหลือ ซึ่งตรงกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เราก็ขึ้นเขาไปพักที่ Dusit Thani Himalayan Resort Dhulikhel และ กลับมาพักที่ The Dwarika’s Hotel ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพ

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเนปาล มักจะเป็นสาย adventure และปีนเขา ซึ่งก็เป็นกิจกรรมที่เราอยากจะทำ แต่เพราะร่างกายไม่ฟิตพอ และเวลาไม่อำนวย เลยใช้ 3-4 วัน สำรวจเนปาลบนพื้นราบของเมืองกาฐมันและเมืองประวัติศาสตร์ข้างเคียง

สำหรับประกันการเดินที่ขาดไม่ได้ในทุกทริป บางบริษัทจะไม่รับประกันที่เนปาล แต่เราไปเจอของ MSIG Travel Insurance ที่รับประกันในเนปาล แต่มีข้อยกเว้นห้าม trekking และ hiking ค่ะ

 

วัดสยมภูวนาถ (Swayambhunath Stupa)

ศาสนสถานแรกที่แนะนำในกาฐมัน คือ วัดสยมภูวนาถค่ะ วัดนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงของกาฐมัน เป็นวัดเก่าแก่ของชาวพุทธอายุอานามมากกว่า 2,500 ปี

หลังจากซื้อตั๋ว เราจะพบกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีพระพุทธรูปสัมริทธิ์ประดิษฐานอยู่ ชาวเนปาลีจะหยุดโยนเหรียญตรงบ่อน้ำนี้ เชื่อว่าถ้าใครโยนเหรียญเข้าบาตรที่อยู่ด้านหน้าพระพุทธรูป ก็จะโชคดี

รอบๆบ่อน้ำยังเต็มไปด้วยครอบครัวลิง จนต้องตั้งโต๊ะร่วมบริจาคค่าอาหารลิง ซึ่งก็คือเมล็ดข้าวสวย วัดสมยภูวนาถจึงมีอีกชื่อที่รู้จักกันว่า Monkey Temple หรือวัดลิงค่ะ

เจดีย์สยมภูวนาถเป็นเจดีย์สีขาวทรงคว่ำ บริเวณยอดจะมี Protected Eyes หรือดวงตาเห็นธรรม เปรียบดังพระเนตรของพระพุทธเจ้า อยู่ทั้ง 4 ทิศ ธงมนตราหลากสีที่โบกสะบัด เปรียบดังธาตุทั้งห้า ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศนั่นเอง ชาวเนปาลีเชื่อว่า ลมที่พัดธงนั้นจะช่วงโบกความโชคดีไปทั่วทุกสารทิศ

รอบๆของเจดีย์สมยภูวนาถก็ยังมีเจดีย์เล็กๆอยู่ทั่วไป เช่นเดียวกับลานชมวิวเมืองกาฐมัน และร้านขายของที่ระลึก ไกด์หยุดชี้ให้เราดูบ่อสีขาวบ่อนี้ ที่มีพระสงฆ์กำลังจับด้ามไม้คนอยู่ ไกด์บอกว่านี่คือ lime ซึ่งเป็นสีขาวที่เอาไว้ทาเจดีย์ให้ขาวสะอาดอยู่เสมอ เราสามารถบริจาคเงินเพื่อร่วมบำรุงรักษาเจดีย์ให้สวยงามได้

มหาเจดีย์พุทธนาถ (Boudhanath Stupa)

เจดีย์พุทธนาถเป็นศาสนสถานสำคัญของชาวพุทธ นอกจากจะเป็นเจดีย์ใหญ่ที่สุดของเนปาลด้วยความสูงกว่า 38 เมตรแล้ว ยังเชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่มีพระธาตุของพระกัสสปพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ องค์การ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลก ซึ่งเราสามารถความยิ่งใหญ่ของมหาเจดีย์นี้ได้จากเครื่องบิน

หลังจากเดินวนตามเข็มนาฬิการอบๆเจดีย์ เราสังเกตุว่าผู้คนที่ศรัทธาหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย หลายคนหน้าตาคล้ายชาวเอเชีย วิธีนมัสการคล้ายกับชาวธิเบตคงเพราะเจดีย์พุทธนาถตั้งอยู่ในหมู่บ้านของชาวธิเบตของกาฐมัน ข้างๆยังมีศาสนสถานของศาสนาฮินดู ซึ่งพบเห็นได้ในวัดของชาวพุทธ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของสองศาสนาในเนปาล

 

จัตุรัสกาฐมาณฑุดูร์บาร์ (Kathmandu Durbar Square)

จัตุรัสนี้ตั้งอยู่กลางเมืองกาฐมัน เดิมทีเป็นพระราชวังที่ประทับของกษัติย์ ที่แบ่งเป็นส่วนนอก และส่วนใน ส่วนนอกรายล้อมไปด้วยวัดวาอาราม ส่วนในเป็นที่พักของกษัติย์  ปัจจุบันพื้นที่ตรงนี้เปิดให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ พร้อมกับเป็นแหล่งท่องเที่ยวดึงรายได้เข้าประเทศค่ะ

สถาปัตยกรรมรอบนอกส่วนใหญ่เป็นวัดวาอาราม สร้างด้วยไม้แกะสลักสวยงาม วิจิตร เราเดินแหงนคอมองอย่างชื่นชม ยิ้มอย่างมีความสุขกับหนุ่มๆสาวๆ ที่ออกมานั่งรับแดดอุ่นๆบนขั้นบันไดของวัด

ไฮไลต์ตรงนี้อยู่ที่วังกุมารีค่ะ ตึกสามชั้นสีดำขลับเป็นที่พักของกุมารี เทพเจ้าที่ยังมีชีวิตตามความเชื่อของชาวเนปาลี เราเดินผ่านวังกุมารีตอนห้าโมงกว่าๆ และก็มีคนเนปาลเรียกให้เราเข้าไปข้างใน เพราะอีกไม่นานกุมารีจะแสดงตนให้เราเห็น

เรื่องราวของกุมารี กลายเป็นความสนใจของหลายคนที่มาเนปาล เด็กหญิงผู้ที่จะได้เป็นกุมารี ต้องเกิดในตระกูลศากยะ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า เด็กหญิงจะต้องมีคุณลักษณะตรงตามความเชื่อ และจะถูกคัดเลือกให้มาเป็นกุมารีตั้งแต่วัยเยาว์

เธอจะได้รับความเคารพนับถือ ครอบครัวก็จะอิ่มเอมใจ แต่ก็จะแลกกับอิสระและชีวิตในวัยเด็ก เพราะเธอจะถูกเก็บตัวอยู่แต่ในวัง เท้าแทบจะไม่ถูกพื้น จะได้ออกไปนอกวังบ้างก็ในช่วงของงานเทศกาลเท่านั้น และเมื่อเธอมีประจำเดือน เธอก็จะถูกปลดจากการเป็นกุมารีกลับมาใช้ชีวิตดังหญิงสาวปกติ ซึ่งก็อายุประมาณ 12-14 ปี

ชีวิตหลังจากนั้นบางคนบอกว่า ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะชาวเนปาลเชื่อว่า หญิงสาวที่เคยเป็นกุมารีจะเป็นผู้หญิงกินผัว ex กุมารีบางคนมีความรัก แต่ไม่สามารถแต่งงานได้ จึงทำให้หลายคนมองภาพกุมารีในแง่ลบ บ้างเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเด็กหญิง แต่ความเชื่อก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป และตำนานกุมารีก็ยังคงอยู่คู่กับชาวเนปาล …

ไม่กี่นาทีหลังจากยืนรอ เราก็ได้เห็นกุมารีในวัย 9 ขวบ หน้าเธอขาวใส ทาตาสีดำ หน้าผากสีแดง เธอแสดงตนอยู่บนหน้าต่างชั้น 3 ไม่ได้ยิ้ม หรือโบกมือใดๆ พวกเราไม่ถูกอนุญาตให้ถ่ายรูป และไกด์ขอให้ทุกคนพนมมือ เพื่อแสดงความเคารพ และเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น กุมารีองค์น้อยก็กลับเข้าไปในวัง และสำหรับพวกเราถือว่าได้ความเป็นสิริมงคลแล้วในวันนี้

รูปภาพจากศิลปะวัฒนธรรม https://www.silpa-mag.com/history/article_2536

หลังจากนั้นเราเดินมาที่หนุมานดูบาร์ น่าเสียดายที่ปัจจุบันยังคลุมผ้าสีแดง และมีการปรับปรุงจากแผ่นดินไหวเมื่อหลายปีก่อน รัฐบาลจีนได้เข้ามาช่วยสมทบทุนให้กับการปรับปรุงครั้งนี้ ที่ไกด์บอกกับเราว่า อีก 2-3 ปีน่าจะเสร็จบริบูรณ์

บริเวณส่วนในของจัตุรัสเป็นที่ประทับของกษัติย์ สร้างด้วยอิฐและไม้แกะสลักสวยงาม วันนี้มีการตั้งโต๊ะเก้าอี้จัดงาน ไกด์บอกกับเราว่า พรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดของกษัติย์องค์แรกที่รวมอาณาจักรต่างๆของเนปาลเข้าด้วยกัน และเป็นวันหยุดของประเทศด้วย

เรื่องราวของราชวงศ์เนปาลและการขึ้นครองราชย์ของกษัติย์องค์ปัจจุบันก็เป็นเรื่องที่ยังเป็นปริศหนาและได้รับความสนใจไปทั่วโลก เพราะในปี 2544 หรือประมาณ 20 ปีก่อน ได้เกิดเหตุการณ์สะเทือนใจ การสังหารหมู่ของราชวงศ์เนปาล เป็นผลให้ทั้งกษัติย์ พระราชินี รวมถึงพระราชโอรส และพระญาติสำคัญเสียชีวิตทั้งหมด 10 คน

ข่าวออกมาว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากความโกรธเคืองของพระราชโอรสที่ไม่ได้สมรสกับหญิงผู้เป็นที่รัก แต่ความสงสัยก็กระจายไปทั่ว เพราะคนเพียงคนเดียวจะสามารถฆ่าคนได้ถึง 9 คน (รวมตัวเองเป็น 10) ได้อย่างไร?

คำถามมากมายหลั่งไหลในหัว เช่น ทหารรักษาพระองค์มัวทำอะไรอยู่? อาวุธมาจากไหน? ซึ่งทางราชสำนักก็ออกมาแก้ข่าวว่า ทหารไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องอาหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ชั้นใน จึงไม่สามารถช่วยใครได้

อย่างไรก็ตาม หลายคนก็เชื่อว่าเหตุการณ์นี้มีสิ่งผิดปกติ และไม่มีการตรวจสอบที่โปร่งใส ทำให้การขึ้นครองราชย์ของพระอนุชา (น้องชาย) ของกษัติย์ที่สวรรคตเป็นไปอย่างน่าสงสัย และนำไปสู่ความระส่ำระสายทางการเมือง จนลามมาสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ประชาธิปไตยในอีกหลายปีถัดมา

จากนั้นเราขอไกด์แวะจิบชาเนปาลที่ร้านดัง Himalayan Java Coffee ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 2 ที่มองเห็นลานกว้างขายของของจัตุรัส ชาเนปาลคล้ายๆกับมาซาล่าของอินเดีย ชีสเค้าบลูเบอร์รี่หวานกลมกล่อม ช่วยเพิ่มความสดชื่นหลังจากเดินชมมาพักใหญ่

เรื่องราวในจัตุรัสกาฐมาณฑุดูร์บาร์นี้น่าสนใจจริงๆค่ะ ถ้าจะใช้เวลาเดินและฟังรายละเอียดทั้งหมด ก็น่าจะร่วม 1-2 ชั่วโมง แต่ก็ถือว่าคุ้มนะ ทำให้เราได้รู้จักทั้งผู้คน ความเชื่อ และความขัดแย้งของเนปาลที่ทำให้เนปาลเป็นเนปาลในวันนี้

ตลาดทาเมล (Thamel)

จากโรงแรม เราเดินเลียบถนนหลักประมาณ 15 นาที ก็ถึง Thamel ตลาดใหญ่ใจกลางเมืองที่เป็นแหล่งรวมของนักท่องเที่ยว และ backpackers พื้นที่ส่วนนี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศ ชาวเนปาลีที่เป็นคนขายของล้วนพูดภาษาอังกฤษได้ เชื้อเชิญให้เราเข้าชมสินค้าพื้นเมือง งานหัตถกรรม รวมถึงภาพเขียนต่างๆ เราเดินเล่นอยู่คนเดียวพักใหญ่ๆ ไม่ได้รู้ว่าว่าอันตราย และทางโรงแรมก็บอกไว้ว่าปลอดภัย สินค้าแต่ละร้านคล้ายๆกัน ต่อราคาได้บ้าง เราได้ตุ๊กตาหมา และแม็คเน็ตรูปดวงตาเห็นธรรม กลับมาเป็นของที่ระลึก พออายุมากขึ้น เราชอบบ้านที่เรียบร้อย ของที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ ก็ไม่อยากจะเสียเงิน สักพักเราก็นั่งรถแท็กซี่ที่หาได้ตามถนนกลับโรงแรม ค่าแท็กซี่ประมาณ 200 – 250 รูปี ทางโรงแรมบอกว่าให้ต่อรองราคานี้ และเราก็ถึงโรงแรมโดยสวัสดิภาพค่ะ

กาฐมันฑุยังมีที่เที่ยวอีกหลายแห่ง เช่นวัดปศุปฏินาถ (Pashupatinath Temple) ของชาวฮินดู ที่คนไปดูพิธีการเผาศพริมแม่น้ำ หรือร้านอาหารท้องถิ่นอีกหลายแห่งค่ะ